เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๕ มกราคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 5 มกราคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,853
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,573
    ค่าพลัง:
    +26,418
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๕ มกราคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_4718.jpeg
      IMG_4718.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      412.6 KB
      เปิดดู:
      68
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,853
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,573
    ค่าพลัง:
    +26,418
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ มีเรื่องมากมายหลายเรื่องอยากจะบอกอยากจะกล่าวกับพวกเรา แต่ว่าเอาแค่ที่ได้ตามเวลาก็แล้วกัน

    เรื่องแรกมีผู้แชร์มาในกลุ่มไลน์ว่า มีการไถ่ชีวิตนักโทษออกจากคุก โดยใช้ชื่อหลวงปู่เสน ปัญญาธโร วัดป่าหนองแซง โดยการไถ่ชีวิตนักโทษนั้น เจตนาก็คือเอามาบวช ตามรายละเอียดที่เขาลงไว้ก็คือ หลวงปู่เสนท่านรู้ว่ามีพระอรหันต์ที่ติดคุกอยู่ จึงต้องการที่จะไถ่ตัวออกมาบวช ในราคาคนละ ๒๖,๐๐๐ บาท..!

    เรื่องนี้ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายมีสติสัมปชัญญะเป็นปกติ ก็ต้องรู้ว่าไม่ชอบมาพากลอยู่แล้ว เนื่องเพราะว่า
    ยังไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของการใช้กฎหมายประเทศไทย คำว่าไถ่ชีวิต แปลว่าต้องใช้กับนักโทษประหาร ซึ่งไม่มีทางที่จะเป็นไปได้อยู่แล้ว เพราะว่าการที่ศาลตัดสินให้รับโทษ จะมากจะน้อยก็ตาม เป็นไปโดยพระราชอำนาจด้านตุลาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บุคคลที่จะอภัยโทษให้ มีแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้น ถ้าหากว่าจะมีการอภัยโทษ ก็ยังต้องมีการส่งรายชื่อขออภัยโทษขึ้นไปตามลำดับ ไม่ใช่อยู่ ๆ ก็ไปไถ่ชีวิตออกมาได้ เหมือนกับเราไปไถ่ชีวิตวัวควาย..!

    ประการที่สอง นักโทษที่อยู่ในคุกก็แปลว่าเป็นฆราวาสธรรมดา เพราะว่าต้องออกมาบวช ในความเป็นฆราวาสธรรมดา ไม่มีใครทรงความเป็นพระอรหันต์ได้ แค่พระอนาคามีก็แย่มากแล้ว คำว่าแย่มากในที่นี้ก็คือ จะก่อทุกข์ก่อโทษให้คนอื่นอย่างสาหัส

    ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายศึกษาในธรรมบท เรื่องของนางสิริมาที่เป็นหญิงแพศยา เพราะว่าในอดีตชาติเคยด่านางภิกษุณี ซึ่งเวียนเทียนอยู่แล้วท่านบ้วนน้ำหมาก แต่พอดีลมกรรโชกมา ทำให้น้ำหมากส่วนหนึ่งกระเซ็นไปติดผ้าที่ตนเองห่มอยู่ จึงด่าไปว่า "นางหญิงแพศยาที่ไหนบ้วนน้ำหมากมาเปื้อนผ้าของเรา" โดยที่ไม่รู้ว่าภิกษุณีนั้นเป็นพระอรหันต์ การด่าเพียงเท่านั้น ทำให้ต้องเกิดเป็นหญิงแพศยาถึง ๕๐๐ ชาติติดต่อกัน..!

    ดังนั้น..การที่พระอรหันต์จะทรงอยู่ในร่างฆราวาส จึงเป็นเรื่องที่จะสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นมากโดยใช้เหตุ โดยเฉพาะมีโทษหนักมาก อย่างนางขุชชุตตรา แค่เลียนแบบทำท่าว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าที่มาแสดงธรรมนั้น ท่านถือบาตรแล้วเดินหลังค่อม แค่ทำท่าให้เจ้านายดูเท่านั้นว่าเป็นแบบนี้ แต่ว่าเป็นกรรมในการปรามาสพระปัจเจกพุทธเจ้าท่าน จึงต้องไปเกิดเป็นหญิงหลังค่อม
    ทำให้พระอรหันต์ไม่สามารถที่จะทรงอยู่ในร่างของปุถุชนได้ เพราะว่าจะสร้างกรรมใหญ่ให้เป็นที่เดือดร้อนของผู้อื่น ส่วนใหญ่จึงโดนตัดให้ตายลงไป ถ้าตามตำรา ท่านว่าจะต้องเสียชีวิตภายใน ๗ วัน..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,853
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,573
    ค่าพลัง:
    +26,418
    แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านบอกว่า จากประสบการณ์ของท่านเองนั้น ถ้าสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในเวลากลางวัน ก็จะไม่ได้เห็นตะวันตกดิน ถ้าสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในเวลากลางคืน ก็จะไม่ได้เห็นตะวันขึ้น จะต้องมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งให้เสียชีวิตลงไป โดยที่ผู้อื่นไม่ได้รับทุกข์รับโทษจากการเสียชีวิตของท่าน

