ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 ตุลาคม 2013.

  1. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    สวัสดีค่ะ คุณครูธรรมชาติ หายไปนานเลยเนื่องจากเกิดเรื่องวุ่นวายในครอบครัว. แต่ยังฝึกอยู่ค่ะ เวลานั่งสมาธิ แล้วมักมีอาการตึงแน่นเป็นก้อนนิ่งที่หน้าผาก ก็พยายามให้ความรู้สึกนั้นแผ่ตลอดทั้งตัว ตอนทำสมาธิจะได้นานหน่อย แต่ถ้าทำเวลาที่ทำกิจวัตรปกติจะได้แป๊บๆ

    แต่ตอนที่เคลื่อนไหวด้วยความรู้สึกทั้งตัวนี้จะมีความเบาสบายมาก ร่างกายเหมืนมีพลังงานหยุ่นๆรอบๆ แต่พอมีคนมาคุยด้วยจะหายไปทันที.

    +++ ถูกแล้วครับ พยายามทำให้เป็นนิสัย จนสามารถเข้าได้ออกได้ตามที่ต้องการ หากทำได้ในขณะที่คุยกับคนอื่น ก็อาจได้ความรู้แปลก ๆ ที่ไม่คาดฝันตามมา

    และมีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้น คือปกติแล้วบางทีถ้าหลับไปแล้ว ตื่นขึ้นมา แล้วไปนอนต่อจะเห็นหรือได้ยินอะไรแปลกๆ

    +++ ตรงนี้เป็นผลต่อเนื่องของจิต ที่ละเอียดกว่าจากการมีสติในระดับหนึ่ง

    เมื่อเช้านี้ตอนแรกฝันอยู่. แต่อยู่ๆก็มีเสียงผู้หญิงพูดด้วยนำ้เสียงอาฆาตเคียดแค้น ดังมาจากกลางศรีษะ ทำนองสาปแช่ง แบบแค้นมาก พูดแบบคนโบราณ ก็พยายามฟังว่าเค้าแช่งเราหรือเปล่า แต่รู้สึกว่าจะไม่ใช่ค่ะ คล้ายจะแช่งบ้านเมืองเรามากกว่า แล้วทีนี้เค้าพูดไม่หยุดเลย แบบไม่หายใจ

    +++ อาจจะเป็นจิตที่ เคียดแค้นต่อโชคชะตาฟ้าดินที่ตนมีสภาพอาภัพอัปโชค หรือประเภทสร้างฝันวิมาณในอากาศ แล้วไม่เคยปรากฏเป็นจริง จนความเคียดแค้นนั้นหล่อหลอมออกมาเป็นที่กักขังจิตดวงนั้นอยู่ภายใน จิตดวงนั้นก็เฝ้าแต่จะสาปแช่งบ้านเมืองฟ้าดินอยู่ตลอดเวลา เรื่องของจิตพูด (ตัวพูดมาก) นี้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหยุดพักหายใจแต่ประการใด ดังนั้นที่ได้ยิน "ตัวพูดมากแบบไม่หายใจ" จากจิตดวงนี้ จึงเป็นการได้ยินที่ถูกต้อง (เป็นภาคหนึ่งของ เจโตปริยะญาน จากการฝึกสติ)

    +++ ต่อไปจะมีนักการเมืองไทยอีกหลายคน หลังจากพ้นออกมาจากนรกแล้ว ก็จะมาตกอยู่ในภูมินี้อีกเช่นกัน แต่ไม่ต้องไปรอฟังพวกมันเพื่อการพิสูจน์อะไรนะครับ (ผมเองจะไม่รออะไรพวกนี้แน่นอน) จิตในภูมินี้ จะถูกธรรมารมณ์ฝ่าย อกุศลกรรม กักขังไว้ภายในจนกว่าจะได้สติมาเอง (พ้นวาระ) และธรรมชาติของจิตในภูมินี้ "ไม่สมควรที่จะแผ่ส่วนบุญให้" เพราะนิสัยที่ติดจนเป็นสันดานยังอยู่ ยามใดที่พ้นออกมาจากภูมิด้วยการรับส่วนบุญจากผู้อื่น มันก็จะแบกนิสัยร้าย ๆ นั้นออกมาด้วย เพราะมันออกมาก่อนที่สันดานจะหายไป ตรงนี้ผมเรียกว่า "ปล่อยสัตว์นรกให้ออกมาเพ่นพ่านบนโลก" จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรเข้าไปแทรกแซงในวงจรกรรมของเขา เว้นไว้แต่ว่า เรามีขีดความสามารถเพียงพอที่จะทำให้เขาเปลี่ยนสันดานได้เท่านั้น

    รู้สึกอึดอัดมากทนไม่ไหวเลยขอบารมีพระพุทธเจ้าช่วยลูกด้วย.

    +++ ความอึดอัดนั้นคือ "การที่เรารู้สภาวะ ธรรมารมณ์ ที่กำลังห่อหุ้มจิตดวงนั้นอยู่" และธรรมารมณ์นั้นคือ "ภูมิ" ที่จิตดวงนั้นอาศัยอยู่ แต่สติยังไม่แข็งและชำนาญพอ จึงไปรับเข้ามาและรู้สึกว่า เป็นของเราเข้าอย่างเต็ม ๆ แต่จริง ๆ แล้ว ทั้งจิตและความรู้สึกของบุคคลผู้นั้น ถูกอ่านโดย เจโตประยะญาน ในขณะเดียวกันนั่นเอง

    มีพลังงานพุ่งเข้ามาที่กลางหน้าผาก จิตหลุดแยกออกมาแต่กำลังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ บินไปสักพักก็ตกลงพื้น. แล้วก็เหมือนหมุนๆ แล้วก็เห็นคุณป้าสองคนเค้าคุยกันว่าจะเตือนอะไรเราบางอย่าง ป้าคนนึงก็เรียกไปนั่งคุย ป้าเค้าก็พูดสอนอะไรเยอะมาก. แต่หลักๆคือให้เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน เราก็รับคำป้าบอกว่าค่ะ หนูจะพยายามเป็นคนอ่อนน้อม ตลอดเวลาสังเกตุว่าตาป้าไม่มองหน้าเราเลยมองไปทางอื่นตลอด น้อยมากที่จะมองเรามองก็แวบๆ แล้วตอนนั้นมีความรู้สึกว่าพ่อเดินอยู่ข้างนอกเลยลองมองป้าแล้วส่งจิตโดยที่ไม่ได้พูดว่า. พ่ออยู่ข้างนอกต้องไปแล้วนะคะ. ป้าก็รู้บอกว่าจะไปแล้วใช่มั๊ย. แล้วก็บอกลา แล้วก็กลับมาทันที ลืมตาตื่นค่ะ

    มีอีกเรื่องอยากถามครูเรื่องญาติฆ่าตัวตายค่ะทำยังไงบุญถึงจะไปถึงคะ ทุกวันนี้พยายามนั่งสมาธิแล้วอุทิศบุญให้ในสมาธิ แบบนี้ญาติจะรับได้หรือเปล่าคะ. ขอบพระคุณค่ะ

