นิมิต - กรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 11 พฤษภาคม 2019.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    อาตมาเองตั้งแต่ฆราวาสก็ตื่นตี ๓ ปฏิบัติธรรมจนกระทั่งไปนอนเอา ๒ ทุ่ม #ระหว่างวันก็ทำงานไปด้วย #ภาวนาไปด้วย #เวลาที่จะฟุ้งซ่านก็ไม่มี มีอยู่อย่างเดียวคือเวลาไม่พอให้ปฏิบัติ ไม่พอให้ปฏิบัติก็คือรู้สึกว่า น่าจะมีเวลาให้เราภาวนาได้มากกว่านี้ ตอนช่วงที่ภาวนาได้อย่างเป็นล่ำเป็นสันที่สุด ก็คือตอนช่วงเป็นนักเรียนทหาร เพราะว่าตื่นตั้งแต่ตี ๕ แล้วครูฝึกก็พาวิ่งไปเรื่อยไม่ครบ ๑๒ กิโลเมตรก็ไม่เลิก #จึงใช้วิธีวิ่งไปภาวนาไป ในเมื่อวิ่งไปภาวนาไป #อาตมาก็เลยเคยชินกับการทำกรรมฐานขณะที่กำลังเคลื่อนไหว
    ดังนั้น..เรื่องของการเดินจงกรมภาวนาจึงกลายเป็นเรื่องเล็กมาก เพราะว่าเคยวิ่งภาวนามาก่อน แล้วเวลาออกกำลังกาย จะหกคะเมนตีลังกาอย่างไร ก็พยายามกำหนดการภาวนา จึงยืนยันได้ว่า การภาวนาจริง ๆ แล้ว #ทำได้ทุกอิริยาบถ บางคนกลัวว่าเข้าห้องน้ำห้องส้วมแล้วภาวนาไม่ได้ เดี๋ยวจะบาปเพราะอยู่ในที่สกปรก เป็นต้น ขอบอกว่าเข้าใจผิด #ยิ่งอยู่ในห้องน้ำห้องส้วมยิ่งต้องภาวนาให้มากไว้ เพราะคนมีโรคประจำตัวอาจจะตายตอนกำลังเข้าห้องน้ำก็ได้ ถ้ากำลังใจไม่มีที่ยึดเกาะ เดี๋ยวพวกเราก็จะกลายเป็น #ลงอบายภูมิแทน #เพราะสภาพจิตเคยชินกับสิ่งที่ไม่ดีไว้มาก
    ช่วงที่บวชพระอยู่วัดท่าซุง #แต่ละวันมีเวลานอนประมาณ๒ชั่วโมง ที่เหลือ #ถ้าไม่ใช่ทำงานประจำในลักษณะทำไปภาวนาไป ก็จะอยู่ในลักษณะการทุ่มเทให้กับการปฏิบัติแบบจริง ๆ จัง ๆ
    ในเมื่อเป็นดังนั้น เมื่อสิ้นหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาจึงกลายเป็นหลักของวัด เพราะว่าพระผู้ใหญ่ส่วนใหญ่รวนเรไปหมด กำลังใจไม่เพียงพอที่จะเผชิญหน้ากับงานมหึมาขนาดนั้นได้ จนกระทั่งพระผู้ใหญ่หลายต่อหลายรูปในกรุงเทพฯ ถามว่า “คุณเป็นเจ้าอาวาสองค์ใหม่ใช่ไหม ?” ต้องกราบเรียนท่านไปว่า “กระผมเป็นพระใหม่ครับ” คาดว่าทำให้เขาตีราคาพระเก่าวัดท่าซุงสูงสุดฟ้าไปเลย ขนาดพระใหม่ยังสู้งานได้ขนาดนี้
    ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เราจะเห็นว่า ส่วนของสมาธิภาวนานั้นมี #ทั้งประโยชน์ปัจจุบัน ถ้าเราทำได้เกิดความสงบในใจขึ้น ปัญหาต่าง ๆ เกิดขึ้น ก็สามารถที่จะแก้ไขจัดการให้เรียบร้อยลงไปได้ทุกอย่าง #เพราะว่ามีสติรู้จักแยกแยะความ ก่อน หลัง เร็ว ช้า ของแต่ละปัญหา ปัญหาไหนมาเร็ว มาก่อน เร่งด่วน ให้แก้ไขปัญหานั้นก่อน ปัญหาอื่นก็วางกองเอาไว้ #เราจะมีปัญหาอยู่แค่ปัญหาเดียวตลอดเวลา #ซึ่งไม่เกินกำลังที่เราจะแก้ไขได้
    แต่ว่าส่วนใหญ่ที่พบมาก็คือ มักจะเอาหลาย ๆ ปัญหา #มาหมกรวมกัน #แล้วก็หลงประเด็น เห็นว่ามากมายมหาศาลจนเกินกำลังที่จะแก้ไขได้ #ก็เพราะว่าขาดสติ #จึงทำให้ขาดปัญญา
    ประการที่ ๒ ก็คือ #ประโยชน์สุขในอนาคต ถ้าเราสามารถรักษากำลังใจให้ทรงตัวอยู่ได้ เราย่อมมีสุคติเป็นที่ไปแน่นอน ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็เกิดเป็นมนุษย์ชั้นดี ถ้าหากเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม #ก็มีศักดานุภาพใหญ่ ด้วยอำนาจบุญกุศลจากกรรมฐานที่เราได้กระทำเอาไว้
    ข้อสุดท้ายคือ #ประโยชน์สูงสุด ได้แก่ การล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน บุคคลแค่หวังประโยชน์ในอนาคต #ก็ต้องทุ่มเทกันชนิดสุดชีวิตอยู่แล้ว ถ้าเราหวังประโยชน์สูงสุดแล้วไปเหยาะแหยะ ทำ ๆ ทิ้ง ๆ #ทำเป็นเล่นไป #โอกาสที่จะได้นั้นย่อมไม่มีเลย
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า พระองค์ท่านแสดงธรรมในแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเป็นสถานที่สำคัญขนาดไหนก็ตาม เป็นชุมชนที่มีบุคคลสำคัญขนาดไหนก็ตาม หรือว่าเป็นสถานที่กระจอกงอกง่อย แสดงธรรมกับบุคคลคนเดียวแถมเป็นวรรณะต่ำ ลำบากยากจน บางทีก็เจ็บไข้ได้ป่วย เป็นโรค พระองค์ท่านตรัสว่า #ทรงใช้กำลังในการแสดงธรรมเท่ากัน เปรียบเหมือนกับราชสีห์จับเหยื่อ #เหยื่อนั้นจะตัวใหญ่ตัวเล็กขนาดไหน #ราชสีห์ก็ทุ่มเทกำลังในการจับเหยื่อเท่ากัน จึงไม่ค่อยจะพลาดในการล่าเหยื่อ
    พวกเราเองต้องวิเคราะห์ตัวเองว่า #เราได้ทุ่มเทในการปฏิบัติธรรมเต็มที่แล้วหรือยัง ? #ศักยภาพของเราในการปฏิบัติธรรมมีมากกว่านี้ใช่ไหม ? เราใช้ไปได้ครึ่งหนึ่งหรือยัง ? เวลาในการปฏิบัติธรรมของเรามีน้อยเกินไปหรือไม่ ? ถ้านับเวลาเต็ม ๒๔ ชั่วโมง #จิตใจเราอยู่กับการปฏิบัติธรรมวันละกี่ชั่วโมง ? ขนาดครึ่งต่อครึ่ง
    อย่างเช่นว่าลืมตาตื่นปฏิบัติอยู่ ๑๒ ชั่วโมง หลับตาลงนอน ๑๒ ชั่วโมง #ยังเป็นเรื่องที่หากำไรไม่ได้เลย เพราะว่าเท่ากับเราทวนกระแสโลกมา ๑๒ ชั่วโมง #ถึงเวลาก็ปล่อยไหลตามกระแสไป ๑๒ ชั่วโมง #กลายเป็นทำงานเหนื่อยเปล่า
