เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 24 พฤศจิกายน 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,412
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2024
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,412
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ ความจริงเวลาบ่าย ๒ โมง กระผม/อาตมภาพต้องไปพิจารณาผ้าไตรบังสุกุล ในงานพระราชทานเพลิงศพหลวงพ่อแดง (พระครูปริยัติกาญจนโชติ) อดีตเจ้าอาวาสวัดวังเย็น อดีตเจ้าคณะตำบลบ้านเก่าเขต ๑ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมเรียนกันมาตั้งแต่ระดับประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ ปริญญาตรีพุทธศาสตรบัณฑิต สาขาพระพุทธศาสนา ปริญญาโทพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการจัดการเชิงพุทธ

    แต่ด้วยความที่ว่ามีงานสำคัญอีกงานหนึ่งรออยู่ และเป็นเวลาที่ใกล้เคียงกัน ก็คือพิธีเปิดโครงการอบรมพัฒนาศักยภาพพระวิปัสสนาจารย์ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ซึ่งทุกสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ จะต้องส่งผู้เข้าอบรมสำนักละ ๑ รูป

    แต่ด้วยความที่ว่าบางสำนักไม่มีผู้เข้าอบรม วัดท่าขนุนจึงส่งพระในวัดไปเป็นตัวแทนเข้ารับการอบรม จึงต้องเดินทางมาให้กำลังใจกับบรรดาพระของตนเอง พร้อมกับถวายเบี้ยเลี้ยงให้ไว้ใช้จ่ายในระหว่างการอบรมด้วย ส่วนเรื่องยานพาหนะไปกลับนั้น ได้รับความเมตตาจากคณะบุญเพื่อพระนิพพาน โดยทิดโจ้ (นายปฏิวัติ สมสะอาด) ได้เช่ารถตู้รับส่งให้ในงานนี้ ต้องขอเจริญพรขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ด้วย

    อีกส่วนหนึ่งก็คือไปถวายปัจจัยสนับสนุนงานอบรมครั้งนี้ ซึ่งประกอบไปด้วยทั้งพระภิกษุและฆราวาส รวมแล้วประมาณ ๗๕๐ รูป/คน เพราะว่านอกจากพระวิปัสสนาจารย์แล้ว ยังมีนิสิตของวิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี เข้ามาร่วมปฏิบัติธรรมประจำปีด้วย จึงไม่ต้องสงสัยว่า โครงการ ๑๕ วันนี้ แค่ค่าอาหารอย่างเดียวก็เป็นรายจ่ายมหาศาลแล้ว..!

    กระผม/อาตมภาพจึงได้นำปัจจัยไปถวายพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ ในฐานะเจ้าภาพจัดงานครั้งนี้เป็นจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท โดยกล่าวกับหลวงพ่อเจ้าคณะภาคว่า "มีน้อยก็ให้น้อย มีมากก็ให้มากนะครับ แต่อยากจะให้รู้ว่าไม่ใช่แต่เจ้านายที่ให้กำลังใจลูกน้องได้เท่านั้น ลูกน้องก็อยากถวายกำลังใจให้กับเจ้านายด้วยเหมือนกัน"

    ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เพราะว่าบางทีผู้บังคับบัญชาเองท่านก็ไม่รู้ว่าจะไปปรึกษาหารือกับใคร เนื่องเพราะว่าอยู่ในฐานะของผู้ใหญ่ แต่ในเมื่อมีผู้น้อยที่พอจะรู้ว่า ท่านต้องแบกรับรายจ่ายมหาศาลขนาดไหน มาช่วยคนละเล็กคนละน้อย ก็ยังเป็นกำลังใจให้ท่านสู้งานต่อไปได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤศจิกายน 2024
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,412
    ในการกล่าวต้อนรับบรรดาผู้เข้าอบรม ตลอดจนกระทั่งให้โอวาท ท่านก็ยังกล่าวถึงว่า การฝึกพระวิปัสสนาจารย์เพื่อให้ทุกคนมีความเชี่ยวชาญชำนาญในเรื่องของการปฏิบัติกรรมฐาน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วปัจจุบันนี้ ทางด้านวิชาการฆราวาสเขาสามารถสู้กับเราได้สบายมาก แต่ว่าในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น ฆราวาสที่สามารถสอนธรรมนำปฏิบัติได้จริง ๆ นั้นมีน้อย ส่วนใหญ่แล้วก็เก่งแต่สำนวนการพูดเท่านั้น ถึงเราจะส่งคนอย่างวัดท่าขนุนออกไปสู้กับเขา ไม่ว่าจะเรื่องเนื้อหาสำนวนจะสู้ได้ขนาดไหนก็ตาม เขาก็ไม่ฟังหรอก พูดไปไม่ถูกใจเขาก็ด่ากลับมา..!