    +++ เรื่องฆ่าตัวตายนี้ ต้องรู้สาเหตุด้วย หากเป็นคนหุนหันแบบโกรธง่ายหายเร็ว ก็พอมีทาง แต่ถ้าเป็นพวก พยาบาทยาวนานยืดเยื้อคงทนจนต้องฆ่าตัวตาย พวกนี้แทบหมดโอกาสรับส่วนบุญเอาเลย

    +++ ให้ทำความรู้สึกทั้งตัวจนเกิดอาการเบากายสบายใจ แล้วแช่อยู่ในอาการ จากนั้นให้ระลึกจน "เห็นภาพผู้ตาย ให้ปรากฏขึ้นในใจ" แล้วบอกให้เขา "อนุโมทนา ด้วยความยินดี" จากการทำ สติ จนเป็นสมาธิของเราในปัจจุบันขณะนี้ กระบวนการทั้งหมดจะต้อง "อยู่ในอาการเบากายสบายใจตลอดเวลา"

    +++ ลองทำดูนะครับ
     
  2. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    พี่คะ
    เมื่อเช้านี้ ก่อนตื่นนอน รู้สึกเหมือนมีตัวเราอีกตัวมาแนบร่างสนิทแล้วถึงตื่นได้
    เมื่อก่อนพอรู้แล้วมันกระชากอารมณ์กลับมาไม่ให้อิน ตอนนี้รู้แต่ปล่อย
    รู้ถึงจิตที่ชอบด่าตัวเองก่อนเกิดละ รู้สึกว่ามันเป็นพลังงานที่รวมตัวแล้วจะรู้สึกหนัก ๆ ในอกเลยตรึงทันก็เลยหายไป
     
  3. naris520

    naris520 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +56
    ธรรมะสวัสดีค่ะท่านธรรม-ชาติ ไม่ได้โพส์มาหลายวันแล้วค่ะแต่ก็เข้ามาติดตามเสมอเห็นเพื่อนสมาชิกเข้ามาโพส์ถามท่านธรรม-ชาติหลายท่านก็แอบยินดีค่ะ แบบว่าไม่ต้องถามเองแต่ได้ฟังวิธีปฏิบัติ การอธิบายสภาวะจากท่านธรรม-ชาติ(แอบเป็นแม่พลอยค่ะ) เข้ามาแล้วขอส่งสภาวะหน่อยนะค่ะ ตอนนี้ชอบฟังพุทธโอวาทค่ะ รู้สึกว่าไม่อยากปฏิบัติให้มันยุ่งยากค่ะ ถ้าทางไหนที่พระพุทธองค์ทรงบอกว่าเดินได้ก็เดินไปทางนั้น ทางไหนทรงห้ามก็ไม่เดิน มันง่ายดี ไม่ต้องคิดหรือทำอะไรเพิ่มเต็มจากที่ทรงสอน ช่วงนี้มันเป็นเด็กดีค่ะ (จิตน่าจะยึดพุทธานุสติ) ส่วนสภาวะอะไรที่มันโลดโผนไม่ค่อยจะมีอะไรค่ะ ตอนนี้เงียบมาก(ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร)เป็นเพราะการเดินจิตที่จับอยู่กับความรู้สึกในทุก ๆ ผัสสะแล้วไม่ปรุงเพิ่มเติม ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่เอาอะไรกะมัน การเดินจิตอย่างนี้หรือเปล่าค่ะทำให้ช่วงนี้ไม่ค่อยมีอะไรมาก
     
  4. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ของคุณ เมิล

    พี่คะ
    เมื่อเช้านี้ ก่อนตื่นนอน รู้สึกเหมือนมีตัวเราอีกตัวมาแนบร่างสนิทแล้วถึงตื่นได้ เมื่อก่อนพอรู้แล้วมันกระชากอารมณ์กลับมาไม่ให้อิน ตอนนี้รู้แต่ปล่อย รู้ถึงจิตที่ชอบด่าตัวเองก่อนเกิดละ รู้สึกว่ามันเป็นพลังงานที่รวมตัวแล้วจะรู้สึกหนัก ๆ ในอกเลยตรึงทันก็เลยหายไป

    +++ การ "ตรึง" ที่เคยฝึกมาจาก "เข้า-ออก เพิ่ม-ลด ตรึง-แช่-อยู่" ที่เป็นส่วนของ วสี 5 นี้สามารถใช้ได้ในทุกสถานการณ์ หากฝึกใช้ชำนาญ ก็จะทำการ "อยู่-ย้าย" จากสภาวะธรรมหนึ่ง สู่ อีกสภาวะธรรมหนึ่ง ได้ไม่ยาก

    +++ การบ้าน "ให้ฝึก จิตเปล่งรังสี" ให้ได้ด้วยตนเอง โดยใช้วิธี "อยู่-ย้าย" ไปตาม "ธรรมารมณ์" ต่าง ๆ จนถึง อาภัสสระพรหม อีกรอบ ลองดูนะ

    ============================================================================
    ของคุณ naris520

    ธรรมะสวัสดีค่ะท่านธรรม-ชาติ ไม่ได้โพส์มาหลายวันแล้วค่ะแต่ก็เข้ามาติดตามเสมอเห็นเพื่อนสมาชิกเข้ามาโพส์ถามท่านธรรม-ชาติหลายท่านก็แอบยินดีค่ะ แบบว่าไม่ต้องถามเองแต่ได้ฟังวิธีปฏิบัติ การอธิบายสภาวะจากท่านธรรม-ชาติ(แอบเป็นแม่พลอยค่ะ) เข้ามาแล้วขอส่งสภาวะหน่อยนะค่ะ

    ตอนนี้ชอบฟังพุทธโอวาทค่ะ รู้สึกว่าไม่อยากปฏิบัติให้มันยุ่งยากค่ะ ถ้าทางไหนที่พระพุทธองค์ทรงบอกว่าเดินได้ก็เดินไปทางนั้น ทางไหนทรงห้ามก็ไม่เดิน มันง่ายดี ไม่ต้องคิดหรือทำอะไรเพิ่มเต็มจากที่ทรงสอน ช่วงนี้มันเป็นเด็กดีค่ะ (จิตน่าจะยึดพุทธานุสติ) ส่วนสภาวะอะไรที่มันโลดโผนไม่ค่อยจะมีอะไรค่ะ ตอนนี้เงียบมาก(ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร)

    +++ การฟัง "พุทธโอวาท" เป็นสิ่งที่ดี หากสามารถ "เดินจิตตาม และผลลัพธ์ปรากฏ" ตามที่ท่านพูดได้ เช่น หากท่านพูดว่า "สงบตน" ก็ให้ "สงบการทำงานทางจิต" ทุกชนิด เป็นต้น ลองเดินจิตตามที่ท่านพูดมา นะครับ

    เป็นเพราะการเดินจิตที่จับอยู่กับความรู้สึกในทุก ๆ ผัสสะแล้วไม่ปรุงเพิ่มเติม ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่เอาอะไรกะมัน การเดินจิตอย่างนี้หรือเปล่าค่ะทำให้ช่วงนี้ไม่ค่อยมีอะไรมาก