    อาตมาเองตอนช่วงที่เป็นนักเรียนทหาร เวลาพักผ่อนหาได้ยากมาก ตื่นตี ๕ ฝึกไปเรื่อยจนถึง ๖ โมงเย็น เคารพธงชาติแล้วปล่อยไปอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้า พอเสร็จสรรพเรียบร้อยก็มาเข้าห้องเรียนต่อ เรียนทฤษฎีจนถึง ๓ ทุ่ม ให้เวลาในการทำความสะอาด ขัดเครื่องหมาย - รองเท้าให้เงาวับภายใน ๑๕ นาที แล้วเสียงนกหวีดจะดังขึ้นให้ไปนอน ก็แปลว่าประมาณ ๓ ทุ่ม ๑๕ นาทีถึงจะได้พัก พอ ๔ ทุ่มตรง นกหวีดปลุกให้ไปฝึกยุทธวิธีการรบเวลากลางคืน กว่าจะเลิกก็ตีสองตีสาม ตีห้าโดนปลุกใหม่
    กิจวัตรจะวนเวียนอยู่อย่างนี้ ด้วยความที่รู้สึกว่าเวลาในการภาวนามีไม่พอ #จึงต้องยอมอดนอนเพื่อจะได้มีเวลาภาวนา #พอตีสองนอน #ตีสามจะตื่นมาเพื่อภาวนา ถ้าเป็นพวกเราจะมีกำลังใจสู้ขนาดนั้นบ้างไหม ? #ยอมแลกเวลาพักผ่อนเพื่อให้มีเวลาในการปฏิบัติมากขึ้นบ้างไหม ? สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นเครื่องบอกได้ชัดเลยว่า #เราปฏิบัติแล้วสมควรที่จะได้มรรคผลหรือไม่ ? เพราะว่าถ้าเรายังเหยาะแหยะ อ่อนแอ เห็นแก่กิน เห็นแก่นอน ทนลำบากไม่ได้ #โอกาสที่จะเข้าถึงมรรคถึงผลก็มีน้อยมาก
    #เรื่องของมรรคผลเป็นเรื่องใหญ่มหาศาล #เหมือนกับขุดภูเขาพระสุเมรุด้วยจอบ ต้องค่อย ๆ พากเพียรขุดไปทีละจอบครึ่งจอบ จะต้องทำไปเรื่อย ถ้าอย่างนิทานโบราณเขากล่าวถึงเรื่องลุงโง่ย้ายภูเขา เพราะว่าทางออกจากหมู่บ้านไปเมืองมีภูเขาขวางอยู่ ต้องเดินข้ามเขาลำบากลำบน
    คุณลุงก็คว้าจอบไปค่อย ๆ ขุดทีละจอบสองจอบไล่ไปเรื่อย พอคนถามว่าทำอะไร ? ก็บอกว่าจะขุดภูเขาทิ้งไปเสีย มีแต่คนบอกว่า "ตาโง่เอ๋ย จะทำสำเร็จได้อย่างไร ? ภูเขาใหญ่ขนาดนั้น" ลุงโง่บอกว่า "ถ้าทำไม่สำเร็จ ก่อนตายก็จะมอบหมายให้ลูกทำต่อ ถ้าลูกทำไม่สำเร็จ ก่อนตายก็จะมอบหมายให้หลานทำต่อ #ถ้าขุดแบบนี้ทุกวันเชื่อว่าจะต้องย้ายภูเขาได้สำเร็จสักวันหนึ่ง"
    นั่นคือกำลังใจของลุงโง่ที่ทุกคนประณาม แต่ปรากฏว่าลุงทำได้สำเร็จ #ในที่สุดสามารถย้ายภูเขาได้อย่างที่ตนเองต้องการ ทั้ง ๆ ที่ดูแล้วv#เป็นเรื่องใหญ่เกินกำลังไปมาก
    แบบเดียวกับชนชาวปิ๊กมี่ที่แอฟริกา เป็นนิโกรผิวดำตัวเล็ก ๆ ถามว่าเล็กขนาดไหน โตที่สุดก็ประมาณเด็ก ๗-๘ ขวบ แต่มีนิสัยชอบกินช้างเป็นชีวิตจิตใจ จะแอบย่องเข้าไปใกล้ฝูงช้าง แล้วเอาหอกแทงเส้นเอ็นที่เท้าช้าง พอช้างโดนแทงไปไหนไม่ได้ก็ช่วยกันฆ่าให้ตาย ชาวปิ๊กมี่มีคติพจน์ประจำใจว่า “#ต่อให้ช้างใหญ่เท่าใหญ่ #ข้าก็จะกินไปทีละคำ”
