เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 19 เมษายน 2025 at 19:11.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,459
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,718
    ค่าพลัง:
    +26,576
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๘



     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2025 at 19:50
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,459
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,718
    ค่าพลัง:
    +26,576
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ภารกิจวันนี้ก็คือไปถวายมุทิตาพระใบฎีกาทม ขนฺติสาโร เจ้าอาวาสวัดสนามแย้ หมู่ที่ ๖ ตำบลสนามแย้ อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ในโอกาสเจริญอายุวัฒนมงคล ๖๐ ปี และร่วมปลุกเสกวัตถุมงคลเหรียญหลวงปู่หลิวย้อนยุค โดยทางวัดได้นิมนต์พระภาวนาจารย์ถึง ๑๑๙ รูป..! แต่ที่ดูด้วยสายตา น่าจะมาได้สักครึ่งเดียวเท่านั้น

    สำหรับวันนี้ก็มา "เล่าความหลัง" กันต่อ ในสมัยที่ยังเด็กนั้น เรื่องของข้าวปลาอาหารยังอุดมสมบูรณ์มาก ถ้าถามว่าอุดมสมบูรณ์ขนาดไหน ก็ขนาดว่าหน้าน้ำจะมี "ปลาออ" ซึ่งสมัยนี้ไม่ค่อยได้พบได้เห็น เมื่อไม่นานมานี้ก็มีข่าวเรื่อง "แซลมอนเมืองไทย" ซึ่งความจริงนั่นก็คือปลากระสูบ ซึ่งแห่กันไปวางไข่ที่ต้นน้ำ

    "ปลาออ" ที่พวกเรารออยู่นั้นก็คือปลาสร้อย ซึ่งเป็นปลาที่เหมาะที่สุดในการที่จะทำน้ำปลา ถึงเวลาปลาสร้อยจะแห่กันมาแน่นไปหมดทั้งสายน้ำ ขนาดใช้เข่งตักเอาก็ได้เป็นเข่ง ๆ ชาวบ้านก็จะตักมาแล้วก็อัดใส่ไหใส่โอ่ง แล้วแต่ว่าตนเองจะมีภาชนะอะไร จากนั้นก็ทำการหมักเกลือเอาไว้ อาจจะปีหนึ่งหรือสองปี แล้วแต่ว่ามีน้ำปลาเดิมเอาไว้ใช้มากน้อยเท่าไร

    เมื่อถึงเวลาแล้วก็ใช้ฟางทำเป็นจุก กรองแล้วก็เทเอาน้ำปลาออกมา ทำการต้มใส่ขวด หรือบางบ้านก็ใช้วิธีใส่ขวดแล้วตากแดดเอาไว้ บรรดาขวดที่ใช้ส่วนใหญ่ก็คือขวดเหล้า ยี่ห้อแม่โขงบ้าง กวางทองบ้าง สุรา ๔๐ ดีกรีบ้าง เก็บไว้กินกันไว้ข้ามปี แต่ว่าถ้าหมักเองแล้ว ส่วนใหญ่พวกเราก็ไม่ค่อยที่จะแลน้ำปลาเหล่านี้ จะไปดูเอาบรรดาส่วนที่เหลือติดก้นไห ก้นโอ่ง ซึ่งมักจะเป็นน้ำปลาที่มีเนื้อปลาซึ่งป่นเปื่อยปนอยู่ด้วย ถึงเวลาคลุกข้าวสวยร้อน ๆ กินกันชนิดที่โบราณเรียกว่า "แหกหม้อแหกไห" กันไปเลย..!

    แต่ว่าเรื่องของ "ปลาออ" นั้น ถ้าหากว่าพลาดก็มีอันตรายอยู่เหมือนกัน เพราะว่าจะมีพวกงูตามขบวนมากินปลาด้วย ถ้าหากว่าเป็นงูเห่า งูจงอาง เผลอตักขึ้นมาก็อาจจะโดนฉกตายฟรีเหมือนกัน..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,459
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,718
    ค่าพลัง:
    +26,576
    "ปลาออ" ที่เจอมา นอกจากที่จะเป็นปลาสร้อยแล้วก็มีเป็นปลาดุก ถึงเวลาม้วนกันเป็นก้อน ๆ เต็มลำน้ำไปหมด แล้วกระผม/อาตมภาพก็เพิ่งรู้ว่าปลานั้นส่งเสียงร้องได้ด้วย พอถึงเวลาก็มีเสียงอุ๊บอิ๊บอี๊ดอ๊อดดังลั่นไปหมด..! ถ้าหากว่าไม่ใช่ได้ยินมาด้วยตนเอง แล้วมีคนบอกว่าปลาร้องได้ กระผม/อาตมภาพก็ไม่เชื่อเหมือนกัน

