เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 1 ตุลาคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,863
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,573
    ค่าพลัง:
    +26,418
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,863
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,573
    ค่าพลัง:
    +26,418
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ พวกเราที่เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ ความจริงเรามีห้องอบสมุนไพร ถ้าหากว่าเข้าอบสมุนไพร น่าจะหายเร็วขึ้น

    ตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ กระผม/อาตมภาพก็เห็นมาตลอด ถ้าหากว่าเป็นฤดูกาลนี้ เด็กเล็กมักจะเป็นหวัด แล้วก็หายใจไม่ออก จมูกตัน ผู้ใหญ่เขาจะต้มน้ำซึ่งมีส่วนผสมของหอมแดง ใบมะขามอ่อน ตะไคร้ ใบมะกรูด แล้วให้เด็กอาบ รับรองว่าหายทุกราย ฟังดูแล้วเหมือนกับต้มยำ..! แต่ว่าเราลองเอาสูตรนี้ไปใช้ดู หัวหอมกับตะไคร้ทุบให้แหลกก่อน ใบมะขามอ่อนใส่ลงไปทั้งกำมือเลย ส่วนใบมะกรูดก็หั่นซอยสักหน่อยหนึ่ง

    ถ้าหากว่าเป็นผู้ใหญ่ เขาเรียก "ไอ้พวกหัวแข็ง" หายยาก มักจะใช้วิธี "สุมหัว" ก็คือใช้ของพวกนี้แหละ ใส่ห่อผ้าแล้วก็นึ่งจนร้อน เอาไปโปะกระหม่อม สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือ จมูกที่ตันเพราะเป็นหวัดจะโล่งทันที บางบ้านก็หาผ้าไม่ค่อยได้ ใช้วิธีโปะหัวไปทั้งอย่างนั้นเลย แต่ว่าให้ระวังนิดหนึ่ง เพราะว่าถ้าหัวหอมมีมาก บางทีก็แสบหนังหัวเหมือนกัน..!

    เรื่องการรับมือกับโรคภัยไข้เจ็บตามฤดูกาล คนโบราณเขาเก่งมาก พอเริ่มย่างเข้าฤดูฝน มักจะเป็นไข้ หรือว่าพอปลายฝนต้นหนาวแล้วมักจะเป็นไข้ โบราณเขาเรียกว่า "ไข้หัวลม" ก็จะแก้ด้วยการแกงส้มกินกันทั้งบ้าน ซึ่งแกงส้มสมัยก่อนที่รสชาติยังไม่เพี้ยน ก็คือไม่ได้ใส่น้ำตาลแทนอย่างอื่น ถ้าหากว่าไม่ใช่มะนาว ก็จะเป็นมะขามเปียก ซึ่งก็คือวิตามินซีนั่นเอง

    ปัจจุบันนี้หมอเขาก็ทำวิจัยว่า วิตามินซีเป็นยาแก้หวัดที่ดีที่สุด ถึงขนาดแนะนำให้กินทุกวัน แต่กระผม/อาตมภาพว่าแพง..! แล้วโดยเฉพาะวิตามินซี ถ้าเม็ดละ ๕๐๐ มิลลิกรัม วิธีกินที่ปลอดภัยที่สุดก็คือแช่น้ำให้ละลายก่อน อย่าลืมว่าวิตามินซีคือกรด ถ้าลงไปทั้งเม็ดแล้วไปแปะติดผนังกระเพาะของเรา กว่าที่จะละลายหมดก็อาจจะกัดกระเพาะจนเป็นแผลไปแล้ว บางทีเจ้าพวกเพื่อนฝูงเห็นกระผม/อาตมภาพ ฉันวิตามินซีด้วยการละลายน้ำก่อน ก็ยังสงสัยว่าทำไมต้องยังละลายก่อน ? ก็ปล่อยให้เขาสงสัยกันต่อไป