    เพราะฉะนั้น..พวกเราต้องทำหน้าที่เหมือนกับลุงโง่ย้ายภูเขา หรือไม่ก็ชาวปิ๊กมี่ที่กินช้าง ดูว่าเราสามารถที่จะย้ายภูเขาหรือกินช้างทั้งตัวลงไปได้สำเร็จไหม ? #ถ้าสามารถทำได้อย่างนั้นก็แปลว่าชีวิตนี้ของเราไม่เสียทีที่เกิดมา
    หลวงพ่อวัดท่าซุงกล่าวอยู่เสมอว่า ถ้าเกิดมามี ๑๐ นิ้วเท่ากันแล้ว อะไรที่เขาทำได้เราต้องทำได้ #แล้วอะไรที่เขาทำได้ นอกจากเราทำได้ด้วยแล้ว #เราต้องทำให้ดีกว่าเขาด้วย ท่านบอกว่ากำลังใจต้องเป็นอย่างนี้ #ถึงจะนับว่าเป็นนักปฏิบัติที่แท้จริง
    ดังนั้น..พวกเราบางคนเคยปฏิบัติมา ๑๐ ปี ๒๐ ปี ๓๐ ปี ๔๐ ปี #ถ้าหาความก้าวหน้าไม่ได้ #ทำแล้วไม่ได้อย่างใจเสียที #ต้องถามตัวเองว่าทุ่มเทให้กับการปฏิบัติธรรมมากพอแล้วยัง ? #หรือเรายังให้ความสำคัญกับอย่างอื่นมากกว่า ?
    ยังให้ความสำคัญกับหน้าที่การงาน ให้ความสำคัญกับเพื่อนฝูง ให้ความสำคัญกับครอบครัว ให้ความสำคัญกับลูกหลาน หรือว่าต้องติดตามเสพข่าวสารอยู่ตลอดเวลา ต้องรับ SMS ส่งข่าวทุก ๓ นาที ๕ นาที #จะต้องเข้าอินเตอร์เน็ต #จะต้องเข้าไลน์ #จะต้องเข้าเฟซบุ๊ก #ซึ่งมีแต่แย่งเวลาเราไปจนหมด
    สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ถ้าจะใช้..#ให้ใช้ในขณะที่เราสามารถทรงอารมณ์ภาวนาในทุกอิริยาบถได้แล้ว #ไม่อย่างนั้นแล้วสิ่งเหล่านั้นก็จะแย่งเวลาของเราไปหมด สร้างความฟุ้งซ่านให้เกิดขึ้นแก่เรา กลายเป็นตัวตนที่มากขึ้น ยากต่อการตัด การละ
    อย่างที่วันแรกได้บอกกับพวกเราว่า ลองดู ๕ วันนี้เราไม่เล่นเฟซบุ๊ก ไม่เล่นอินเตอร์เน็ต ไม่ใช้โทรศัพท์ #ดูว่าจะตายไหม ? #ปรากฏว่าตายหมดแล้ว #ศพเกลื่อนวัดเลย ..!
    โยมอาจจะไม่เชื่อว่า บางเดือนอาตมารับโทรศัพท์แค่ ๓-๔ ครั้ง เพราะว่าพระผู้ใหญ่โทรมา #นอกนั้นใครจะโทรมาก็ช่างหัวมัน บางทีเวลาโทรศัพท์ดัง ดูแล้วไม่ใช่เบอร์ของพระผู้ใหญ่ที่เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง #อาตมาก็ปล่อยทิ้งไป จนท่านกอล์ฟถามว่า “อาจารย์ครับ ทำไมไม่รับโทรศัพท์ ?” ก็บอกไปว่า "
    ผมไม่ได้มีธุระอะไรกับเขานี่หว่า.." ท่านก็บอกว่า “บางทีเขาอาจจะมีธุระ” "นั่นธุระของเขา ไม่ใช่ธุระของผม..!"