    ส่วนในเรื่องของข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักนั้น ถ้าในช่วงข้าวยากหมากแพง ก็มีการอาศัยฟักทองบ้าง มันเทศบ้าง มันมือเสือบ้าง หรือถ้าหากว่าอยู่ใกล้ป่าก็มีมันนก มันหม้อ มันเสา เหล่านี้เป็นต้น

    สำหรับมันเสานั้นเป็นหัวมันที่ขึ้นแล้วแทงลงไปตรง ๆ บางทีก็ยาวถึง ๒ เมตร ๓ เมตร..! แต่ละหัวใหญ่เกือบจะเท่ากับต้นเสาบ้าน ขุดลงไปจนลึกท่วมหัวแล้วก็ยังได้ไม่ถึงครึ่ง คนโบราณก็เลยใช้วิธีเอาเถาวัลย์ผูกกับทางด้านโคน ซึ่งความจริงก็คือหัวมันนั่นแหละ แล้วก็โน้มเอาต้นไม้ลงมาผูกโยงเอาไว้ เอาน้ำเทลงไปสัก ๒ - ๓ ถัง เมื่อผ่านเป็นวันเป็นคืน น้ำทำให้ดินอ่อนลง และแรงดึงของยอดไม้ที่เราโน้มลงมาก็ฉุดเอามันเสาลอยขึ้นไปทั้งต้น
    ถ้าตั้งใจจะกินเป็นอาหารอย่างเดียว ต้นหนึ่งก็กินกันไปได้เป็นอาทิตย์เลย..! หรือไม่ก็ใช้วิธีสับเป็นท่อน ๆ ท่อนที่จะเก็บเอาไว้ก็ใช้ปูนกินกับหมากทาเอาไว้ก่อน ป้องกันไม่ให้เน่าเสีย ส่วนอีกท่อนหนึ่งก็นำไปประกอบอาหาร

    ถ้าช่วงที่ขาดแคลนจริง ๆ แม้กระทั่งกลอยก็ต้องขุดมากิน แต่ว่าต้องทำให้เป็น ถ้าหากว่าทำไม่เป็นก็จะเมาอย่างชนิดที่เขาเรียกว่า "รากเขียวรากเหลือง"
    ซึ่งถ้าหากว่าเรากินเอาน้ำเมาเข้าไปมาก โอกาสที่จะตายก็มีสูงมาก..!

    เราต้องหั่นกลอยเป็นชิ้นบาง ๆ ใส่ตะกร้าเอาไว้ แช่อยู่ในน้ำไหล แล้วก็ลงไปเหยียบทุกวัน คำว่าเหยียบก็คือลงไปย่ำ เพื่อให้น้ำเมาออกจากเนื้อกลอย จนกระทั่งบรรดาพวกหอยขึ้นมาเกาะเนื้อกลอย ถึงจะสามารถกินได้ แสดงว่าน้ำเมาหมดแล้ว แต่ว่าคนที่กินกลอยเป็นอาหาร ถ้ากินไปนาน ๆ ก็จะออกอาการที่คนโบราณเรียกว่า "ตานขโมย" ก็คือ "พุงโรก้นปอด" ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นเพราะขาดสารอาหารอะไร ? แต่ก็กินกันในลักษณะกันตายเท่านั้น..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,459
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,718
    ค่าพลัง:
    +26,576
    ไม่เหมือนกับรุ่นพ่อ รุ่นแม่ รุ่นปู่ รุ่นย่า ที่บอกว่าถึงขนาดต้องกิน "ขุยไผ่" กระผม/อาตมภาพลองกวาดขุยไผ่ หรือว่าดอกไผ่มาแกะดูแล้ว ไม่มีอะไรเลย นอกจากอยู่ในลักษณะเหมือนกับเม็ดข้าว แต่ว่ามีเปลือกซ้อนกันเป็นชั้น ๆ เท่านั้น ก็แปลว่านึ่งมาแล้วก็คงจะต้องเคี้ยว อยู่ในลักษณะที่เหมือนกับกินกระดาษนั่นเอง กลืนลงหรือว่ากลืนไม่ลง ก็ต้องพยายามกลืนลงไป ไม่เช่นนั้นแล้วก็อาจจะต้อง "หิวไส้แขวน" ถึงขนาดเป็นลมไปเลยก็มี

    ในเรื่องของน้ำนั้น ส่วนใหญ่ก็จะรองน้ำฝนจากชายคา แต่เนื่องจากว่าที่บ้านนั้นหลังคามุงจาก ซึ่งสมัยก่อนนั้น หลังคามุงแฝกบ้าง มุงจากบ้าง มุงหญ้าคาบ้าง ยกเว้นบ้านคนรวยถึงจะมุงสังกะสี แต่ว่าน้ำจากสังกะสีพวกเราไม่กล้ากินกัน เนื่องเพราะว่าสังกะสีพอเก็บไว้นาน ๆ บางทีก็ขึ้นสนิม โดนครูขู่ว่าอาจจะเป็นบาดทะยักได้..!