    +++ "ความรู้สึกในทุก ๆ ผัสสะ" นั้นไม่ถูก ที่ถูกคือ "รู้สึกทั้งตัว อย่างเดียวเท่านั้น" นอกนั้นมันจะกลายเป็น "ถูกรู้" ไปเอง หากอาการ "ทุก ๆ ผัสสะถูกรู้" ยังไม่ปรากฏ ก็ถือได้ว่า การกำหนด "อยู่กับความรู้สึกทั้งตัว" ยังไม่เกิดขึ้น เป็นได้แต่เพียง "รู้ตัว" เฉย ๆ เท่านั้น นะครับ
     
  5. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    +++ การบ้าน "ให้ฝึก จิตเปล่งรังสี" ให้ได้ด้วยตนเอง โดยใช้วิธี "อยู่-ย้าย" ไปตาม "ธรรมารมณ์" ต่าง ๆ จนถึง อาภัสสระพรหม อีกรอบ ลองดูนะ

    ส่งการบ้านคะ
    รอบที่ 1 ยังไม่ชินปกติพี่จะไล่ ว่าง-รู้-โล่ง-เฉย-ตื่น ให้ พอมาทำเองไม่มีคนไล่ให้เลยงง แล้วยังไล่ผิดสลับไปสลับมา เช่น รู้มาก่อนว่าง โล่งหายไปเฉยเลย ไล่ไปไล่มามันจะพะวงว่าตอนนี้อยู่ไหน แล้วไปขั้นต่อไปได้ยัง ความคิดเพียบ แต่ไล่ไปไล่มาสักพักร่างกายของเมิลกระตุกแรงทั้งตัวขึ้นมาเหมือนจะลุกขึ้นแต่ถูกกระชากกลับ ก็เลยเริ่มนั่งใหม่ไล่ใหม่คราวนี้เหมือนหลับไป ดับมืดไปหมด แต่ยังมีความรู้สึกว่ามีพลังงานออกมาตามผิวหนังทั้งตัวอยู่ แล้วก็ลืมตาตื่นดูนาฬิกาเวลาผ่านไป 10 นาทีเท่านั้น แต่รู้สึกว่านานมาก เลยไปนอนดีกว่า

    รอบที่ 2 เมื่อเช้าตื่นมาหลังจากฝันว่ารบกับปีศาจ 2 ตัว ก็นอนฝึกจิตเปล่งรังสีต่อ แต่ไปจิตจับเอาเสียงหัวใจเต้นเลยเข้าว่างไม่ได้ก็เลยออกมาก่อน พอเริ่มรู้สึกสงบ ๆ ว่าไม่ได้จับเสียงหัวใจเต้นแล้ว ก็เลยเริ่มใหม่แต่พอจะเข้าว่างก็ไปจับเสียงหัวใจเต้นอีก ก็เลยไปทำงานดีกว่าคะ

    รอบที่ 3 ยืนอยู่บนรถไฟฟ้า เข้าว่าง-รู้ สลับกัน ทำได้อยู่
    ทำถูกไหมคะ ที่พี่บอกว่าอยู่-ย้ายไปตามธรรมมารมณ์ต่าง ๆ คือไม่ได้ให้ฝึกเฉพาะตอนนั่งหลับตาใช่ไหมคะ ให้ฝึกเข้าจิตเปล่งรังสีในชีวิตประจำวันให้ได้เลยหรือเปล่าคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มกราคม 2014
  6. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ หลัก ๆ คือไปถึง เฉย ก่อน แล้วเดินจิตเข้า รู้ - ว่าง - โล่ง แล้วกลับมา รู้ ใหม่อีกที แล้วมาที่ เฉย ตรงเฉยรอบที่ 2 นี้จึงเข้า ตื่น - พลังงาน - เปล่งรังสี - ประภัสสร ที่พวยพุ่งออกจากความเป็นเรา หากจะถอนจิตเอง ก็ให้กลับมาอยู่ที่ พลังงาน - ตื่น - เฉย - รู้สึกตัว หากไม่ไล่กลับมาที่ พลังงานก่อน ก็จะกลับไม่ได้เพราะในขณะนั้น ๆ มันไม่มีร่างกาย มันจะมีก็แต่สภาพ ธรรมารมณ์ที่กำลังเปล่งรังสีอยู่ เท่านั้น หรือจะให้จิตมันถอนตัวมันเองตามธรรมชาติก็ได้

    +++ ในยามปกติใช้ชีวิตประจำวัน ให้ทำแค่ "รู้ตัวดู" กับ "เป็นตัวดู" สลับกันไปมา จนชำนาญ เมื่อมีเวลาก็จะต่อยอดให้จนไปถึง กำเหนิดตัวดู และ อสังขตธรรม ในภายหลัง นะครับ
     
  7. torelax9

    torelax9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    167
    ค่าพลัง:
    +527
    [​IMG]
    กราบนอบน้อมอาจารย์ครับ
    และสวัสดีปีใหม่ทุกท่าน
    ได้อ่านโพสต์ของทุกท่านแล้ว ทุกท่านก้าวหน้าไปไกลมากจริงๆ ผมขออนุโมทนาด้วยครับ ผมเดินตามหลังอยู่ไกลๆแต่ก็มั่นใจในแนวทางนี้ เพราะกินยานี้มาประมาณครึ่งปีแล้วถึงแม้ยังไม่หายขาดจากโรค แต่ยาก็ได้ค่อยๆออกฤทธิ์ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ จึงพอจะทราบแนวโน้มได้ว่ายานี้รักษาโรคได้หายจริงหายขาดแน่

    ช่วงที่ผ่านมาผมก็พยายามเจริญสติเรื่อยๆ สะสมไว้ รู้สึกเป็นการสะสมจริงๆ เพิ่มขึ้นทีละนิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนบางครั้งระหว่างวัน ลืมตาสบายๆ ยังไม่ได้กำหนด ความเย็นในอกก็กระจายขยายเอง เย็นแบบตื่นๆ สดชื่นๆ

    พอถึงช่วงเวลาภาวนา(ไม่ได้บริกรรม ใช้สติกำหนดรู้สึก)จะเกิด กระตุกตามร่างกายบ่อย สังเกตุช่วงก่อนกระตุก ใจได้เผลอคิดถึงอะไรสักอย่าง
    จะหมั่นเจริญให้มาก ภาวนาให้มากครับ
    [​IMG]
     
  8. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ความก้าวหน้าของคุณ เมิล นั้นเกิดขึ้นเพราะ เคยฝึกการเดินจิตกับผมแบบต่อหน้ามาบ้างแล้ว แต่ต้องทิ้งช่วงไปบ้างเพื่อให้สภาพของ จิตและสติค่อย ๆ ละเอียดลงไปเองเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในระดับที่ค่อย ๆ ละเอียดลงไปเรื่อย ๆ เปรียบเหมือนกับ การทานอาหารแล้วก็ให้ร่างกายย่อยซึมเพื่อให้ธาตุอาหารกระจายออกไปหล่อเลี้ยงร่างกาย จนกว่าจะพร้อมในยกต่อไปนั่นเอง นะครับ
     
