เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 1 พฤษภาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,837
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +26,414
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,837
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +26,414
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ เป็นวันที่กระผม/อาตมภาพค่อนข้างจะวุ่นวายกับชีวิต เนื่องจากว่าทางวัดท่าขนุนของเราและชุมชนฯ นั้น จะมีการเปิดตัว ๑๐ สุดยอดชุมชนคุณธรรม ตามโครงการ "เที่ยวชุมชน..ยลวิถี" ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๖ ซึ่งวัดท่าขนุนของเรา ได้รับเลือกให้เป็น ๑ ใน ๑๐ สุดยอดชุมชนคุณธรรม

    ทางกระทรวงวัฒนธรรมต้องการที่จะเปิดตัวชุมชน เพื่อให้ผู้คนรู้จักมากไปกว่านี้ จึงกำหนดวันเปิดตัว คือวันที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ แต่เนื่องจากว่าเป็นการแจ้งมาในระยะเวลาที่กระชั้นมาก ทางเราจึงจำเป็นที่จะต้องติดต่อประสานงาน และโดยเฉพาะในส่วนของการจัดสถานที่ ซึ่งได้รับการอนุเคราะห์จากท่านนายกฯ ปาล์ม (นายศราวุธ ศรีทันดร) นายกเทศมนตรีตำบลทองผาภูมิ นำเอาเจ้าหน้าที่กองช่าง และเจ้าหน้าที่บรรเทาสาธารณภัย มาช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาดสถานที่ให้

    ส่วนอื่น ๆ ก็คือการแบ่งงานกัน ให้ทางชุมชนและโรงเรียนต่าง ๆ ช่วยกันจัดงานแสดง และออกบูธสินค้า ซึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ปกติเรามีอยู่ในทุกวันหยุดราชการและวันนักขัตฤกษ์อยู่แล้ว แต่ว่าต้องกำชับไปว่า "จัดเต็ม..!"

    โดยเฉพาะการประสานไปกับหน่วยงานต่าง ๆ อย่างเช่นว่าพันตำรวจเอกมนตรี แตงโต ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรทองผาภูมิ ซึ่งรับผิดชอบด้านงานจราจร ตลอดจนกระทั่งทางชุมชนต่าง ๆ และหน่วยงานใกล้เคียง ซึ่งมีสถานที่กว้างขวาง อย่างเช่นโรงเรียนอนุบาลทองผาภูมิ หน่วยควบคุมโรคติดต่อโดยแมลง ๕.๑.๗ ตลอดจนกระทั่งสาธารณสุขอำเภอทองผาภูมิ นอกจากต้องเชิญท่านมาร่วมงานเปิดตัวแล้ว ยังต้องขออนุญาตในการใช้พื้นที่สำหรับจอดรถอีกด้วย

    ส่วนหน่วยงานอื่น ๆ อีก ร้อยแปดพันเก้าภายในอำเภอทองผาภูมิ ก็ต้องทำหนังสือเชิญถึงหัวหน้าส่วนราชการนั้น ๆ หรือว่าทางด้านผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะผู้ใหญ่บ้านและกำนัน ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าของสถานที่โดยตำแหน่ง

    จะว่าไปแล้ว เรื่องทั้งหลายเหล่านี้นั้นเป็นเรื่องที่ "กลืนไม่เข้าคายไม่ออก" เนื่องเพราะว่าบางหน่วยงาน โดยปกติก็ไม่ปฏิสัมพันธ์กันเลย เนื่องเพราะว่าไม่ได้มีงานที่เกี่ยวข้องถึงกัน แต่เมื่อเป็นงานใหญ่ในระดับที่ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องเดินทางมาร่วมงานด้วย ก็ต้องเชิญท่านทั้งหลายเหล่านี้มาเป็นเกียรติ ร่วมงานในฐานะหน่วยงานสำคัญในพื้นที่
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,837
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +26,414
    เรื่องนี้เมื่อทำหนังสือมาก ๆ แล้ว ก็ทำให้กระผม/อาตมภาพนึกถึงพี่ณพ (พันตำรวจเอกอรรณพ กอวัฒนา) นายตำรวจนอกราชการ สมัยนั้นจำได้ว่า เป็นงานทำบุญถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ซึ่งมีการทำบุญกันตลอด ๑๐๐ วัน

    วันนั้นกระผม/อาตมภาพนั่งคุยกับพี่ณพอยู่ทางด้านข้าง ใกล้ ๆ สถานที่ตั้งสังขารพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ซึ่งเผื่อว่าถ้ามีพระผู้ใหญ่เข้ามา จะได้เข้าไปถวายการต้อนรับได้ทันท่วงที ปรากฏว่าที่เข้ามาพร้อมผู้ติดตามกลุ่มใหญ่ ก็คืออธิบดีกรมตำรวจท่านหนึ่ง กระผม/อาตมภาพจึงสะกิดพี่ณพว่า "เฮ้ย..เจ้านายมา ไปต้อนรับหน่อยสิ"