    พวกเราก็ไม่รู้ ครูบอกอะไร ผู้ใหญ่บอกอะไร ก็เชื่อเอาไว้ก่อน แต่ว่าน้ำที่รองจากหลังคาจากแบบที่บ้านของกระผม/อาตมภาพ ก็จะเป็นสีเหมือนกับน้ำชา ยิ่งหลังคาจากเก่าเท่าไร สีก็ยิ่งเข้มเท่านั้น มารู้ทีหลังว่าน้ำฝนจากหลังคาจากนี้หมักปลากัดได้ดุเดือดและสีเข้มดีนักแล..!

    ถ้าหากว่าเราเลี้ยงปลากัด ไม่ว่าเป็นลูกหม้อ ลูกป่า หรือว่าลูกสังกะสี ถ้าหมักด้วยน้ำใบจาก ปลากัดที่กัดกันมาได้รับบาดเจ็บก็จะหายเร็ว ส่วนตัวที่เราหมักโดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ก็จะมีสีสันเข้มมาก ถึงเวลานำมาใส่ขวดแม่โขงแบนที่ทำความสะอาด แกะตราออกหมดแล้ว ขวดใส ๆ แล้วบรรดาปลาก็พองครีบอวดกัน รู้สึกว่าสีสันจะเข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง ถ้าทิ้งเอาไว้หลาย ๆ วัน สีเริ่มจางลง เพราะว่าปลาอยู่ในที่น้ำใส เราก็ปล่อยลงไปหมักใบจากใหม่ เหล่านี้เป็นต้น

    ถ้าหากว่าเป็นหน้าแล้ง หาน้ำไม่ได้ ที่บ้านก็จะมีน้ำบาดาล ซึ่งเป็นบ่อที่ขุดเอง ลึกประมาณสัก ๒ วาเท่านั้น น้ำจืดกินได้สนิทใจมาก แต่น่าเสียดายว่าภายหลัง เมื่อกระผม/อาตมภาพเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ แล้ว รอบบ้านปลูกอ้อยกันหมด กลายเป็นบ้านเดียวที่ปลูกผัก บรรดาแมลงทั้งโลกก็เลยแห่ลงมาที่สวนผัก..! จนกระทั่งสู้ไม่ไหว ฉีดยาเท่าไรก็ไล่แมลงไม่หมด ท้ายที่สุดก็ต้องปลูกอ้อยตามเขา แล้วการใส่ปุ๋ยอ้อยนั่นแหละทำให้น้ำกลายเป็นรสเค็ม รสกร่อย ฝืดเฝื่อนไปได้อย่างไรก็ไม่ทราบ จนกระทั่งไม่สามารถที่จะใช้กินได้อีก
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,459
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,718
    ค่าพลัง:
    +26,576
    กระผม/อาตมภาพขอใช้สำนวนคนโบราณที่ว่า "กินข้าวกินน้ำ" ไม่มีใครพูดว่า "ดื่มน้ำ" ให้คนหัวเราะเยาะสักคน แม้ว่าไปโรงเรียนแล้ว คุณครูจะสอนว่า "ดื่มน้ำ" ก็ไม่มีใครพูดตาม

    ในเรื่องของน้ำอีกส่วนหนึ่งก็คือ ถ้าไม่มีน้ำบ่อ และน้ำฝนหมดลง ก็จะไปเอาน้ำจาก "บ่อหลวง" คำว่าบ่อหลวงนี้มีสองความหมาย ความหมายแรกก็คือเป็นพื้นที่เขตทางหลวง ที่เขาขุดเอาดินลูกรังขึ้นมา เพื่อที่ทำเป็นถนน แล้วในส่วนที่เป็นบ่อใหญ่มีน้ำขังอยู่ ซึ่งคำโบราณ คำว่าหลวงนั้นแปลว่า "ใหญ่" อีกอย่างหนึ่ง เขาก็เลยเรียกน้ำที่ขังอยู่ในบ่อว่า "น้ำบ่อหลวง" ก็คือน้ำที่อยู่ในบ่อของหน่วยราชการ หรือว่าน้ำบ่อใหญ่นั่นเอง แต่ว่าน้ำที่อยู่ในบ่อหลวงนั้น สีค่อนข้างขุ่น ต้องเอามาแกว่งสารส้ม แล้วทิ้งเอาไว้ให้ตกตะกอนก่อน จากนั้นถึงจะนำส่วนที่อยู่ด้านบนมาใช้งานได้

