เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 2 สิงหาคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ เป็นวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ หลัง ปีเถาะ เหตุที่วันเข้าพรรษาของปีนี้เลื่อนมาถึงวันที่ ๒ สิงหาคม ก็เกิดจากการที่ปีนี้เป็นปีอธิกมาส มีเดือน ๘ สองหน กระผม/อาตมภาพจำพรรษามา ๓๘ พรรษาแล้ว เพิ่งจะเจอวันที่ ๒ สิงหาคมเป็นวันเข้าพรรษาแค่ ๒ ครั้ง คือก่อนหน้านี้หลายปีและครั้งนี้เท่านั้น

    คราวนี้
    ในแต่ละช่วงของการเข้าพรรษา ก็มักจะมีคนตั้งใจที่จะกระทำความดี อย่างเช่นว่า งดเหล้าเข้าพรรษา พระภิกษุสามเณรของเราก็ตั้งใจว่าพรรษานี้จะตั้งใจเรียน หรือว่าตั้งใจปฏิบัติธรรม เป็นต้น เพียงแต่ว่าสิ่งที่เราทำนั้นสมกับความตั้งใจหรือไม่ ? เราต้องพิจารณาตรงนี้ด้วย

    แม้กระทั่งเรื่องที่ชาวบ้านงดเหล้าเข้าพรรษา กระผม/อาตมภาพก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วยสักเท่าไร คือถ้าจะให้เห็นด้วยก็ควรที่จะงดเหล้าออกพรรษา ก็คือเลิกไปเลย ๙ เดือน ไม่น่าจะเลิกแค่ ๓ เดือน แต่จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องแปลก ก็คือถ้า ๓ เดือนสามารถงดเว้นได้ ทำไมไม่งดให้ตลอดไป ?

    ส่วนพวกเราทั้งหลาย ถ้าหากว่าตั้งใจว่าพรรษานี้จะเอาจริงเสียที ก็ต้องดูว่าการเอาจริงของเรานั้นทำได้กี่วัน ? อย่างเช่นว่าตั้งใจมาทำวัตรเช้าให้ได้ทุกวัน กรุณาอย่าตะกายมาในนาทีสุดท้าย..! ต้องมาก่อนเสียงตามสายจะดังขึ้น ถ้ากำลังใจของเราจดจ่ออยู่กับงานที่จะทำ เราสามารถทำได้อย่างแน่นอน แต่ส่วนใหญ่ที่ทำไม่ได้เพราะว่ากำลังใจของเราไม่ได้จดจ่ออยู่กับงาน อีกประเภทหนึ่งก็รอแต่เสียงตามสายปลุก ปลุกแล้วปลุกอีก ไม่ตื่นเสียที..!

    ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น ไม่มีใครเตือนเราได้นอกจากเราเตือนตัวเราเอง บาลีบอกไว้ชัดว่า อตฺตนา โจทยตฺตานํ เราต้องกล่าวโทษโจทย์ตนเองไว้เสมอ ว่า "กาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เราต้องทำ กาย วาจา ใจ เหล่านั้นให้ได้"
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    คราวนี้ในสิ่งที่พวกเราทำ ส่วนใหญ่แล้วกระผม/อาตมภาพใช้คำว่า "ทำเหมือนกับแก้บน" ก็คือทำแบบไม่จริงไม่จัง ต้องบอกว่า ถ้าหากตั้งใจที่จะสู้กับกิเลส เราก็แพ้ตั้งแต่ต้นแล้ว เพราะว่าขาดความเอาจริงเอาจังชนิดที่เอาชีวิตเข้าแลก หิวหน่อยก็ไม่ไหว เหนื่อยหน่อยก็ไม่ไหว ง่วงหน่อยก็ไม่ไหว

    กระผม/อาตมภาพเองช่วงที่บวชอยู่ที่วัดท่าซุง มีเวลานอนคืนหนึ่ง ๒ ชั่วโมง เพื่อไม่ให้ร่างกายเครียดจนเกินไป ที่เหลือก็คืออยู่กับการภาวนาทั้งกลางวันและกลางคืน กิจการงานทุกอย่างทำเป็นปกติ ไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐานตามเวลา ตลอดจนกระทั่งอยู่เวรยามตามที่ได้รับมอบหมาย พอนอกเวลาเมื่อไรก็วิ่งเข้าที่ปฏิบัติของตนเอง