    ดังนั้น..ท่านทั้งหลายจะต้องอดกลั้น อดทน ต่อสู้ตามแบบของพระภิกษุสงฆ์ของเรา ก็คือแสดงศักยภาพให้เขาเห็นว่า เราสามารถสอนธรรมนำปฏิบัติได้ดีกว่า ประมาณว่าไม่มีเวลาไปทะเลาะกับคุณหรอก คุณอยากจะทะเลาะก็เชิญทะเลาะไปฝ่ายเดียว อาตมภาพจะทำงานของตนเอง เป็นต้น

    เมื่อพิธีเปิดโดยท่านเจ้าคุณอาจารย์ พระเดชพระคุณพระพรหมบัณฑิต, ศ., ดร. (ประยูร ธมฺมจิตฺโต ป.ธ.๙, Ph.D.) ราชบัณฑิต กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานคณะกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ เสร็จเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพก็กราบลาขอตัว เพื่อเดินทางกลับที่พัก

    วันนี้มีบุคคลที่สอบถามเข้ามาในกลุ่มไลน์ ที่อยากจะกล่าวถึงมีอยู่ ๒ รายด้วยกัน รายแรกท่านถามว่า "เมื่อไปในป่าเขา หรือว่าสถานที่ลี้ลับ แล้วรู้สึกเหมือนอย่างกับว่าโดนดูดพลังปราณ กลับมาแล้วพลังชีวิตลดน้อยถอยลง มีการเจ็บไข้ได้ป่วยเสมอ อยากทราบว่ามีวัตถุมงคลอะไรที่พอจะป้องกันเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ได้ ?" ซึ่งกระผม/อาตมภาพก็ได้ตอบไปว่า "มีดหมอ เบี้ยแก้ และปรอทสำเร็จ"
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,412
    ในเรื่องของปรอทสำเร็จนั้น เราค่อนข้างที่จะหวังยากอยู่สักหน่อย เพราะว่าผู้ที่สำเร็จวิชานี้ส่วนใหญ่แล้วก็อยู่ในประเทศพม่า ที่อยู่ในเมืองไทยของเราอย่างหลวงพ่อศรีอ่อง วัดบรรพตสถิตย์ จังหวัดลำปาง ความจริงท่านก็มีเชื้อสายพม่าเหมือนกัน แต่ว่าท่านได้มรณภาพไปนานแล้ว

    เพื่อนฝูงของกระผม/อาตมภาพที่พออาศัยได้ อย่างท่านอาจารย์โมเช่ หรือว่าพระประสงค์ สุนทโรในชื่อไทย ท่านเองก็มัวแต่ไปไล่ก่อสร้างที่โน่น บูรณะที่นี่ตามแต่เทวดาจะชี้นำ กว่าจะโผล่หน้ามาให้เห็นก็ต่อเมื่อต้นทุนหมด ต้องมาขอทุนจากหลวงพ่อวัดท่าขนุนของเขานั่นแหละ ก็เลยไม่รู้ว่าจะไปหาปรอทสำเร็จที่ไหนได้ง่ายเหมือนกับสมัยก่อน

    สมัยก่อนเวลาที่
    กระผม/อาตมภาพไปอยู่ประเทศพม่าเพื่อศึกษาวิชาการเหล่านี้ เมื่อเข้าไปในวงการก็จะรู้ว่าท่านโน้นทำได้ ท่านนี้ทำได้ ถึงเวลาตนเองไม่มีเวลาทำเอง ก็ยังไปขอร้องให้ท่านช่วยทำให้ แต่ว่ากลับมาฝั่งเมืองไทยของเราแล้ว มองไปทางไหนก็มืดไปหมด กระผม/อาตมภาพเองสะสมปรอทเอาไว้ ตอนนี้ก็หลายกิโลกรัมแล้ว แต่ว่าไม่มีเวลาที่จะทำ เพราะว่าสมุนไพรบางตัวก็มีเฉพาะที่ฝั่งพม่าเท่านั้น จะรอท่านอาจารย์โมเช่ก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไร จึงกลายเป็นเรื่องที่ว่าแนะนำได้ แต่ญาติโยมจะหาได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ?