  9. torelax9

    torelax9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    167
    ค่าพลัง:
    +527
    กราบนอบน้อมอาจารย์
    และสวัสดีทุกท่านครับ

    ช่วงนี้ ผมมีอาการเย็นทั้งร่าง เย็นสดชื่นตื่นๆ แต่รู้สึกมีศูนย์กลางของความเย็น คือมีจุดนึงที่เย็นที่สุด แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนในร่าง จะว่าอกเย็นก็เย็น จะว่าตาสองข้างเย็นก็เย็น จะว่าหน้าผากเย็นก็เย็น จะว่ากระหม่อมเย็นก็เย็น จะว่าสมองท้ายทอยเย็นก็เย็น เลยไม่รู้ว่าจุดนั้นอยู่ที่ไหน แขนเท้าก็เย็นแต่น้อยกว่า แต่บางครั้งหากลืมตาอยู่ ความรู้สึกใต้ผิวหนังจะเป็นแบบร้อนๆกรุ่นๆ จะว่าร้อนก็ไม่ใช่ เพราะที่รู้สึกร้อนๆก็รู้สึกเย็น ที่เย็นๆก็รู้สึกร้อน

    ขอเรียนถามว่าที่ฝึกมาถูกทางไหมครับ เพราะเคยอ่านบางโพสต์ของอาจารย์ที่ตอบท่านอื่น (แต่ไม่ทราบว่าจะเป็นคำตอบที่เหมาะกับผมไหม) บอกว่าเย็นจะไม่ค่อยดี ในกายใต้ผิวหนังควรอุ่น รอบกายเย็นประมาณนี้ ไม่แน่ใจว่าผมจำผิดไหม แต่ที่ผมเย็นที่ความรู้สึกดีมากครับสดชื่น ทำให้ไม่ง่วง ความเย็นนี้ทำให้วันๆนึงผมหลับน้อยมาก 1-2ชั่วโมงก็พอแล้ว แล้วอีกอย่างนอนอยู่ก็ได้ยินเสียงกรนหรือเสียงหายใจตนเอง ไม่แน่ใจ เพราะรู้สึกไม่ได้หลับแต่ก็มีเสียง เป็นบ่อยๆ
     
  10. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    กราบนอบน้อมอาจารย์
    และสวัสดีทุกท่านครับ

    ช่วงนี้ ผมมีอาการเย็นทั้งร่าง เย็นสดชื่นตื่นๆ แต่รู้สึกมีศูนย์กลางของความเย็น คือมีจุดนึงที่เย็นที่สุด แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนในร่าง จะว่าอกเย็นก็เย็น จะว่าตาสองข้างเย็นก็เย็น จะว่าหน้าผากเย็นก็เย็น จะว่ากระหม่อมเย็นก็เย็น จะว่าสมองท้ายทอยเย็นก็เย็น เลยไม่รู้ว่าจุดนั้นอยู่ที่ไหน แขนเท้าก็เย็นแต่น้อยกว่า แต่บางครั้งหากลืมตาอยู่ ความรู้สึกใต้ผิวหนังจะเป็นแบบร้อนๆกรุ่นๆ จะว่าร้อนก็ไม่ใช่ เพราะที่รู้สึกร้อนๆก็รู้สึกเย็น ที่เย็นๆก็รู้สึกร้อน

    +++ หากมีอาการเกิดขึ้นอีก "ห้ามหาจุดศูนย์กลาง" ให้ค่อย ๆ "ขยายความรู้ตัว" ให้ครอบคลุมทั้งตัวอย่างเบา ๆ ช้า ๆ "อย่าให้ความรู้สึก ร้อน-เย็น หายไปไหน" เมื่อความรู้ตัว สามารถครอบคลุมทั่วร่างได้แล้ว จะพบจุดศูนย์กลาง "โดยที่จิตไม่ได้ให้ความหมาย" เป็นอาการ "ถูกรู้เฉย ๆ โดยไม่ต้องการความเข้าใจใด ๆ ทั้งสิ้น" ความเข้าใจนั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ "จิตถอนเข้าสู่สภาวะปกติในขณะจิตนั้น ๆ แล้วเท่านั้น"

    ขอเรียนถามว่าที่ฝึกมาถูกทางไหมครับ

    +++ ถูกแล้วครับ

    เพราะเคยอ่านบางโพสต์ของอาจารย์ที่ตอบท่านอื่น (แต่ไม่ทราบว่าจะเป็นคำตอบที่เหมาะกับผมไหม) บอกว่าเย็นจะไม่ค่อยดี ในกายใต้ผิวหนังควรอุ่น รอบกายเย็นประมาณนี้ ไม่แน่ใจว่าผมจำผิดไหม

    +++ จำผิดครับ นั่นน่าจะมาจากโพสท์ของคนอื่น สิ่งที่ผมเคยบอกอยู่เสมอในเรื่องของความรู้สึกตัว คือ "สามารถควบคุมพลังงานของความรู้สึก ให้ออกมาในรูป เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ไหลสะพัด (น้ำ) โบกสะบัด (ลม)" ได้ และความรู้สึกตัวแบบ "ตะจะปะริยันโต" นั้น ภายในจะสงบนิ่งกว่าภายนอก และจะเกิดความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิภายในกับภายนอก แต่คำว่า "เย็นจะไม่ค่อยดี" นั้นไม่ใช่ผมแน่นอน

    +++ จริง ๆ แล้วการปฏิบัติแบบที่ผมให้ไว้นี้ "ข้ามพ้นความ ดี-ชั่ว" ไปแล้ว จะเหลืออยู่ก็แต่ "ความ จริง-เท็จ" ที่ปรากฏ เท่านั้น

    +++ การฝึกปฏิบัติ "ไม่ควรใช้ ความจำใด ๆ เข้ามาเจือปน" เพราะหาก จำ ผิดนิดเดียว หรือเป็นเพียงแค่ "คำ" คำเดียวที่จำผิดไป ผลลัพธ์ อาจออกมาผิดทางแบบกู่ไม่กลับเลย ก็เป็นได้

    +++ หลักปฏิบัติที่สมควรนั้น คือ "พิสูจน์ ตรวจสอบ และ ประเมินผล" หลังจากที่ "สติครองฐาน" ได้มั่นคงแล้ว เท่านั้น

    แต่ที่ผมเย็นที่ความรู้สึกดีมากครับสดชื่น ทำให้ไม่ง่วง ความเย็นนี้ทำให้วันๆนึงผมหลับน้อยมาก 1-2ชั่วโมงก็พอแล้ว แล้วอีกอย่างนอนอยู่ก็ได้ยินเสียงกรนหรือเสียงหายใจตนเอง ไม่แน่ใจ เพราะรู้สึกไม่ได้หลับแต่ก็มีเสียง เป็นบ่อยๆ

    +++ การได้ยิน "เสียงกรนหรือเสียงหายใจตนเอง" เป็นสิ่งที่ "ระบุ-บ่งบอก ได้ว่า สติ กำลังจะทรงตัวลงไปในระดับ จิตใต้สำนึก" ได้ในอีกไม่นานนัก ให้ปล่อยไปตามธรรมชาติแบบนั้น อย่าไปแทรกแซงอะไรทั้งสิ้น