    แม้กระทั่งพระอนาคามีบางท่าน ถ้าอยู่ในสถานะล่อแหลม อาจจะก่อให้เกิดทุกข์เกิดโทษแก่ผู้อื่นมาก ก็โดนตัดให้ตายได้เช่นกัน แต่ถ้าเราดูอย่างท่านเจ้ามหานามศากยะ ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ เป็นพระอนาคามี ท่านอยู่ในฐานะอันสูงอยู่แล้ว สามารถที่จะดำรงอยู่ได้เป็นเรื่องปกติ เพราะก็คงไม่มีใครที่จะหาเรื่องไปด่าพระมหากษัตริย์ เหมือนไอ้พวก "สามกีบ" สมัยนี้ ขออภัย..ไปไกลเกิน..!

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เรื่องนี้ขอให้มั่นใจว่าน่าจะเป็นเรื่องการหลอกลวงกัน โดยอาศัยชื่อหลวงปู่เสนท่านนำหน้าเพื่อขอรับบริจาคเงิน บุคคลที่เห็นดีเห็นงามทำบุญไปแล้ว ก็นึกเสียว่าเราทำบุญบวชพระไปก็แล้วกัน ส่วนท่านใดที่ยังไม่ได้ทำก็ขอให้ทราบว่า
    เราไม่สามารถที่จะไปไถ่ใครออกจากคุกได้ ยกเว้นว่ารัฐบาล ก็คือทั้งรัฐสภาและวุฒิสภาออกเป็นพระราชบัญญัติ คือกฎหมายใหม่ขึ้นมา แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวลงพระปรมาภิไธย ก็สามารถที่จะไถ่ออกมาได้ แต่คงจะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว..!

    ประการต่อมาก็คือในเรื่องของคณะสงฆ์เรา เวลาเกิดเรื่องขึ้น มักจะหาคนออกมาชี้แจงได้ยาก ที่กระผม/อาตมภาพเคยบอกกับพวกเราหลายหนว่า คณะสงฆ์ของเราขาดส่วนที่สำคัญที่สุด ก็คือส่วนประชาสัมพันธ์ คำว่าประชาสัมพันธ์นี้ นอกจากการงานคณะสงฆ์ ไม่ว่าจะเป็นด้านการปกครอง การศาสนศึกษา การเผยแผ่ การสาธารณูปการ การศึกษาสงเคราะห์ และการสาธารณสงเคราะห์ ซึ่งคณะสงฆ์ทำกันอยู่อย่างมากมายมหาศาล แต่ว่าข่าวคราวแทบจะไม่มีออกมาถึงชาวบ้านเลย

    อย่างปัจจุบันนี้ ฝ่ายการสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์ไทย ซึ่งมีพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ (ปสฤทธ์ เขมงฺกโร) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นประธานอยู่ กำลังช่วยบรรดาผู้ที่เดือดร้อนเพราะน้ำท่วมที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ช่วยกันทั้งวันทั้งคืน แต่เราแทบจะไม่เห็นข่าวปรากฏขึ้นให้ประชาชนทั่วไปได้รู้เลย นอกจากข่าวในกลุ่มไลน์ของพระสงฆ์ด้วยกันเท่านั้น

    คราวนี้
    ถ้าหากว่ามีส่วนประชาสัมพันธ์นี้ขึ้นมา เวลาเกิดเรื่องอะไร กระผม/อาตมภาพอยากให้มีการชี้แจงเรื่องที่ถูกและผิด ให้กับญาติโยมทั้งหลายได้ฟังอย่างชัดเจน จะได้เข้าใจและปฏิบัติตามได้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นแล้วก็จะเข้าใจผิด และทำผิด ๆ กันต่อไปเรื่อย
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,853
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,573
    ค่าพลัง:
    +26,418
    ถ้าหากว่าบุคคลที่แนะนำผิด ๆ เริ่มมีฐานะ เริ่มเป็นครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงขึ้นมา ก็จะมีการอ้างว่าครูบาอาจารย์ท่านนั้นทำแบบนี้ ครูบาอาจารย์ท่านนี้ทำแบบนี้ แล้วลูกศิษย์ลูกหาก็อาจจะแบ่งฝ่ายทะเลาะกันเองแบบภิกษุโกสัมพี ที่ฝ่ายวินัยธรและฝ่ายธรรมธรมีปากมีเสียงกัน จนกระทั่งภายหลังก็แตกร้าวไปหมด ถึงขนาดเทวดาก็พลอยเป็นไปด้วย จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องหลีกไปอยู่ที่ป่าปาลิไลยกะ เพราะว่าตักเตือนแล้ว บรรดาสงฆ์ที่มืดหน้าตามัวทะเลาะกันอยู่ ไม่มีใครฟัง