    ส่วนระยะนี้
    กระผม/อาตมภาพไม่ได้ฉันวิตามินซีแบบนั้น หากแต่เล่นมะนาวไปเลย หมดเรื่องหมดราว มะนาวหน้านี้ที่ทองผาภูมิก็หาง่าย ๒๐ บาทได้เป็นกระสอบ..! คือของอะไรถ้าหากว่ามีมาก ราคาก็จะตกเป็นปกติ คราวนี้พอช่วงแล้งที่หายาก ราคาก็เคยขึ้นไปถึงลูกหนึ่ง ๖ บาท ๘ บาท มะนาวทองผาภูมิ ถ้าหากว่าเป็นมะนาวพื้นบ้านแถวนี้ เสียอยู่อย่างก็คือเปลือกหนา น้ำน้อย ใครทำไร่ทำสวนแถวนี้ให้หาพันธุ์แป้นสีทองอะไรมาลงแทน
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,863
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,573
    ค่าพลัง:
    +26,418
    พื้นที่อำเภอทองผาภูมิ ดินน่าจะออกไปทางดินเปรี้ยว เนื่องเพราะว่ามีลำห้วยลำธารเยอะมาก พวกตะกอนที่มากับน้ำ มักจะมีสภาพความเป็นกรด ก็เลยทำให้พื้นที่อำเภอทองผาภูมิ เหมาะที่สุดที่จะปลูกพืชผลตระกูลส้มหรือมะนาว ดังที่ท่านทั้งหลายก็ได้เห็นแล้ว ที่กระผม/อาตมภาพปลูกเอาไว้ที่เกาะพระฤๅษี ถ้าหากว่าเป็นตระกูลส้ม ตระกูลมะนาวจะงอกงามดีมาก อย่างอื่นปลูกไม่ค่อยขึ้น เพราะว่าเกาะพระฤๅษีก็คือดินตะกอนที่ไหลมากับน้ำล้วน ๆ พอมาสะสมมากเข้า ๆ ก็กลายเป็นเกาะกลางน้ำไป

    คราวนี้พวกเราที่วัดท่าขนุนมีห้องอบสมุนไพร แต่กลับไม่ใช้กัน น่าปล่อยให้ตาย..! หรือนึกไม่ถึง ของพวกนี้บางทีถ้าวาระกรรมยังไม่เปิด ก็ต้องทนรับไป กระผม/อาตมภาพเจอมาแล้ว ก็คือแม่ทองดี

    แม่ทองดี จอมผา เป็นเจ้าของบ้านอนุสาวรีย์ชัยฯ ที่นิมนต์กระผม/อาตมภาพไปรับสังฆทานเป็นแห่งแรก รับจนกระทั่งแม่แกตาย ถึงได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านวิริยบารมี

    แม่ทองดีช่วงท้าย ๆ ป่วยเป็นโรคเบาหวาน กระผม/อาตมภาพก็บอกสูตรยาแก้เบาหวานให้ ตอนนั้นท่านชาติชาย (นายชาติชาย ลือพาณิชย์กุล) ยังบวชอยู่ ก็เอาสูตรยาแก้เบาหวานที่ตนเองเชื่อถือไปให้ แม่ทองดีไม่กิน..! คนอื่นกินหายไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร แต่คนเราถ้าวาระกรรมยังสนองอยู่ ก็ไม่มีความสนใจที่จะทำกิน ทั้ง ๆ ที่เป็นของง่าย ๆ แล้วท้ายที่สุดก็ตาย..!

    ดังนั้น..บางเรื่องถ้าหากว่าวาระกรรมยังส่งผลอยู่ วาระบุญยังไม่เข้ามาสนอง บางทีเหมือนกับคนอับจนปัญญา แก้ไขปัญหาอะไรไม่ถูกเลยสักเรื่อง ทั้ง ๆ ที่คนอื่นบอกก็ยังไม่ฟัง เรื่องพวกนี้
    กระผม/อาตมภาพเจอมามากต่อมากด้วยกัน

    ถ้าหากว่ากันตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน พระองค์ท่านถึงได้วางกำลังใจเป็นอัปปมัญญา ไม่เห็นใครดีใครชั่ว เพราะว่าดีชั่วเป็นแค่สมมติทางโลกเท่านั้น พระองค์ท่านเห็นแค่คนที่กำลังเป็นไปตามกรรม เหมือนกับมีกระแสสองสายที่วิ่งคู่กันไป สายหนึ่งขึ้นบน สายหนึ่งลงล่าง สายสีขาวก็วิ่งขึ้นบน สายสีดำก็วิ่งลงล่าง จึงสำคัญอยู่ที่ว่าเราเองตอนนี้อยู่ในสายไหน ?