    ฟังดูเหมือนกับใจดำมากเลย #แต่ความจริงถ้าเป็นบุคคลที่ต้องระมัดระวังรักษากำลังใจของตน #การปฏิสัมพันธ์ทุกอย่างจะสร้างความรุงรัง #สร้างภาระให้เราแบก #ให้เราหาม #ทำให้เราก้าวไปสู่เส้นทางธรรมได้ช้า หรือว่าถึงก้าวขึ้นไปแล้ว ก็เดินไปสู่จุดหมายปลายทางได้ช้า



    โอวาทงานบวชเนกขัมมะ ตักบาตรเทโวฯและกฐิน วันที่ ๘-๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๗
    ขอบพระคุณแหล่งที่มา FB คาถาเงินล้านหนึ่งล้านจบ


    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    [​IMG]

    "มรรคจิต คือ เห็นแต่จิตเจ้าของ จะไปเห็นอย่างอื่นไม่ได้"
    หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล
    วัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร
    จังหวัดสุรินทร์

    ขอบคุณที่มา https://web.facebook.com/songchai.l...X6w7BaNibYYuj1dcq98oYNhW6osfQKlA&__tn__=-UC*F
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    [​IMG]
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    ทำสมาธิแล้วเห็นภาพเรื่องราวต่างๆ เราควรทำอย่างไรต่อ



    ที่มา https://www.youtube.com/@emperor5979
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    ถาม : เราสวดมนต์ทุกวันกับนั่งสมาธิอย่างไหนจะดีกว่าคะ ?
    ตอบ : ถ้าสวดมนต์เป็นก็คือนั่งสมาธินั่นแหละ แต่เป็นสมาธิขณะที่เราทำอย่างอื่นด้วย ส่วนการนั่งสมาธิถ้าไม่ใช่คล่องตัวจริง ๆ ยังสู้สวดมนต์แล้วทรงสมาธิไม่ได้ เพราะว่าการที่เราทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วทรงสมาธิได้ กับการที่เรานั่งสมาธิเฉย ๆ ความสำเร็จและความสามารถเป็นคนละระดับกัน
    นั่งเฉย ๆ ได้สมาธิ ถ้าขยับอาจจะหลุดไปเลย แต่ถ้าเราทำอย่างอื่นแล้วทรงสมาธิได้ สมาธิก็จะอยู่กับเราได้นาน ฉะนั้น..ถ้าเราสวดมนต์ยาว ๆ จนทรงสมาธิทรงตัวได้ ต่อไปก็ทำอย่างอื่นไปด้วยได้
    ถาม : เวลาสวดแล้วจิตสงบมั่นคงดีค่ะ
    ตอบ : การสวดมนต์ถ้าเราทำเป็นถึงพระนิพพานได้ อันดับแรกก็คือสมาธิขั้นต้นต้องได้แน่นอน ถ้าสมาธิไม่ทรงตัวเราจะสวดผิด อันดับที่สองถ้าตั้งใจที่จะทรงฌาน ใช้คำสวดทั้งหมดเป็นคำภาวนา เท่ากับว่าเราภาวนาโดยใช้คาถาทั้งบท แต่เป็นคำภาวนาที่ยาวหน่อย จนกระทั่งสมาธิสามารถทรงตัวได้ตามที่ต้องการ
    อันดับต่อไปถ้าจะทำทิพจักขุญาณ เวลาสวดมนต์ให้นึกถึงคำสวดมาเป็นคำ ๆ ถ้าเห็นตัวหนังสือได้ชัดเท่าไร เราก็จะเห็นผีเห็นเทวดาได้ชัดเท่านั้น ท้ายสุดถ้ายกจิตขึ้นพระนิพพานได้ ให้ยกจิตขึ้นไปสวดถวายพระพุทธเจ้าข้างบนเลย ตายตอนนั้นก็อยู่บนพระนิพพานเลย
    เพราะฉะนั้น..อย่าไปคิดว่าแค่สวดมนต์ สำคัญว่าเราทำได้แค่ไหน ถ้าเราทำเป็น ประยุกต์ใช้เป็น แค่สวดมนต์ไปพระนิพพานได้สบาย
    ถาม : สวดมนต์บทใดก็ได้ ?
    ตอบ : อะไรก็ได้ ยิ่งสวดเยอะยิ่งดี อย่างน้อยขณะที่เราสวดอยู่ เราก็ทำความชั่วไม่ได้ ทำความชั่วทางกายไม่ได้ เพราะนั่งอยู่ตรงนั้นต่อหน้าพระ ทำความชั่วทางวาจาไม่ได้ เพราะปากต้องสวดมนต์ อย่างเก่งก็นึกแช่งคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง เป็นเพียงความชั่วทางใจเล็ก ๆ เท่านั้น
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๖
    ขอบพระคุณแหล่งที่มา คาถาเงินล้านหนึ่งล้านจบ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...