    ปรากฏว่าพี่ณพทำเมินซะอย่างนั้น กระผม/อาตมภาพจึงถามว่า "ไม่คิดที่จะไปปฏิสันถารกับผู้บังคับบัญชาหน่อยหรือ ?" พี่ณพบอกว่า "ไปต้อนรับมันทำไม ? เชิญก็ไม่ได้เชิญ มันมาเอง แม้กระทั่งสตางค์ก็ยังไม่ได้หยอดตู้สักบาท แล้วแถมยังกินน้ำของเราไปอีกสองแก้วด้วย..! กระผม/อาตมภาพขำก๊ากอยู่ตรงนั้นเอง

    ต้องบอกว่าคนอย่างพี่ณพเจริญในหน้าที่การงาน มาถึงระดับผู้บังคับการได้นี่ต้องถือว่าสุดยอดมากแล้ว เพราะว่าอันดับแรกก็คือ ย้ายมาจากตำรวจตระเวนชายแดน แล้วขณะเดียวกัน ก็อยู่ในประเภทตรงเป็นไม้บรรทัด มีอะไรก็พูดออกไปโป้ง ๆ แบบนี้ สันดานเดียวกับกระผม/อาตมภาพ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ จึงทำให้สามารถที่จะคุยกันได้ทุกเรื่อง แล้วเราลองมาคิดดูว่า ถ้าเป็นอธิบดีกรมตำรวจท่านนั้นได้ยินลูกน้องพูดแบบนี้ ก็คงจะรักมาเป็นพิเศษ รับประกันได้ว่าจดจำไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน..!

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ต้องบอกว่า "สันดอนนั้นพอขุดได้ แต่สันดานนั้นขุดยาก" ถ้าว่ากันตามสำนวนของเสฐียรโกเศศและนาคะประทีป ก็คือ "เป็นวาสนาที่ตัดไม่ขาด" พูดเสียไพเราะ แต่ความจริงก็คือเป็นสันดานที่ฝังรากลึกอยู่ในจิตในใจ ข้ามชาติข้ามภพมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว

    ความจริงคำว่า "สันดาน" นี้ ถ้าพูดเป็นภาษาไทยแล้วก็รู้สึกว่าแรง แต่ความจริงก็มาจากภาษาบาลีที่ว่า "สันตติ" คือความสืบเนื่องนั่นเอง แต่ละคนแต่ละท่านมีจริตมีนิสัยอย่างไร ในแต่ละชาติ แต่ละภพที่ผ่านไป ก็จะฝังรากลึกไปเรื่อย จนกระทั่งในที่สุดก็กลายเป็นตัวตน แล้วก็ขุดถอนยากที่สุด แม้กระทั่งพระอรหันต์ยังไม่สามารถที่จะแก้ไขตรงนี้ได้ จะยกตัวอย่างพระอรหันต์สักสององค์
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,837
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +26,414
    องค์แรกก็คือพระสารีบุตรมหาเถระ องค์อัครสาวกเบื้องขวาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ที่เลิศด้วยปัญญา แต่ว่าเมื่อเดินทางร่วมกัน เจอสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นหลุม เป็นร่องอะไรก็ตาม ท่านอื่นก็ก้าวข้ามไปโดยสงบ พระสารีบุตรเผ่นแผล็วข้ามไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งแล้ว..!

    ในเมื่อภิกษุปุถุชนกล่าวตำหนิมาถึงพระเนตรพระกรรณองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเกรงว่าจะเป็นบาปเป็นกรรมที่ไปตำหนิพระอรหันต์ผู้บริสุทธิ์ จึงได้ตรัสถึงบุรพกรรมว่า พระสารีบุตรนั้นเคยเกิดเป็นวานร คือลิง ต่อเนื่องกันมา ๕๐๐ ชาติ จริตนิสัยบางอย่างจึงติดมา โดยที่แก้ไขไม่ได้ เมื่อเจอสถานที่ซึ่งคนทั่ว ๆ ไป ก้าวข้ามตามปกติ ท่านก็ใช้วิธีกระโดดข้ามเอาตามความเคยชินสมัยนั้น เป็นต้น

    อีกท่านหนึ่งก็คือท่านปิลินทวัจฉเถระ ซึ่งเจอหน้าใครก็เรียกเขาว่า "ไอ้ถ่อย" ทำเอาญาติโยมหลายท่านโกรธเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เนื่องเพราะว่าการแต่งกายของพระภิกษุในพระพุทธศาสนานั้น ก็คือการโกนหัว นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ซึ่งความเชื่อถือของชาวชมพูทวีป หรือว่าอินเดียแต่โบราณนั้น บุคคลที่ไว้ผมสั้นหรือว่าโกนหัว ก็คือพวกกาลกิณี ในเมื่อเจอกาลกิณีบุคคลมาเรียกตัวเองว่า "ไอ้ถ่อย" หลายคนก็ทนไม่ได้ พูดง่าย ๆ ว่าไม่วางมวยใส่ตรงนั้นก็บุญโขแล้ว..!