    ถ้าหากว่าเรารู้ตัวว่าอยู่ในสายสีดำ ก็ต้องพยายามตะเกียกตะกายข้ามมาอยู่ในสายสีขาว ถ้าหากว่าอยู่ในสายสีขาว ก็พยายามระมัดระวังรักษาตัวเองไว้ อย่าให้ตกเข้าไปอยู่ในสายสีดำ ซึ่งก็คือหลักของปธาน ๔ ก็คือ

    สังวรปธาน ต้องรู้จักระมัดระวังไม่ให้ความชั่วเข้ามาในใจของเรา
    ปหานปธาน ถ้าหากว่ามีความชั่วอยู่ในใจก็ต้องขับไล่ออกไปให้เร็วที่สุด
    ภาวนาปธาน พยายามสร้างความดีขึ้นมาในใจของเรา
    อนุรักขนานุปธาน เมื่อสร้างความดีได้แล้ว ก็พยายามประคับประคองให้เจริญต่อไป
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,863
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,573
    ค่าพลัง:
    +26,418
    ถ้าเป็นอย่างพระเดชพระคุณหลวงปู่พระธรรมพุทธิมงคล หรือหลวงพ่อสะอิ้ง วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร จังหวัดสุพรรณบุรี ท่านสรุปง่าย ๆ ว่า "ป้องกัน แก้ไข สร้างสรรค์ รักษา"

    ป้องกันก็คือ ในเรื่องของการที่เราต้องระมัดระวังไม่ให้ความชั่วเข้ามาในใจของเรา ก็คือสังวรปธาน
    แก้ไข
    ก็คือพยายามที่จะขับไล่ความชั่วในใจของเราออกไป ก็คือปหานปธาน
    สร้างสรรค์ ก็คือการที่เราพยายามสร้างความดีให้เกิดขึ้นในใจของเรา ก็คือ
    ภาวนาปธาน
    รักษา ก็คือการที่เราระมัดระวัง ประคับประคองความดีนั้นให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป ซึ่งก็คือในส่วนของอนุรักขนานุปธาน

    เพียงแต่ว่าหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีมากมายมหาศาล ทั้ง ๆ ที่พระองค์ตรัสว่าเป็นแค่ใบไม้กำมือเดียว..! พวกเราเองศึกษาแล้ว อย่าแค่จดจำเฉย ๆ พบเห็นอะไรในชีวิตประจำวัน ต้องยกเอาหลักธรรมที่เหมาะสมกับสถานการณ์นั้น ๆ ขึ้นมารับมือให้ถูกต้อง แล้วชีวิตของเราก็จะมีแต่ความสุขความเจริญ ถ้ายกขึ้นมารับมือไม่ถูกต้อง ก็จะต้องพบกับความทุกข์ เพราะว่าแก้ไขปัญหาไม่ได้

    ดังนั้น..นักศึกษาธรรมะมีมาก แต่ว่าส่วนใหญ่จะตกอยู่ในอาการ "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด" เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่ากำลังสมาธิไม่พอ ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่าสมาธิในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นข้อกลางที่สำคัญที่สุด สมาธิทรงตัวก็จะมีสติตั้งมั่น รักษาศีลทุกสิกขาบทได้บริสุทธิ์บริบูรณ์ สมาธิทรงตัวสภาพจิตก็สงบเยือกเย็น การพิจารณาสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เราพบเห็น ก็จะว่องไว ทันเหตุการณ์ และสามารถแก้ไขจากร้ายให้เป็นดี หรือสามารถทำให้ดีอย่างเดียวโดยไม่มีร้ายได้

    ดังนั้น..บางสำนักที่ไม่เอาสมาธิจึงเป็นเรื่องที่น่าสงสารมาก เนื่องเพราะว่าเท่ากับตัวเราขึ้นเวทีไปต่อสู้ โดยไม่มีอาวุธอะไรเลย ขณะที่คู่ต่อสู้ขนมาแทบจะเท่าคลังแสงรัสเซียที่ไปบุกยูเครน..!
    แต่ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ต้องบอกว่า ถ้าหากว่าเขาทั้งหลายเหล่านั้น สร้างบุญสร้างบารมีมาดี ก็จะพบกับสายธรรมหรือว่าครูบาอาจารย์ที่เหมาะสม หรือว่าปฏิบัติได้ถูกต้อง แต่ถ้าหากว่าสร้างบุญสร้างบารมีมาไม่ดี ก็อาจจะต้องหลงเปะปะไปสำนักโน้นบ้าง สำนักนี้บ้าง แต่หาความเจริญแก่ตัวเองไม่ได้ พวกเราต้องมองว่าตอนนี้เขาอยู่ในสายที่ไหลลงต่ำ อย่าไปตำหนิกัน เราอยู่ในสายที่ไหลขึ้นสูง ก็อย่าไปคิดว่าเราดีกว่า แต่ให้เพียรพยายามรักษาความดีของเราเอาไว้ แล้วทำให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...