    สถานที่ก็มีอยู่สองแห่ง แห่งแรกก็คือเรือนนอน ซึ่งเขาเรียกกันว่าตึกกองทุน ก็คือ กองทุนหลวงปู่ปาน - พระมหาวีระ ถาวโร ซึ่งเป็นมูลนิธิของวัดท่าซุง เป็นตึก ๒ ชั้นหลังใหญ่ มีห้องซ้ายขวา ข้างละ ๔ ห้อง ก็แปลว่า ถ้ามีเพื่อนพักรวมอยู่ด้วยก็จะได้ ๘ ท่านด้วยกัน ตรงกลางเป็นโถงใหญ่ยาว ๆ กระผม/อาตมภาพก็เดินจงกรมอยู่ตรงโถงนั่นแหละ หมดสภาพเมื่อไรก็นอน ครบ ๒ ชั่วโมงก็ลุกขึ้นมาภาวนาใหม่

    หรือไม่ก็หลบเข้าไปใต้สวนไผ่ ๖ ไร่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านยกพื้นเทคอนกรีตในสวนไผ่เอาไว้ เพื่อใช้เป็นที่เลี้ยงอาหารญาติโยมที่ไปวัด เพราะว่าต้นไผ่ให้ร่มเงาดีมาก การเทคอนกรีตก็คือเว้นช่องให้ต้นไผ่ขึ้นมาได้ กระผม/อาตมภาพก็มุดลงไปตามต้นไผ่นั่นแหละ ลงไปอยู่ข้างใต้ ไม่มีฟืนไม่มีไฟอะไร

    แรก ๆ ลงไปก็มองอะไรไม่เห็น พอผ่านไปพักหนึ่ง สายตาเริ่มเคยชินกับความมืด ก็เริ่มมองเห็นว่าข้างล่างไม่ใช่พื้นเปล่า ๆ แต่ว่ามีงูเหลือมตัวใหญ่เป็นเสาเรือน หรือว่ามีเหี้ยตัวใหญ่เท่าจระเข้อยู่ด้วย..! ซึ่งวันดีคืนดีก็ออกมาลากหมาวัดไปกิน อยู่จนกระทั่งจำหน้ากันได้ทุกตัว ก็คือต่างคนต่างอยู่ พวกสัตว์เลื้อยคลาน ถ้าหากว่ากินอิ่มก็มักจะนอนนิ่ง ๆ มีพวกเหี้ยที่จะปีนขึ้นไปรับแสงแดดด้านบน แต่งูเหลือมบางทีอาทิตย์หนึ่งไม่ได้ขยับไปไหนเลย
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    กระผม/อาตมภาพก็เดินจงกรมภาวนาอยู่ข้างใต้นั่นแหละ กะเวลาเอาไว้ สมมติว่าเป็นเวรเช้า หลังเที่ยงแล้วก็มุดหายลงไป โผล่ขึ้นมาอีกทีก็ ๕ โมงเย็น เตรียมตัวทำวัตรและเจริญกรรมฐานภาคค่ำ พอทุ่มครึ่ง เลิกกรรมฐานก็มุดหายลงไปใหม่ ช่วงที่คอยดูแลเรื่องปลาหน้าวัด ก็พายเรือทั้งคืน พายไปภาวนาไป ซักซ้อมทิพจักขุญาณไปในตัว ฝ่ายตรงข้ามซ่อนเครื่องมือดักปลาไว้ตรงไหน ตามไปเก็บเรียบ..!

    นี่คือสิ่งที่
    กระผม/อาตมภาพทำมา ขนาดนั้นยังรู้สึกว่าตนเองทำไม่ได้เต็มที่อย่างที่ต้องการ วันหนึ่ง ๒๒ ชั่วโมงยังน้อยเกินไป แต่ก็จำต้องสละ ๒ ชั่วโมงไว้พักนอน ไม่อย่างนั้นถ้าร่างกายไม่ได้นอนเดี๋ยวจะปฏิบัติหน้าที่ไม่ไหว หลายท่านจะเห็นว่ากระผม/อาตมภาพค่อนข้างจะผอม สมัยนั้นหุ่นเหมือนว่าที่ ดร.ซ้วง (พระศิระ จิตฺตสุโภ) ไม่มีผิด เพราะว่ากินน้อย นอนน้อย ภาวนามาก

    แต่ละพรรษาคือความตั้งใจที่ว่า พรรษานี้เราต้องเอามรรคเอาผลให้ได้ แล้วแต่ละวันก็อยู่ในลักษณะนั้น ก็คือวันนี้เราต้องเอามรรคเอาผลให้ได้ ดังนั้น..สำหรับกระผม/อาตมภาพแล้ว การเข้าพรรษาแทบจะไม่มีความสำคัญอะไรเลย นอกจากเป็นพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น เพราะว่าทุ่มเทให้กับการปฏิบัติทุกวัน
    อยู่แล้ว

    ที่บอกกล่าวมานี้ เพื่อให้พวกเราได้เข้าใจว่า การที่เราตั้งใจจะทำอะไร ต้องทุ่มเทกันชนิดแลกด้วยชีวิต ไม่ใช่ทำ ๆ เล่น ๆ เหมือนอย่างกับแก้บน ถ้าลักษณะนั้น โอกาสที่จะเอาดีได้ก็เป็นเรื่องที่ยาก