    +++ ขณะที่ยัง "อยู่" กับเสียงกรนหรือเสียงหายใจตนเอง นั้น "หากมีเสียงละเอียด หรือ แม้แต่เสียงความคิดใด ๆ แทรกแซง หรือ ระบุ มาเป็นการส่วนตัว" ก็จะมีขีดความสามารถที่จะรับได้ตามธรรมชาติของ สติและจิต ในระดับนั้น หากมีความชำนาญที่ "อยู่" ในระดับนี้ "ในยามที่หลับ หรือ กำลังกรนอยู่นั้น" ก็จะมีขีดความสามารถในการ "พูด หรือ สนทนา" ในขณะที่อีก ส่วนหนึ่งกำลังหลับอยู่ได้ แต่ไม่ควรลองหรือทดสอบกับ "ผู้ที่ไม่คุ้นเคย หรือ ผู้ที่กลัวผีมาก ๆ" เพราะมันอาจเกิดเหตุ "โกลาหล" ได้ไม่ยากอะไรนัก

    +++ หากปล่อยให้เลยระดับนี้ไปอีกนิด ก็จะเป็นปรากฏการณ์ของ "หลับอยู่ส่วนหลับ และ ตื่นอยู่ส่วนตื่น" ซึ่ง "ส่วนที่หลับ จะหลับสนิทอย่างยิ่ง" แต่ "ส่วนที่ตื่น ก็จะตื่นโดยไร้ความปรุงแต่ง" และแยกกันอยู่แบบ "ส่วนใครส่วนมัน" ซึ่งตรงนี้ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง มักจะย้ำเตือนให้ ลูกศิษย์ใกล้ชิด (หมู่สงฆ์) พยายามทำให้ได้ เพราะมันจะเป็น หลักประกันในการปฏิบัติธรรมให้รุดหน้าต่อไป ในอนาคต นะครับ
     
  11. torelax9

    torelax9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    167
    ค่าพลัง:
    +527
    กราบนอบน้อมอาจารย์ ผมสับสนเองครับคงเข้าใจผิดแล้วจำผิดเพราะเป็นโพสต์อาจารย์ธรรม-ชาติที่ตอบท่านอื่น แล้วผมนำมาเทียบเคียงกับการปฏิบัติของตน คงต้องดูที่บริบทและบุคคลด้วย

    เรื่องศูนย์กลางของความเย็น ดีครับที่ผมถาม ไม่งั้นผมคงไปสนใจ เพราะเคยอ่านโพสต์ตอบของอาจารย์ธรรม-ชาติที่เกี่ยวกับ ในปรากฏการณ์นึง ให้ใช้สติแตะเบาๆที่ศูนย์กลางของปรากฏการณ์ ผมจับแพะชนแกะลองทดลองว่าเกี่ยวเนื่องกันไหม มาประยุกต์ใช้ได้ไหม ทดลองอะไรประมาณนี้ครับ ดีที่ผมถามอาจารย์ก่อนครับ ไม่งั้นก็เสียเวลาทดลองครับ
     
  12. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    กราบนอบน้อมอาจารย์ ผมสับสนเองครับคงเข้าใจผิดแล้วจำผิดเพราะเป็นโพสต์อาจารย์ธรรม-ชาติที่ตอบท่านอื่น แล้วผมนำมาเทียบเคียงกับการปฏิบัติของตน คงต้องดูที่บริบทและบุคคลด้วย

    +++ ใช่ครับ คำตอบของผม จะใช้คำตอบที่ตรงกับอาการของผู้ถามเป็นหลัก แต่ผู้ที่จะหยิบมาใช้ได้ก็คือ ผู้ที่มีการฝึกอยู่ในระดับบริเวณเดียวกันเท่านั้น และต้องมีความคุ้นเคยกับระบบภาษาที่ผมใช้อยู่ พอสมควร คำตอบของผมเป็นระบบของการเดินจิต ที่ผู้ทดสอบการเดินจิตตาม ก็จะมีผลลัพธ์ปรากฏตามที่บอกไว้ และ ส่วนใหญ่จะ "ไม่ใช่การบรรยายธรรมแบบทั่วไป" ซึ่งมีอยู่มากมายหลายแบบ ซึ่งหาได้ไม่ยาก และมีอยู่โดยทั่วไปอยู่แล้ว

    เรื่องศูนย์กลางของความเย็น ดีครับที่ผมถาม ไม่งั้นผมคงไปสนใจ เพราะเคยอ่านโพสต์ตอบของอาจารย์ธรรม-ชาติที่เกี่ยวกับ ในปรากฏการณ์นึง ให้ใช้สติแตะเบาๆที่ศูนย์กลางของปรากฏการณ์

    +++ ตรงนี้เป็นเรื่องของ "สติ ตามระดับของผู้ฝึก" ในระดับที่ "4. การกำหนดจิต ทั้งหมด ถูกรู้" ซึ่งเป็นเรื่องของ "การอ่านวาระจิตตนเอง" ซึ่งจะเป็นระยะที่ อยู่กับจิตแต่ละขณะ และมักจะเกิดปรากฏการณ์ ของ "วาระจิตแปลกปลอม ที่เจือปนเข้ามา" ยามใดที่เกิดปรากฏการณ์ของ "จิตอื่นที่ไม่ใช่จิตตน" จึงให้ใช้ "สติแตะเบาๆที่ศูนย์กลางของปรากฏการณ์นั้น ๆ" แล้วจะทราบได้เองว่า "จิตวาระนั้นเป็นของใคร" ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องของ "เจโตปริยะญาน" อันเป็นเรื่องของ "จิตผู้อื่น ส่งออกมาฟ้องเราเอง" (จิตส่งออก คือ สมุทัย ของหลวงปู่ดูลย์ แต่ ธรรมชาติของจิต คือ ส่งออก เว้นไว้แต่ผู้ที่ เห็นภัยจากจิตแล้วนั่นแหละ) โดยที่เราไม่ได้ ส่งออก ไปสอดแนมผู้ใด ซึ่ง 99.99% เป็นเรื่องการปรุงแต่ง แต่นึกเอาเองว่าเป็นเจโตปริยะญาน และมักจะ "ผิด" เสมอ

    ผมจับแพะชนแกะลองทดลองว่าเกี่ยวเนื่องกันไหม มาประยุกต์ใช้ได้ไหม ทดลองอะไรประมาณนี้ครับ ดีที่ผมถามอาจารย์ก่อนครับ ไม่งั้นก็เสียเวลาทดลองครับ

    +++ การทดลอง "ขั้นต่ำ ควรอยู่ในหมวดเดียวกัน และไม่ควรต่างระดับกัน" เรื่องของ "ร้อน เย็น อ่อน แข็ง ไหลสะพัด (น้ำ) โบกสะบัด (ลม)" นั้นยังอยู่ในเรื่องของ "กายเวทนา" ซึ่งเป็นสติระดับ "3. กำหนดรู้" และยังห่างจากระดับ "4. รู้การกำหนด (ทุกชนิด)" ดังนั้นไม่ควรทดลองแบบ ต่างระดับ นะครับ
     