    ในเรื่องของการอาบน้ำ รุ่นพี่ ๆ เขาก็จะใช้ประคำดีควายแทนสบู่ แล้วก็จะมีขมิ้นชันกับส้มมะขามใช้ในการขัดผิว ซึ่งแต่ละคนจะอาบน้ำละเมียดละไม น่าเบื่อมาก ไม่เหมือนกับพวกกระผม/อาตมภาพที่ถึงเวลาก็พุ่งหลาวตูมลงไปที่ท่าน้ำเลย แล้วมาภายหลังพอทางบ้านขุดบ่อแล้ว ก็มาอาบที่บ่อในบ้านของตนเอง

    ในช่วงที่ยังอาบตามท่าน้ำไหลนั้น ส่วนหนึ่งที่กลัวที่สุดก็คือปลาปักเป้า ผู้ใหญ่เขาก็จะให้คาถาเอาไว้ ถึงเวลาก็พนมมือท่องกันลั่น ๆ ไปหมด ว่า "นะโม นะมัด ขจัดออกไป อย่าเข้ามาใกล้เสนามณฑล ออกไปให้พ้นวินาศสันติ" แล้วก็กลั้นใจโดดน้ำตูมลงไป รับประกันว่าจะไม่โดนปลาปักเป้ากัด ซึ่งพวกกระผม/อาตมภาพทำแล้วก็ได้ผลดี แต่คนที่ไม่ท่องคาถากลับโดนปลาปักเป้ากัดแหว่งเป็นวงกลมอยู่หลายคน..! ก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าเป็นเพราะคาถาดี หรือว่าแคล้วคลาดดวงดีก็ไม่ทราบเหมือนกัน ?

    ในส่วนอื่น ๆ ที่จะขอกล่าวถึงก็ประกอบไปด้วยว่า เมื่อถึงเวลาก็มีคำร่ำลือกัน โดยที่เล่าเอาไว้ว่า ในส่วนของปลายศาสนานี้ คนจะตัวเล็กลงไปเรื่อย ๆ ถึงขนาดต้องสอยมะเขือกิน..! เราก็มาดูว่าต้นมะเขือเปราะ หรือว่ามะเขือขื่น ซึ่งในสมัยนี้มะเขือเปราะก็คือมะเขือที่เราเอามาทำอาหาร เอามาจิ้มน้ำพริกกินนั่นแหละ ส่วนมะเขือขื่นบางคนเรียกว่ามะเขือหนัง เหมาะที่สุดที่จะมาทำแกงป่า แต่ว่าเด็กรุ่นใหม่น่าจะไม่รู้จักแล้ว ต้นก็น่าจะสูงประมาณ ๒ ฟุต หรือ ๒ ฟุตกว่าเท่านั้น
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,459
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,718
    ค่าพลัง:
    +26,576
    เรามาคิดดูว่า ถ้าต้องแหงนหน้าสอยมะเขือกิน แสดงว่าคนก็น่าจะเหลือตัวแค่ฟุตเดียวเท่านั้น..! ซึ่งตอนช่วงนั้น เขาว่าอายุขัยของคนแค่ ๑๐ ปีเท่านั้นเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่พวกเราทั้งหลาย "ฟังไม่ได้ศัพท์ จับเอามากระเดียด" จากการที่พระท่านเทศน์ ซึ่งจะเทศน์ในเรื่องของพระศรีอาริยเมตไตรยอย่างหนึ่ง ในเรื่องของพระมาลัยโปรดสัตว์อย่างหนึ่ง ซึ่งกระผม/อาตมภาพจำได้ขึ้นใจ เพราะว่าบรรดาพี่ ๆ สอนให้อธิษฐาน ว่า "ขอให้เกิดมาสวย ๆ ขอให้เกิดมารวย ๆ ขอให้ได้ทันยุคพระศรีอาริย์"

    กระผม/อาตมภาพก็อธิษฐานตามไปอยู่หลายปี จนกระทั่งมาพบหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านถึงได้ขอสอนให้อธิษฐานขอพระนิพพานชาตินี้ ทำให้รู้สึกว่าขัดกับสิ่งเดิม ๆ ที่ตนเองทำมาอยู่เหมือนกัน