    เพราะว่าปรอทสำเร็จในเมืองไทย ปัจจุบันนี้เป็นของปลอม ก็คือใช้วิธีปั่นโลหะปนกับปรอทแบบเดียวกับที่ปั่นน้ำยาอุดฟัน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าท่านทั้งหลายจับปรอทสำเร็จแล้วรู้สึกว่าลื่นมือเลย ขอให้รู้ว่านั่นเป็นของปลอม ถ้าหากว่าเป็นตามที่กระผม/อาตมภาพศึกษามา เคยนำไปเพื่อที่จะแช่สมุนไพรแล้ว บางทีเหลือกลับมาไม่ถึงครึ่งชิ้น..! เนื่องเพราะว่าถึงเวลาก็หดตัวกลับไปเป็นของแข็ง

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่ท่านได้มาจากตลาดพระบ้าง สนามพระท่าพระจันทร์บ้าง ถ้าหากว่าจับแล้วรู้สึกลื่นมือเลย ขอให้รู้ว่านั่นเป็นของที่อันตรายมาก เพราะว่าปรอทยังไม่แข็งตัว สามารถที่จะซึมเข้าผิวหนัง ก่อให้เกิดอันตรายจากสารโลหะหนักได้ เป็นเรื่องที่ไม่ควรเสี่ยงด้วยประการทั้งปวง

    ส่วนในเรื่องของมีดหมอนั้น ถ้าหากว่าเป็นของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ ก็ราคาสูงลิบติดเพดานไปไม่รู้ตั้งกี่ปีมาแล้ว ส่วนที่รอง ๆ ลงมาก็ค่อนข้างจะหายาก โดยเฉพาะถ้าหากว่าจะสู้กับสิ่งลี้ลับโดยตรง ก็ต้องมีดหมอสะกดวิญญาณ ของหลวงพ่อแจ่ม วัดวังแดงเหนือ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่หาง่ายเช่นกัน กระผม/อาตมภาพได้มาประมาณ ๑๐ - ๒๐ เล่ม ก็ได้นำมาลงในกระทู้ "คนมีเงินเหลือกินเหลือใช้" ให้บูชากันไปหมดนานแล้ว
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,412
    ในเรื่องของเบี้ยแก้ ไม่ว่าจะเป็นของหลวงปู่รอด วัดนายโรงในตำนานก็ดี หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้วก็ดี ราคาสูงติดเพดานจับไม่ติดมาหลายสิบปีแล้ว ในส่วนที่พอจะจับติดได้ก็ของหลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว

    หรือถ้าหากว่าเป็นสายอ่างทองที่ราคามหาโหดเลยก็คือหลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ รองลงมาก็หลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ หลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน หลวงพ่อซำ วัดตลาดใหม่ หรือว่าหลวงพ่อโปร่ง วัดท่าช้าง เป็นต้น ซึ่งพอที่จะหาได้ในราคาที่ไม่สาหัสนัก

    ทางด้านสายภาคกลางของเราก็ยังมีหลวงพ่อไพล วัดบางแคกลาง หลวงตากา วัดแค หรือว่าหลวงตาเผือด วัดมะกอก เหล่านี้ก็พอที่จะอาศัยได้ ส่วนท่านอื่น ๆ นั้น ก็ยังไม่เห็นว่าจะมีเด่นขึ้นมา

    อีกคำถามหนึ่งก็คือ ลูกศิษย์ถามมาเป็นการส่วนตัวว่า "ไปรักผู้หญิงคนหนึ่ง ปรากฏว่าผู้หญิงเขาไม่เล่นด้วย มีวัตถุมงคลอะไรบ้าง ที่จะทำให้ผู้หญิงหันมารักเราได้ ?"