  13. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    พี่คะ
    ตอนที่นั่งสมาธิเมิลมีอาการสั่น เหมือนโดนเขย่า คล้ายกับเครื่องบินตอน Take Off นะคะ ตอนนั้นนั่งสมาธิอยู่กำลังจะเข้า"ว่าง" สักพักร่างกายก็สั่น ตอนนั้นเราเป็นคนข้างในร่างกายอีกทีรับรู้อาการสั่น สักพักก็หายไปคะ ก็นั่งต่อไล่ว่าง โล่ง รู้ แต่ยังไปไม่ถึงเฉยเลย ยังไม่ตื่น สงสัยต้องฝึกต่อหน้าอีกสักรอบ อาการสั่นนี่เป็นมา 2 ครั้งแล้วคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2014
  14. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    พี่คะ
    ตอนที่นั่งสมาธิเมิลมีอาการสั่น เหมือนโดนเขย่า คล้ายกับเครื่องบินตอน Take Off นะคะ ตอนนั้นนั่งสมาธิอยู่กำลังจะเข้า"ว่าง" สักพักร่างกายก็สั่น ตอนนั้นเราเป็นคนข้างในร่างกายอีกทีรับรู้อาการสั่น สักพักก็หายไปคะ

    +++ ให้ทำย้อนรอยเดิมจนเกิดอาการ "สั่น" อีกสัก 2-3 ยก ในครั้งนี้ ขณะที่ "สั่น" เกิดขึ้น มันจะแฝงอาการ "รู้อยู่ สั่นอยู่" ให้ "ย้ายมาอยู่กับรู้" จนกระทั่ง "สั่นถูกรู้" การเดินจิต แบบรายละเอียด จะมีดังนี้

    1. เรารู้ รวมอยู่กับ สั่น ให้ขยายรู้จนกว่าจะ "ครอบคลุม" อาการสั่นทั้งหมด (หากจิตถอนตรงนี้ ให้กลับเข้าสู่สภาวะเดิมทันที) จนกว่า
    2. จะเกิดอาการ "มันสั่น แต่ เราไม่สั่น" ให้ประคองตรงนี้ให้ดี "อย่าถอนจิต" (หากถอนตรงนี้ อาจยากที่จะกลับเข้าสู่สภาวะเดิม หรือ สภาวะนั้นอาจไม่เกิดอีกเลยก็ได้)
    3. หากประคองอยู่ได้ จาก "มันสั่น แต่ เราไม่สั่น" จะกลายตัวออกมาเป็น "สั่นไม่ใช่เรา และ เราไม่ใช่สั่น"
    4. เมื่อ "สั่น และ เรา" แยกตัวออกจากกันแบบ "เบ็ดเสร็จเด็ดขาด" มักจะมีอาการ "ตื่นเต้น จนอยากวิ่งไปรอบ ๆ บ้าน หรือ อยากกระโดดโลดเต้น ด้วยความดีใจ" (น่าจะตรงกันกับ อุพเพงคาปีติ) เพราะเกิดการ "รู้แจ้ง" ว่า "กายเวทนา รวมทั้ง เวทนาทั้งมวลไม่ใช่ตน" และการ "หลุดออก พ้นออก จาก ตนที่เป็น กายเวทนา" นี้เป็น วิมุติญานทัศนะ ชนิดหนึ่ง ซึ่งคำว่า วิมุติ แปลว่า หลุดออก หรือ พ้นออก จากกันนั่นเอง
    5. อาการของ อุพเพงคาปีติ ที่เกิดจากการ "รู้แจ้ง" ในชั้น "กายเวทนา" (เวทนาวิมุติ) นี้ เป็น "วิมุติสุข" ของชั้นนี้ แต่จะแตกต่างกันกับการ หลุดออก พ้นออก ในชั้น กายจิต ซึ่งตรงนั้นเป็น เจโตวิมุติ ซึ่งจะเป็นอาการ "สว่างด้วยสติ" และเป็นความสุขที่เหนือกว่า และ ไม่มีในฌานใด ๆ ทั้งสิ้น

    +++ ให้จัดการเรื่อง "การสั่น" ก่อนเพราะตรงนี้เป็นเรื่องของ "การปิดอบาย" หากทำได้ก็จะเหลือแต่เพียง กายจิต และ กายธรรมารมณ์ เท่านั้น และไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องย้อนรอยกลับมาเป็น มนุษย์และต่ำกว่า อีกเลย

    ก็นั่งต่อไล่ว่าง โล่ง รู้ แต่ยังไปไม่ถึงเฉยเลย ยังไม่ตื่น สงสัยต้องฝึกต่อหน้าอีกสักรอบ อาการสั่นนี่เป็นมา 2 ครั้งแล้วคะ

    +++ เป้าหมายหลักคือ จัดการกับความสั่นก่อน ส่วนเรื่อง จิตเปล่งรังสี นั้นยังเป็น โลกียะอยู่ เมื่อมาฝึกแล้วจึงค่อยว่ากันไปตามสถานการณ์ อีกที
     
  15. mobilelizard

    mobilelizard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    558
    ค่าพลัง:
    +4,678
    มาเป็นพะยานเรื่อง "กาย" ที่คุณธรรมชาติพูดถึงบ่อยๆ ครับ ว่่าด้วยกายต่างๆ ที่ซ้อนๆ กัน

    -กายธรรมารมณ์ (กาย "ตัวดู") (อรูปพรหม-รูปพรหม) อรูปไม่มีรูป รูปพรหมมีรูป
    -กายธรรมารมณ์ถ้ามีรูป รวมกับแสงที่กาย ได้กายจิต แสงตรงนี้ต้องเห็นเองถึงจะเข้าใจ (=กามวจร)
    -กายเวทนามีลักษณะเป็นสีดำ สามารถเคลื่อนได้ หนาบางได้ ตัวดูกำหนดให้เป็นไปได้
    -กายเนื้อ รู้ๆ กันอยู่

    แนะนำว่าอ่านได้แต่ต้องไปเห็นเอง เพราะท้ายที่สุดประสบการณ์เท่านั้นจึงจะเข้าใจจริง...