    เมื่อไปฟ้องร้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์จึงได้ตรัสว่า พระปิลินทวัจฉเถระนั้นเกิดในตระกูลพราหมณ์มาตลอด ๕๐๐ ชาติ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงเห็นผู้อื่นต่ำกว่าตนเองทั้งหมด เนื่องเพราะว่าตระกูลพราหมณ์ในยุคนั้น ถือว่าเป็นตระกูลสูงพอ ๆ กับตระกูลกษัตริย์ ในเมื่อเคยชินกับการเรียกผู้อื่นว่า "ไอ้ถ่อย" จึงทำให้คนไม่พอใจ

    พระปิลินทวัจฉเถระเกรงว่าจะเป็นโทษแก่บุคคลที่ไม่พอใจนั้น เนื่องเพราะว่าเคยไปถามพ่อค้าดีปลี ซึ่งเข็นดีปลีมาทั้งเกวียน จะไปขายที่ตลาดว่า "เข็นอะไรมาหรือไอ้ถ่อย ?" ทำให้พ่อค้านั้นโกรธมาก ตอบว่า "ขี้หนูสิวะ..!"

    เมื่อไปถึงตลาด เปิดเสื่อลำแพนที่คลุมดีปลีออกมา ปรากฏว่ากลายเป็นขี้หนูไปทั้งเกวียน..! เพื่อนพ่อค้าจึงถามว่า "ในช่วงที่ท่านเข็นดีปลีมาตลอดทางนั้น มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?" พ่อค้าผู้นั้นจึงระลึกได้ว่าเจอสมณะรูปหนึ่ง เพื่อนพ่อค้าจึงบอกว่า "น่าจะเป็นบุคคลที่มีฤทธิ์ ให้ท่านรีบกลับไปขอขมา ดีปลีทั้งหลายจะได้ไม่ต้องกลายเป็นขี้หนูอย่างที่เห็นอยู่นี้"
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,837
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +26,414
    พ่อค้าผู้นั้นจึงรีบย้อนกลับไปทางเดิม และโชคดีเหลือเกินที่พระปิลินทวัจฉเถระยังไม่ได้ไปไกล เมื่อกล่าวขอขมาแล้ว ท่านจึงให้พรกลับไปว่า "ขอให้จงเป็นดีปลีตามเดิม" ขี้หนูทั้งเกวียนก็กลายเป็นดีปลี ซึ่งเป็นสินค้ามีราคา สามารถที่จะจำหน่ายได้ตามเดิม

    พระปิลินทวัจฉเถระสลดใจว่า เราอยู่ในสังคมแบบนี้ กลายเป็นทุกข์เป็นโทษแก่บุคคลอื่น จึงเข้าไปอยู่ในป่า และปรากฏว่าท่านกลายเป็นที่รักของเทวดาเป็นอย่างยิ่ง ได้รับการอุปถัมภ์อุปัฏฐากดูแลอย่างเต็มที่ จนกระทั่งองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งให้เป็นเอตทัคคะบุคคล คือ ผู้บุคคลที่เลิศในด้านเป็นที่รักของเทวดา

    เราท่านจะเห็นว่า ในเรื่องของสันดานนั้น กระผม/อาตมภาพก็คล้ายกับพี่ณพ ก็คือว่า ถ้ารู้สึกว่าไม่ดีก็ด่ากันตรงนั้นเลย..! ดังนั้น..ในเมื่อมาเจอการทำงานในปัจจุบันนี้ บางอย่างก็ยังสงสัยอยู่ เนื่องเพราะว่าหน่วยงานบางหน่วยงานนั้น อย่างเช่นว่าประมงอำเภอ ถ้าไม่ได้ไปปล่อยปลาแล้ว ก็คงไม่มีอะไรที่จะร่วมงานกันได้เลย เพราะขึ้นชื่อว่าประมง เราก็ต้องนึกถึงปลาสดทั้งตลาด..! เป็นต้น

    พระจะไปเข้าใกล้ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะโดนนินทาว่าร้ายหรือเปล่า ? แต่พอมีงาน ก็ต้องเชิญท่านทั้งหลายมาเพื่อเป็นเกียรติกับงาน เห็นแล้วบางทีก็รู้สึกขำ บางทีก็รู้สึกเหมือนอย่างกับว่า เราจะเชิญมาให้ท่านเดือดร้อน หรือว่าเชิญมาให้เราเดือดร้อนก็ไม่รู้ ?

    วันนี้ไม่มีอะไร จึงมาบ่นในเรื่องที่ไม่สมควรบ่นตามประสาคนแก่

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...