    ถ้าเรามีหน่วยงานประชาสัมพันธ์ ก็ควรจะมีบุคคลที่มีความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม เป็นบุคคลที่คอยชี้แจงเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในวงการสงฆ์ของเรา ให้เป็นไปโดยชอบตามหลักธรรมวินัย เพื่อที่จะสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ญาติโยมทั้งหลายได้ ก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง

    ส่วนเรื่องอื่น ๆ อย่างวันนี้ ท่านทั้งหลายก็จะเห็นว่าบรรดาโรงเรียนต่าง ๆ มาขอของขวัญวันเด็กจากวัดท่าขนุนกันมากมายหลายโรงเรียน ซึ่งในส่วนนี้กระผม/อาตมภาพไม่ได้รังเกียจ แต่อยู่ในลักษณะที่ว่า "มีมากก็ให้มากหน่อย มีน้อยก็ให้น้อยหน่อย" เพียงแต่เกรงว่าทางโรงเรียนคิดไปเองว่า ปีนี้ได้เท่านี้ ปีหน้าคาดว่าจะต้องได้เท่านี้อีก ถ้าลักษณะอย่างนั้นก็หาเรื่องเครียดเอง..!

    อีกเรื่องหนึ่งก็คือการศึกษาของพระภิกษุสามเณรของเรา เพราะว่าพระมหาเอกชัย สุทฺธิธมฺโม กลับมา แล้วตอนนี้ท่านไม่ได้เรียนบาลี แต่ว่าไปเรียนพุทธศาสตรบัณฑิต สาขาครุศาสตร์ ซึ่งกระผม/อาตมภาพก็ไม่ได้ว่าอะไร
    แต่จะเรียนอะไร ควรที่จะบอกกล่าวให้ชัดเจน ไม่ใช่แอบไปเรียนเป็นปี แล้วให้ข่าวมาถึงกระผม/อาตมภาพเอง ถ้าลักษณะอย่างนั้นถือว่าทำไม่ถูกต้อง

    กระผม/อาตมภาพไม่เคยคัดค้านในเรื่องการศึกษาอยู่แล้ว ยกเว้นบางท่านที่เห็นว่าไม่ไหวจริง ๆ ก็จะบอกตรง ๆ ว่าไม่ส่ง เพราะว่าส่งไปก็เสียเงินเปล่า ไปกินงบประมาณที่จะส่งเสียคนอื่นเขาได้ด้วย อย่างเช่นว่าเรียนปริญญาตรีมา ๗๕ วิชา ได้ D ทุกวิชา แล้วจะไปเรียนปริญญาโท ซึ่งเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เนื่องเพราะว่าระดับปริญญาโท ทางมหาวิทยาลัยสงฆ์เขากำหนดไว้ว่า อย่างต่ำคุณต้องได้เกรด ๒.๕ ขึ้นไป ถ้าปริญญาเอกก็ต้องเกรด ๓ ขึ้นไป แล้วขณะเดียวกันเราต้องมีสำนึกด้วยว่า ภาษาอังกฤษของเราไปรอดหรือไม่ ?
    เพราะว่าระดับปริญญาโท ปริญญาเอก นอกจากต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารแล้ว ยังต้องค้นคว้าตำราต่างประเทศเพิ่มเติมด้วย

    ดังนั้น..เรื่องพวกนี้จะเรียนอะไรบอกกระผม/อาตมภาพก่อน อย่างน้อย ๆ จะได้รู้ว่าตอนนี้แต่ละท่านศึกษาอะไรกันอยู่บ้าง ? จะเรียนต่อบาลีหรือไม่เรียน จะเรียนต่อปริญญาหรือไม่เรียน ควรบอกให้ชัดเจน ไม่จำเป็นจะต้องไปหลบ ๆ ซ่อน ๆ กัน เพราะว่าอย่างไรเสียกระผม/อาตมภาพก็ไม่เคยคัดค้านอยู่แล้ว ดูท่าว่าเวลาจะไม่พอแล้ว

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกรฺที่ ๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...