    กระผม/อาตมภาพเคยบอกกล่าวพวกเราทั้งหลายแล้วว่า การรับวิชาความรู้จากครูบาอาจารย์ การถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นมักจะมีตกหล่นเสมอ เพราะว่าลูกศิษย์รับได้ไม่เต็มที่ อาจารย์ถ่ายทอดให้ด้วยความเต็มใจจนหมดความรู้ของตน แต่ลูกศิษย์ทุ่มเท ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ก็มักจะได้ไปแค่สัก ๘๐ % ของครูบาอาจารย์ พอตนเองถ่ายทอดต่อไป หลานศิษย์ทุ่มเทเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ก็ได้แค่ ๖๐ % ความรู้ก็จะเสื่อมถอยลงไปเรื่อย ๆ มีวิธีเดียวที่จะเอาความรู้นั้นให้เต็มร้อย ก็คือเราต้องพยายามให้เกินร้อย อย่างเช่นว่า พยายามสัก ๑๕๐ % หรือ ๒๐๐ % ไปเลย
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่เราท่าน0tมากล่าวกันเล่น ๆ อย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่า แม้แค่เรื่องของพระคาถาเงินล้าน กระผม/อาตมภาพก็ซ้อมภาวนาวันละ ๓๐๐ จบอยู่ถึง ๓ ปีเต็ม ๆ ก่อนหน้านี้ทำมากกว่านั้น ก็คือมี ๓๖๐ จบ ๔๘๐ จบ ๖๐๐ จบ ๗๒๐ จบ ๘๔๐ จบ ๙๖๐ จบ ๑,๐๘๐ จบ เต็มที่ก็ ๑,๒๐๐ จบ ได้ไม่เกินนั้น

    เพราะว่าเริ่มตั้งแต่ตี ๓ มีเวลาฉันภัตตาหารเช้าอยู่ประมาณ ๑๕ นาทีเท่านั้น แล้วก็ลากยาวไปเลิกตอน ๑ ทุ่ม ถ้าหากว่านับไปก็เป็นเวลาประมาณ ๑๘ ชั่วโมง ๑๘ ชั่วโมงว่าได้แค่ประมาณ ๑,๒๐๐ จบเท่านั้น ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่ออกธุดงค์ มีเวลาเป็นของตัวเองเต็มที่ทั้งวัน การภาวนาก็ตั้งใจเอาดี ก็คือว่าช้า ๆ กำหนดสติรู้อย่างครบถ้วน ทรงฌานสมาบัติได้สูงเท่าไรก็เอาเท่านั้น

    กระผม/อาตมภาพเคยทำสมาธิสูงสุดแล้ว เวลาประมาณ ๒ ชั่วโมงครึ่ง ภาวนาได้แค่จบเดียว..! เนื่องเพราะว่าเวลาสมาธิทรงตัว ยิ่งลึกเท่าไรก็ตาม สภาพจิตของเรารู้สึกว่าเป็นปกติ แต่ความจริงแล้ว เวลาข้างนอกผ่านไปนานมาก สภาพแบบนั้นแหละที่เวลาของเทวดา นางฟ้า หรือว่าพรหมถึงได้ต่างกับเรามาก สภาพจิตยิ่งละเอียดลึกซึ้งมากเท่าไร เวลาก็ต่างกันมากเท่านั้น

    ท่านทั้งหลายจึงควรที่จะพยายามอย่างเต็มที่ ดูว่าเรามีอะไรที่ทำแล้วเป็นความภาคภูมิใจเฉพาะตัวบ้าง ไม่เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่เราทำก็ไม่สามารถที่จะตามรอยครูบาอาจารย์ได้ทัน อย่าว่าแต่โดดเด่นเป็นอภิชาตบุตรเลย แค่เป็นอนุชาตบุตร รู้เท่าครูบาอาจารย์ก็ยากแล้ว

    ดังนั้น..พรรษานี้กระผม/อาตมภาพจึงฝากท่านทั้งหลายเอาไว้ว่า ถ้าคิดจะทำ ต้องทำจริง ๆ แบบที่เสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ท่านมีคติประจำตัวก็คือ กยิรา เจ กยิราเถนํ ทำอะไรต้องทำให้จริง พระองค์ท่านจึงประสบความสำเร็จในทุกวิชาการที่ศึกษา

    พวกเราต้องการทำให้ได้อย่างนั้น ก็ต้องมีสัจจะ จริงจังจริงใจ มีวิริยะ พากเพียรไม่ย่อท้อ มีขันติ อดทนอดกลั้น ต่อสู้จนกว่าจะประสบความสำเร็จ ไม่เช่นนั้นแล้วเราก็จะผ่านไปเปล่า ๆ อีก ๑ พรรษา

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...