    ส่วนเรื่องของพระมาลัยนั้น ส่วนใหญ่เขาก็เอาไว้สวดในงานศพ หรือไม่ก็สวดเวลาทางวัดมีงาน ซึ่งจะเป็นการสวดทํานองสรภัญญะว่า "พระมาลัยเทพเถร เลิศฤทธิ์พิเรนทร์ เป็นเถรโสภา ฯลฯ" เหล่านี้เป็นต้น ว่าไปจนถึงขนาดลงไปในนรก ไปนำข่าวจากผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว มาส่งให้กับทางโลกมนุษย์ ว่าทำบาปทำกรรมอะไร ต้องลงนรกขุมไหน ต่อไปอย่าได้ทำบาปทำกรรมเหล่านั้นอีก

    แล้วก็มีภาพบรรดานรกต่าง ๆ ที่มีจิตรกรวาดไว้ แล้วหลวงตาท่านก็นำมาติดเอาไว้ในศาลา เห็นแล้วก็รู้สึกว่าหวาดเสียวมาก เพราะว่าสัตว์นรกต่าง ๆ โดนลงโทษ ไม่ว่าจะโดนสับ โดนฟัน โดนเลื่อย โดนแทงด้วยหอก ต้องปีนต้นงิ้ว ต้องตกกระทะทองแดง..!

    ทุกคนก็เลยค่อนข้างที่จะละอายชั่วกลัวบาป ไม่กล้าทำชั่ว เพราะว่ากลัวจะตกกระทะทองแดงอย่างที่เห็นในรูปนั้น ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นการควบคุมด้วยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่ง ก็คือทำให้คนเห็นว่า ถ้าทำชั่วแล้วจะได้รับโทษอย่างไร ถ้าทำดีแล้ว ก็จะได้ไปเกิดในสมัยพระศรีอาริยเมตไตรย มีต้นกัลปพฤกษ์ อยากได้เงินก็มีเงิน อยากได้ทองก็มีทอง อยากได้ข้าวของอะไรก็ไปสอยเอาได้อย่างไร ทำให้เป็นที่ใฝ่ฝันของทุกคน แต่ก็อาจจะค่อนข้างเพ้อเจ้ออยู่เหมือนกัน..!
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,459
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,718
    ค่าพลัง:
    +26,576
    แต่ดีอยู่ตรงที่ว่า ทำให้ทุกคนเข้าวัดเข้าวา ทำบุญใส่บาตรกันเป็นปกติ เพราะว่าหลวงตาเทศน์อยู่เสมอว่า ถึงเวลาแล้วจะขอใครกินก็ไม่ได้ โลกหน้านั้น บุญเป็นของใครของมัน ใครทำอะไรไว้ก็ได้อย่างนั้น

    ดังนั้น..ญาติโยมท่านไหนที่ชอบกินข้าวกินปลา จะมีกับมีแกงอะไรที่ตนเองชอบ ก็พยายามทำไปถวายพระ เผื่อว่าถึงเวลาตนเองตายไป ก็จะได้ไปกินของ ๆ ตนด้วย..!

    ภายหลังเมื่อกระผม/อาตมภาพฝึกมโนมยิทธิได้แล้ว ไปดูแล้วก็ยังหัวเราะขำ ๆ อยู่ เพราะว่าบรรดาผู้ที่ยังต้องกินต้องใช้นั้น เป็นพวกที่ตายใหม่ ๆ ยังไม่ได้รับการตัดสินความบ้าง ตัดสินความแล้วไปสู่สุคติใหม่ ๆ บ้าง ท่านทั้งหลายเหล่านี้ยังติดความเป็นมนุษย์อยู่ ก็เลยมีสถานที่ ซึ่งกระผม/อาตมภาพอยากจะเรียกว่า "แดนกึ่งสวรรค์" เอาไว้ให้จับจ่ายใช้สอย เอาไว้ให้กินข้าวกินปลากัน

    พอมีจิตสำนึกว่าตนเองเป็นเทวดานางฟ้า ไม่ต้องกินแล้ว ก็กลับไปอาศัยบุญ อิ่มทิพย์อยู่ตามเดิม แต่ว่าท่านที่ไม่รู้ก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำบุญ เพื่อที่ตนเองจะได้ไปกินอยู่เหมือนเดิม แต่ก็เท่ากับเป็นการสร้างบุญสร้างกุศล เมื่อถึงเวลาตนเป็นเทวดานางฟ้าแล้ว ก็อาศัยบุญกุศลตรงนี้ทำให้อิ่มทิพย์นั่นเอง

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๑๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...