    กระผม/อาตมภาพได้ยินแล้วถึงกับสะดุ้ง เนื่องเพราะว่าเรื่องนี้หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านไม่สอนเลย แม้จะเป็นคาถามหาเสน่ห์ หรือว่าการสร้างวัตถุมงคลสายเสน่ห์ก็ตาม ท่านบอกว่า "แกอย่ามาขอเป็นอันขาด สมัยข้าถ้าเจอของพวกนี้ ข้าฉีกทิ้งหมด..!" พูดง่าย ๆ ก็คือนอกจากไม่เรียนแล้วยังทำลายตำราเสียด้วย..! ท่านบอกว่าให้เราคิดดี พูดดี ทำดีกับเขา เขาก็รักเราเอง ทำไมต้องไปใช้วิชาสายเสน่ห์ด้วย ?
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,412
    แต่จากที่ตนเองมีประสบการณ์มา เอาที่เด่น ๆ เลยก็มีสีผึ้งเขียว หลวงปู่ทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง ปลัดขิกหลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส สาลิกาจับปากโลง หลวงพ่อสนิท วัดลำบัวลอย หรือว่าลูกอมหลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ แต่ขออภัยเถอะ..ครูบาอาจารย์ทุกท่านมีข้อจำกัดเอาไว้เลยว่า "ถ้าได้เขาแล้วต้องเลี้ยงดูเขาให้เป็นตัวเป็นตนออกหน้าออกตาด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วจะโดน "ของเข้าตัวเอง" พูดง่าย ๆ ก็คือจะเกิดโทษกับตนเองนั่นเอง"

    เราจะเห็นว่าแม้จะเป็นวิชาประเภทนี้ก็ตาม ครูบาอาจารย์สมัยก่อนก็ยังมีข้อจำกัดเอาไว้ อย่างสีผึ้งเขียว หลวงปู่ทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง เวลาลูกศิษย์ไปขอ ท่านเอาเศษไม้ควักให้คนละไม่เกินหัวไม้ขีดไฟเท่านั้น หรือว่าปลัดขิก ของหลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส ท่านมีข้อแม้เลยว่า ถ้าปลุกแล้วอย่าให้ผู้หญิงเดินข้าม เพราะว่าถ้าผู้หญิงเดินข้าม บางทีปลัดขิกวิ่งตามผู้หญิงไปเลย พูดง่าย ๆ ว่าจะเสียของเปล่า เพราะว่าปลัดขิกเจ้าชู้เกินคาด..!

    ส่วนสาลิกาจับปากโลงนั้น ขอยืนยันว่าต้องเป็นแบบผงเท่านั้น ถ้าเป็นแบบผงแช่ในน้ำมันจันทน์มหาเสน่ห์ได้ยิ่งดี แต่กระผม/อาตมภาพก็ไม่เหลือติดตัวเอาไว้แล้ว เนื่องเพราะว่าลงในกระทู้ "คนมีเงินเหลือกินเหลือใช้" ไปเสียหมด ตั้งหลายปีที่ผ่านมา

    ดังนั้น..ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายไปรักใครแล้วเขาไม่รักตอบ ก็ขอให้ทำใจเถอะว่า "เราเองโชคดีแล้วที่ไม่ต้องไปแบกทุกข์หาบทุกข์ในขันธ์ที่ ๕ ขันธ์ที่ ๑๐ ซึ่งจะเพิ่มขึ้นมา ถ้าหากว่าเป็นคนที่ใช่ ถึงเวลาเขาก็จะมาเอง" ไม่ต้องเสียเวลาไปดิ้นรนอะไรทั้งสิ้น

    ตั้งใจปฏิบัติรักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา ปัญญาเกิด ถึงเวลาเดี๋ยวมารก็จะมาขวางไม่ให้เราไปพระนิพพาน ด้วยการส่งคนที่สวยถูกใจมาให้เอง นี่เป็นการหลอกมารหรือว่าโดนมารหลอกอีกชั้นก็ไม่รู้ ? แต่ก็บอกกล่าวพวกเราได้เพียงเท่านี้

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๒๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...