เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 22 ธันวาคม 2024 at 17:03.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ อากาศตอนเช้าที่ทองผาภูมิอยู่ที่ ๑๖ องศาเซลเซียส แต่อุณหภูมิยอดหญ้าอยู่ที่ ๑๔ องศาเซลเซียสโดยประมาณ ถ้าหากว่าใครร่างกายไม่แข็งแรงก็ต้องทำอย่างกระผม/อาตมภาพ ก็คือใส่เสื้อกันหนาวไปก่อน ๒ ตัว แล้วค่อยห่มจีวรทับอีกชั้นหนึ่ง

    เรื่องของดินฟ้าอากาศถือว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ จัดว่าเป็นความทุกข์อย่างหนึ่งของร่างกายนี้ ก็คือสภาวทุกข์ เมื่อเกิดมาแล้วต้องหนาว ร้อน หิว กระหาย เจ็บไข้ได้ป่วย เหล่านี้เป็นต้น ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าสามารถบรรเทาได้ ก็หาสิ่งของมาบรรเทาให้ ถ้าหากว่าไม่สามารถที่จะหามาได้ ก็ต้องทำใจยอมรับไป

    เมื่อเจริญพระกรรมฐานและทำวัตรเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ออกเดินทาง เนื่องเพราะว่าวันนี้มีนัดหลายแห่ง โดยเฉพาะการนำวัตถุมงคลไปส่งให้ไอ้ตัวเล็ก จะได้รีบทำการบรรจุก่อนที่จะส่งให้กับผู้ที่จับจองมา เหตุที่ต้องรีบก็เพราะว่า ส่วนใหญ่แล้วเป็นการทำงานคนเดียว ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่ารีบ ๆ ร้อน ๆ ก็มีโอกาสผิดพลาดอยู่เสมอ

    ส่วนที่น่ายินดีที่สุดก็คือ เมื่อมีความผิดพลาด บรรดาญาติโยมทั้งหลายที่จองวัตถุมงคลมาก็ได้ทำการส่งคืน แล้วก็เปลี่ยนเอาที่ถูกต้องไป แสดงว่าท่านทั้งหลายก็เข้าใจในระบบการทำงานประมาณ "ข้ามาคนเดียว" หรือว่าระดมพรรคพวกเพื่อนฝูงช่วงนั้นได้กี่คนก็มาช่วยกันบรรจุของ ช่วยกันติดรายชื่อ ซึ่งโอกาสพลาดนั้นต้องมีอยู่แล้ว

    ในส่วนนี้ก็ต้องขออนุโมทนาทั้งผู้ให้และผู้รับ ก็คือท่านผู้บูชาวัตถุมงคลมาถือว่าเป็นผู้ที่ให้ในพระพุทธศาสนา ปัจจัยของท่านจะได้นำไปทำตามวัตถุประสงค์ที่ได้ระบุเอาไว้ ส่วนผู้รับคือตัวกระผม/อาตมภาพและหมู่ศิษยานุศิษย์ ตลอดจนกระทั่งบุคคลที่ได้รับการนำสิ่งของหรือว่าเงินทองไปดำเนินการตามวัตถุประสงค์นั้น ทุกฝ่ายต่างถือว่าช่วยกันทำนุบำรุงและค้ำจุนพระพุทธศาสนา

    ครั้นเมื่อจัดการกับงานยุ่ง ๆ รอบด้านและฉันเพลเสร็จแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ต้องวิ่งตรงไปยังวัดสามจุ่น หมู่ที่ ๑ ตำบลดอนปรู อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพพระครูปัญญาศาสนธำรง (ปัญญา ฐิตปญฺโญ - ฉางทรัพย์) อดีตเจ้าอาวาสวัดสามจุ่น อดีตเจ้าคณะตำบลดอนปรู ซึ่งได้มรณภาพลงด้วยอายุ ๕๘ ปี แล้วจะมีการพระราชทานเพลิงศพในวันนี้
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    พระครูปัญญาศาสนธำรงนั้นได้เรียนร่วมรุ่นมากับกระผม/อาตมภาพมา ในสมัยประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ แล้วหลังจากนั้นก็คงจะท้อด้วยการเดินทาง เนื่องเพราะว่าต้องเดินทางไปเรียนถึงวิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี ซึ่งตอนนั้นยังเป็นหน่วยวิทยบริการ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) ท่านก็หายไปหลายปีจนกระผม/อาตมภาพเรียนจบปริญญาเอกแล้ว กลับมาเป็นครูบาอาจารย์สอนอยู่ที่วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี ไม่ทราบว่าท่านไปเรียนต่อปริญญาตรีตอนไหน ? แต่ว่ามาต่อปริญญาโท กลายเป็นลูกศิษย์ของกระผม/อาตมภาพไปเสียนี่..!