    เรื่องการเห็นตรงนี้ คนไม่เคยเห็นมั่วไม่ได้ นอกจากไปจำเขามาพูด คนทำมาถูกมาเทียบกันได้ เมื่อผ่านจุดนั้นมาเหมือนกัน ย่อมเห็นเหมือนๆ กัน...คุยกันรู้เรื่อง เป็นแนวเดียวกัน ({)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มกราคม 2014
  16. MindSoul1

    MindSoul1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2012
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +496
    มีอีกค่ะ
    (จากประสบการณ์จริงเช่นกันค่ะ คุณธรรม-ชาติก็มีกล่าวไว้หลายแห่งแต่ไม่ได้ใช้ชื่อนี้ค่ะ)

    -กายธรรม (ธรรมกาย) เป็นความหมายของพุทธวจนความว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา"

    :cool:
     
  17. MindSoul1

    MindSoul1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2012
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +496
    ไม่ใช่วิชาธรรมกาย หรือ วัดธรรมกาย นะคะ อิอิ เดี๋ยวมีคนเข้าใจผิด
    ยังไงรบกวนคุณธรรม-ชาติขยายความเพิ่มเติมให้หน่อยนะคะ ขอบคุณค่ะ
     
  18. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    อ้างอิงท่าน ธรรม-ชาติ

    +++2. "ระลึกรู้" เป็นอาการของผู้ฝึกเบื้องต้นที่พอรู้ว่า การระลึกรู้ร่างกายของตัว คือ สติ ผู้ที่อยู่ในระดับนี้ มักจะเห็นว่า "สติ" ไม่มีความหมายอะไรเลย เกิดฤทธิ์ไม่ได้ ไม่ใช่ทางแห่งสมาธิ และไร้ประโยชน์ และ "ยังหลงเข้าใจผิด อย่างรุนแรง" เสียอีกว่า พอระลึกรู้ตัวแล้วก็คิดไปเรื่อย ๆ คือ วิปัสสนา และเป็นที่น่าเสียดายว่า ผู้ชี้แนะให้ข้ามพ้นด่านนี้ หาได้ไม่ง่ายนัก




    ช่วยขยายความข้อความข้างต้นให้หน่อยค่ะ แล้วจะมีวิธีการข้ามพ้นด่านนี้ได้อย่าไรนะคะ

    ขออธิบายเพิ่มเติมนิดหนึ่งค่ะ เพื่อที่ได้ชี้แนะ อาจจะเป็นความเข้าใจผิดของข้าพเจ้าก็ได้ค่ะ

    1.เคยนั่งสมาธิแบบกำหนดเพ่งรูป หรือ ลมหายใจ น้อยครั้งบางที่จะประสบสำเร็จ เหมือนจิตไม่มีที่ยึดเกาะ รู้ตัวได้เลยว่าถ้านั่งประมาณ 1 ชั่วโมง จะมีสติรวมกันไม่ถึง 10 นาที นอกนั้นไม่เคยรู้สึกตัวเลย พอออกจากสมาธิแล้วเหนื่อย และเครียดค่ะ

    2.ถ้านั่งแบบให้มีนิมิตความคิด พิจารณต่าง ๆ ในสิ่งต่าง ๆ ที่ตนเองได้รับ จิตจะสงบ รู้ตัวตลอดเวลา รู้ว่าคิดจิตส่งออกนอกตัว รู้ว่าคิดจิตอยู่ภายใน พอสงบแล้วบางครั้งก็ปล่อยวางได้แต่น้อยครั้ง แต่แทบทุกครั้งไม่เคยปล่อยวางความคิดได้เลย แต่ผลที่ออกมารู้สึกว่าจิตมีพลัง แต่มีอารมณ์ที่สู้กิเลสไม่ได้ มีดีอยู่นิดหนึ่งว่านิสัยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มกราคม 2014
  19. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    เพิ่มเติมอีกนิดหนึ่งค่ะ

    เมื่อประมาณอายุ ประมาณ 8-9 ขวบ มีจะมีความรู้สึกว่า ภายในร่างกายของตนนั้นเต็มไปด้วยพลังงานไฟฟ้า เหมือนมีสิ่งที่รู้เข้าไปรู้ว่ามีอะไรหมุนวนในร่างกาย เต็มไปด้วยความโหวงเหวง ได้ยินเสียงในร่างกาย ประมาณนี้นะคะ

    และปัจจุบันอยู่เฉย ๆ บางครั้ง ก็เห็นแสงกลม ๆ ขนาดเล็กแต่ข้างในสว่างจ้ามาก ก็เลยคิดเอาเองว่าน่าจะเคยฝึกกสินแสงสว่างมา แต่พยายามฝึก แล้วเครียด รู้สึกปวดศรีษะ ไม่เหมือนกับเอาความรู้สึกมาจับที่ความคิด ความรู้สึกแตกต่างกันมากเลย
     
  20. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ของคุณ MindSoul1

    มีอีกค่ะ
    (จากประสบการณ์จริงเช่นกันค่ะ คุณธรรม-ชาติก็มีกล่าวไว้หลายแห่งแต่ไม่ได้ใช้ชื่อนี้ค่ะ)

    -กายธรรม (ธรรมกาย) เป็นความหมายของพุทธวจนความว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา"

    +++ ชื่อที่ผมใช้เป็นประจำคือ "สภาวะรู้" ที่ไม่ใช่ "ขันธ์" ใด ๆ ทั้งสิ้น นั่นเอง

    ไม่ใช่วิชาธรรมกาย หรือ วัดธรรมกาย นะคะ อิอิ เดี๋ยวมีคนเข้าใจผิด
    ยังไงรบกวนคุณธรรม-ชาติขยายความเพิ่มเติมให้หน่อยนะคะ ขอบคุณค่ะ

    +++ ครับ "สภาวะรู้" ครูบาอาจารย์บางท่านเรียกมันว่า "ธาตุรู้" มันเป็นเพียง "สภาวะหนึ่ง ที่มีสภาพเป็นรู้ ไม่สามารถทำให้ เกิด และ ตาย ได้เลย รวมทั้งไม่มีสภาพของ ดิน น้ำ ลม ไฟ ใด ๆ ตั้งอยู่ได้ แม้กระทั่ง สภาวะที่เป็นฌาน ก็ไม่ตั้งอยู่ได้เช่นกัน เป็นสภาวะนิรทุกข์ที่แท้จริง" มีมาก่อนและเกิดมาก่อน พระพุทธเจ้าทั้งมวล แต่ พระพุทธเจ้าทั้งมวล ได้พบสภาวะนี้ก่อนผู้ใด แล้วนำมาเอื้อเฟื้อต่อเหล่าสรรพจิตทั้งหลาย ในแต่ละยุคแต่ละสมัย ซึ่งในยุคสมัยปัจจุบันนี้ ผู้ค้นพบเจอสภาวะนี้เป็นบุคคลแรก คือ พระพุทธเจ้าพระมหาสมณโคดม นั่นเอง และสภาวะนี้มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฏกว่า "ธรรมกายา" นั่นแหละ และ ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับ "ลูกแก้วราคาแพงทั้งหลาย" นะครับ

    =====================================================================================

    ของคุณ กลายแก้ว

    อ้างอิงท่าน ธรรม-ชาติ

    +++2. "ระลึกรู้" เป็นอาการของผู้ฝึกเบื้องต้นที่พอรู้ว่า การระลึกรู้ร่างกายของตัว คือ สติ ผู้ที่อยู่ในระดับนี้ มักจะเห็นว่า "สติ" ไม่มีความหมายอะไรเลย เกิดฤทธิ์ไม่ได้ ไม่ใช่ทางแห่งสมาธิ และไร้ประโยชน์ และ "ยังหลงเข้าใจผิด อย่างรุนแรง" เสียอีกว่า พอระลึกรู้ตัวแล้วก็คิดไปเรื่อย ๆ คือ วิปัสสนา และเป็นที่น่าเสียดายว่า ผู้ชี้แนะให้ข้ามพ้นด่านนี้ หาได้ไม่ง่ายนัก