    อีกท่านหนึ่งที่ได้เจอในงานนี้ก็คือพระครูสุขุมปัญญากร (สำเนียง มหาปญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดทุ่งกฐิน เจ้าคณะตำบลหนองกระทุ่ม จังหวัดสุพรรณบุรี ท่านเป็นลูกศิษย์เรียนปริญญาโทของกระผม/อาตมภาพ พร้อมกับพระครูปัญญาศาสนธำรง แต่มาภายหลังได้รับการแต่งตั้งและเข้าสอบพระอุปัชฌาย์รุ่นเดียวกัน จึงกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างจะสลับซับซ้อน

    จนถึงขนาดที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมบัณฑิต, ศ., ดร. (ประยูร ธมฺมจิตฺโต ป.ธ.๙, Ph.D.) ราชบัณฑิต กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานคณะกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ที่สอนพวกกระผม/อาตมภาพมา และวันนี้ท่านเจ้าคุณอาจารย์ก็มาเป็นองค์แสดงพระธรรมเทศนาหน้าไฟ ได้ปรารภว่า "นี่พวกท่านมีสายสัมพันธ์กันหมดเลยหรือนี่ ?" จึงกราบเรียนท่านไปว่า "บางทีก็เป็นเรื่องแปลกครับ ท่านที่เป็นเพื่อนก็กลายมาเป็นลูกศิษย์ ท่านที่เป็นลูกศิษย์ก็กลายมาเป็นเพื่อน..!" จึงกลายเป็นอะไรที่ได้หัวเราะกันทั้ง ๆ ที่อยู่ในงานศพนั่นเอง..!

    แล้วอีกส่วนหนึ่งก็คือท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี นายพิริยะ ฉันทดิลก ได้มากราบ "หลวงน้า" กระผม/อาตมภาพเห็นแล้วก็ยังดีใจ เพราะว่าเป็นลูกของพี่สาวจริง ๆ แล้ว เมื่อไปตรวจประเมินโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ที่วัดสระแก้ว จังหวัดอ่างทอง ท่านเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทองอยู่ที่นั่น มาปีนี้กลับมาอยู่สุพรรณบุรี บ้านเกิดของท่านเองแล้ว จึงได้กล่าวฝากไว้กับท่านเจ้าคุณประไพ - พระสุพรรณวชิราภรณ์, ดร. (ประไพ ปุญฺญกาโม ป.ธ. ๓) เจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรีว่า "ถ้าผู้ว่าฯ เขาต้องการอะไรก็ช่วยสงเคราะห์ให้ด้วยนะครับ" แล้วหันไปบอกกับผู้ว่าฯ ว่า "นี่คือเพื่อนกัน เรียนร่วมกันมาตั้งแต่ ป.บส. ปริญญาตรี ปริญญาโท รู้จักสนิทสนมกันมาเกิน ๒๐ ปีแล้ว"
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    หลังจากที่ได้พิจารณาผ้าไตรบังสุกุลแล้ว กระผม/อาตมภาพก็กราบลาท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมบัณฑิต, ศ., ดร. ตลอดจนกระทั่งท่านเจ้าคุณประไพและพรรคพวกเพื่อนฝูง โดยที่ปรารภกับทุกท่านว่า เพื่อนฝูงก็ทยอยกันไปทีละคนสองคน ในจังหวัดสุพรรณบุรี พี่ชลอ - พระครูสุตาภรณ์พิสุทธิ์ (ชลอ เตชพโล ป.ธ. ๔) ก็ไปเสียก่อนแล้ว ยังไม่ทราบว่าคิวต่อไปจะเป็นใคร ? ทุกคนมองซ้ายมองขวาแล้วก็บอกว่า "ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะว่าบางคนอายุมากก็ดูแข็งแรง บางคนอายุน้อยก็มีโรคประจำตัว"

    เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่าเป็นไปตามวาระบุญวาระกรรมของแต่ละคน เนื่องเพราะว่าถ้าหากว่าใครสร้างกรรมปาณาติบาตไว้มาก ก็จะเจ็บไข้ได้ป่วยหรืออายุสั้นพลันตาย

    ใครที่สร้างกรรมอทินนาทานไว้มาก ทรัพย์สินก็จะเสียหาย โดนบุคคลหลอกลวงจนเสียทรัพย์หมดตัวไปเลยก็มี

    ท่านใดสร้างกรรมด้านกาเมสุมิจฉาจารเอาไว้มาก เกิดมาชาติใหม่ก็กลายเป็นบุคคลที่ไม่น่าเชื่อถือ เรื่องเดียวกันเราพูดไปไม่มีใครฟัง แต่คนอื่นพูดเรื่องเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่ไม่มีลักษณะน่าเชื่อถือเหมือนกับเรา แต่คนกลับรับฟังและเชื่อถือเขาเสียนี่..!

    ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายสร้างกรรมด้านมุสาวาทมา ก็จะโดนคนเขาโกหกหลอกลวงปลิ้นปล้อนอยู่เรื่อย ๆ จนกระทั่งบางทีเราก็ต้องลำบากเดือดร้อนด้วยคำพูดโกหกเหล่านั้น

    ส่วนท่านที่สร้างกรรมในด้านสุราเมรยมัชชปมาฯ ท่านทั้งหลายก็จะมีโรคประจำตัว ไม่ว่าจะเป็นปวดหัวเป็นประจำ เป็นโรคประสาท หรือถ้าหากว่าประเภทดื่มเช้า กลางวัน เย็น กลางคืน ไม่ยอมเลิก อาจจะต้องถึงขนาดเป็นบ้าไปเลยก็มี..! เพราะว่าดื่มแล้วขาดสติสัมปชัญญะ


    ท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า ในเรื่องของการรักษาศีลนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เราทำในเรื่องง่าย ก็คือแค่ไม่กระทำในเรื่องทั้งหลายเหล่านั้น แต่ถ้าหากว่าเราไปกระทำซึ่งเป็นเรื่องยาก โทษก็จะเกิดขึ้นกับตนเอง อย่างเช่นว่าการฆ่าสัตว์หรือว่าฆ่าคน ก็ต้องเสียเวลาไปวางแผน ไปลงไม้ลงมือ หรือถ้าอย่างเช่นเป็นพรานล่าสัตว์ ก็ต้องเข้าป่า ลำบากลำบนกว่าที่จะเสาะหาสัตว์ได้สักตัวหนึ่ง แล้วก็ไม่แน่เหมือนกันว่าจะฆ่าเขา หรือว่าเขาจะฆ่าเรา..! แปลว่าท่านทั้งหลายถ้าจะฆ่าสัตว์ก็เป็นเรื่องยาก แต่เว้นจากการฆ่าสัตว์ซึ่งเป็นเรื่องง่าย ควรที่จะทำหรือไม่ก็อยู่ที่การพิจารณาของทุกท่าน
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    เรามีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์ ต้นทุนของเราก็คือศีล ๕ ถ้าหากว่ามีโอกาสได้ฟังธรรม น้อมนำมาปฏิบัติ เกิดความเลื่อมใสจนอุปสมบทในพระพุทธศาสนาได้ เช่นเดียวกับพระครูปัญญาศาสนธำรงผู้ล่วงลับไป ก็แปลว่าต้องสั่งสมบุญกุศลมาอย่างมหาศาล ถึงได้เป็นผู้ละอายชั่วกลัวบาป แล้วยังเข้ามาค้ำจุนพระพุทธศาสนาได้

    เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่ากว่าจะสบสมัยได้โอกาสที่เหมาะสม ก็คือมีชาติกำเนิดเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นบุรุษ มีอาการครบ ๓๒ อยู่ในครอบครัวที่เป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ถึงขนาดออกบวชอุทิศชีวิตเอาไว้ ได้ดำรงสมณเพศจนมรณภาพไปในผ้าเหลือง เป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน โดยเฉพาะภาระหนักที่ท่านทั้งหลายต้องแบกรับเอาไว้ก็คือ การค้ำจุนพระพุทธศาสนาของเราให้ยั่งยืนมั่นคงจนกว่าจะครบ ๕,๐๐๐ ปี

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องที่พระครูปัญญาศาสนธำรงท่านได้สร้างสมเอาไว้อย่างเต็มที่ และต้องเป็นบุญกุศลมหาศาล ที่จะส่งผลให้ท่านไปสู่สุคติในเบื้องหน้า จึงกลายเป็นว่าท่านทั้งหลายที่ได้อาศัยใบบุญ ก็คือสิ่งที่ท่านพระครูปัญญาศาสนธำรงได้ทำเอาไว้ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ ได้เห็นดีเห็นงาม เห็นในส่วนคุณงามความดีนี้แล้ว ยังแสดงออกซึ่งความกตัญญูกตเวที ด้วยการมาร่วมงานศพในวันนี้เป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนั้นก็เหลือเพียงคุณงามความดีให้รำลึกถึงต่อไปเบื้องหน้าเท่านั้น

    ท่านทั้งหลายจึงควรที่จะตระหนักเอาไว้ว่า ในเรื่องของคนหรือว่าสัตว์ก็ตาม เมื่อตกตายลงไปแล้ว ก็เหลือเพียงแต่วัตถุหรือคุณงามความดีเอาไว้เป็นที่ระลึกถึง ตัวเราเองนั้นสร้างคุณงามความดีเอาไว้เท่าไร? มั่นใจในคติคือที่ไปเบื้องหน้าของเราแล้วหรือยัง ? ถ้าหากว่ามั่นใจแล้ว ก็ทำคติของเราให้มั่นคงยิ่ง ๆ ขึ้นไป ถ้ายังไม่มั่นใจก็ให้เร่งขวนขวายใน ศีล สมาธิ ปัญญา ให้มากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะได้ประกันว่าเมื่อเราสิ้นชีวิตลงไป เราจะได้ไปในภพภูมิที่ดีอย่างแน่นอน

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๒๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...