    ช่วยขยายความข้อความข้างต้นให้หน่อยค่ะ

    *** ตรงนี้คือ "บุคคลที่พอจะรู้จัก สติ อยู่บ้าง" แต่ไม่รู้ว่า "จะเอาไปทำอะไร หรือ มีประโยชน์อย่างไร" สำหรับนักปฏิบัติที่มุ่งทาง "สมาธิ" จะแยกคำว่า สติ กับ สมาธิ ออกจากกันไปเลย โดยการมุ่งไปที่ "สมาธิคือการตั้งจิตมั่น" แต่เพียงประการเดียว และมักจะต้องการให้เกิด "อภิญญาฤทธิ์" เป็นหลัก โดยไม่ทราบเลยว่า "อภิญญา ทั้งหมดนั้น อิงอยู่กับขันธ์ทั้งสิ้น" และอภิญญาจริง ๆ คือ "มีปัญญาในการใช้ขันธ์" เพียงแต่ว่า "ก่อนจะใช้ขันธ์ได้นั้น" ต้อง "เห็นขันธ์" เสียก่อน

    *** การเห็นขันธ์ได้นั้นต้องทำ "สติให้เป็นสมาธิ" เท่านั้นจึงจะเห็นขันธ์ได้ตามความเป็นจริง จากนั้นจึง "เห็นกระบวนการ เกิดขึ้น พัฒนา และ สิ้นสุด ของขันธ์" ได้โดยไม่มี "การคิดเอาเอง เออเอาเอง" ใด ๆ เข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งตรงนี้มักจะเข้าใจผิดว่า "ต้องคิดเอาเอง เออเอาเอง" จึงเป็นวิปัสสนา ดังนั้นจึงเป็นการสุดกู่ทั้งสองทาง

    แล้วจะมีวิธีการข้ามพ้นด่านนี้ได้อย่าไรนะคะ

    *** ทางสายกลางคือ "ทำสติให้เป็นสมาธิ" และวิธีการที่ ทำได้จริงและไม่ยากจนเกินไปคือ "ทำความรู้สึกทั้งตัว แล้วอยู่กับมัน" ให้เป็นจุดเริ่มต้น หากทำได้ "ไม่นานก็จะรู้จัก กายในกาย หรือ เห็นขันธ์ ได้เอง" จากนั้นจึงถึงขั้นที่ 3 คือ "กำหนดรู้" นะครับ

    ==================================================================================

    ขออธิบายเพิ่มเติมนิดหนึ่งค่ะ เพื่อที่ได้ชี้แนะ อาจจะเป็นความเข้าใจผิดของข้าพเจ้าก็ได้ค่ะ

    1.เคยนั่งสมาธิแบบกำหนดเพ่งรูป หรือ ลมหายใจ น้อยครั้งบางที่จะประสบสำเร็จ เหมือนจิตไม่มีที่ยึดเกาะ รู้ตัวได้เลยว่าถ้านั่งประมาณ 1 ชั่วโมง จะมีสติรวมกันไม่ถึง 10 นาที นอกนั้นไม่เคยรู้สึกตัวเลย พอออกจากสมาธิแล้วเหนื่อย และเครียดค่ะ

    +++ อาการของ "กำหนดเพ่งรูป หรือ ลมหายใจ" นั้นเป็น "จิตเพ่งรูป หรือ จิตเพ่งลมหายใจ" ทั้งหมดเป็น "ตั้งจิตมั่น"

    +++ หากเป็น "รู้อยู่กับรูป หรือ รู้อยู่กับลมหายใจ" ตรงนี้เป็น "สติอยู่กับรูป หรือ สติอยู่กับลมหายใจ" ตรงนี้เป็น "ฝึกสติ"

    +++ เพียงแต่แยกให้ออกว่า "อะไรเป็นอาการของรู้ และ อะไรเป็นอาการของเพ่ง" ก็จะเข้าจุดที่ตัดสินได้ว่า "ตรงไหนเป็นตั้งสติ และ ตรงไหนเป็นตั้งจิต"

    2.ถ้านั่งแบบให้มีนิมิตความคิด พิจารณต่าง ๆ ในสิ่งต่าง ๆ ที่ตนเองได้รับ จิตจะสงบ รู้ตัวตลอดเวลา รู้ว่าคิดจิตส่งออกนอกตัว รู้ว่าคิดจิตอยู่ภายใน พอสงบแล้วบางครั้งก็ปล่อยวางได้แต่น้อยครั้ง แต่แทบทุกครั้งไม่เคยปล่อยวางความคิดได้เลย แต่ผลที่ออกมารู้สึกว่าจิตมีพลัง แต่มีอารมณ์ที่สู้กิเลสไม่ได้ มีดีอยู่นิดหนึ่งว่านิสัยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

    +++ "นั่งแบบให้มีนิมิตความคิด พิจารณต่าง ๆ ในสิ่งต่าง ๆ ที่ตนเองได้รับ จิตจะสงบ รู้ตัวตลอดเวลา" แน่ใจหรือว่าสามารถ "นั่งดูหนังแบบ รู้ตัวได้ตลอดเวลา" การนั่งดูหนังนั้น "เขาปรุงมาให้แล้ว จึงไม่เหนื่อยเท่าไร" แต่ถ้า "เรามาปรุงเอาเอง จะเหนื่อยมากกว่านะ" และ การรู้ตัวก็จะยุ่งยากกว่าหลายเท่าตัว

    เพิ่มเติมอีกนิดหนึ่งค่ะ

    เมื่อประมาณอายุ ประมาณ 8-9 ขวบ มีจะมีความรู้สึกว่า ภายในร่างกายของตนนั้นเต็มไปด้วยพลังงานไฟฟ้า เหมือนมีสิ่งที่รู้เข้าไปรู้ว่ามีอะไรหมุนวนในร่างกาย เต็มไปด้วยความโหวงเหวง ได้ยินเสียงในร่างกาย ประมาณนี้นะคะ

    +++ ทำตรงนี้ให้เป็นนิสัย ตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นของ "ความรู้สึกทั้งตัว" และสิ่งที่เรียกว่า "ความรู้สึกนั้น คือ พลังงานรูปหนึ่ง" ตรงนี้ถูกต้องแล้ว

    และปัจจุบันอยู่เฉย ๆ บางครั้ง ก็เห็นแสงกลม ๆ ขนาดเล็กแต่ข้างในสว่างจ้ามาก ก็เลยคิดเอาเองว่าน่าจะเคยฝึกกสินแสงสว่างมา แต่พยายามฝึก แล้วเครียด รู้สึกปวดศรีษะ ไม่เหมือนกับเอาความรู้สึกมาจับที่ความคิด ความรู้สึกแตกต่างกันมากเลย

    +++ อย่างอื่น "ให้วางไว้ก่อน" ให้จับกับ "ความรู้สึกทั้งตัว คือ พลังงานรูปหนึ่ง" ให้ได้ก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง นะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...