เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 19 กรกฎาคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ ช่วงนี้พวกเราก็วุ่นวายอยู่กับการเตรียมงานบวงสรวงไหว้ครูและเป่ายันต์เกราะเพชร ซึ่งต้องบอกว่าเหนื่อยกันทุกคน

    แต่มีบางอย่างที่อยากจะเตือนพวกเราเอาไว้ก็คือ อันดับแรก พวกท่านเป็นคณะกรรมการในการจัดงาน อะไรที่ปรึกษาหารือกันลงตัวดีแล้ว ถ้าเห็นว่าเหมาะสมให้จัดการไปตามนั้น เพราะว่าตัวกระผม/อาตมภาพเอง ต่อให้คิดรอบคอบขนาดไหนก็ตาม "หลายหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว" ก็แปลว่าเอามติคณะกรรมการเป็นหลัก ส่วนถ้าหากว่ามีอะไรที่พอเริ่มปฏิบัติแล้วติดขัด ค่อยแก้ไขไปตามหน้างาน

    อย่างเมื่อเช้านี้ที่กระผม/อาตมภาพถวายเครื่องบูชารอบวัด เพื่อบอกกล่าวท่านทั้งหลายเกี่ยวกับเรื่องของการจัดงาน ความจริงจุดสุดท้ายก็คือในศาลา ๑๐๐ ปี หลวงปู่สายแห่งนี้ แต่คราวนี้ฝนฟ้าก็ตก ถ้าหากว่ากระผม/อาตมภาพไปที่อื่นก่อนแล้วค่อยวนกลับมา ศาลาที่ปิดไปแล้วก็ต้องเปิดใหม่ ลำบากพวกท่านอีก จึงต้องปรับตามหน้างาน ก็คือถวายเครื่องบูชาในนี้ไปก่อน

    ดังนั้น..เรื่องของการปรับตามหน้างานจะต้องมีเป็นปกติ งานถึงจะยืดหยุ่น ไม่ตายตัว ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าเราไปยึดถือว่ามติเดิมเป็นอย่างนี้ จะทำให้งานไปได้ยาก บอกกล่าวในทีมงานพวกเราว่าจะแก้ไขอย่างไร ถึงจะสะดวกและดีขึ้น แล้วก็ปรับไปตามนั้น

    อีกประการหนึ่งก็คือถ้ามีงบประมาณอะไรที่ต้องใช้จ่าย ให้มาบอกกระผม/อาตมภาพ แล้วรับงบประมาณจากทางนี้ อย่าเที่ยวไปรบกวนคนอื่น ไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อยขนาดไหนก็ตาม การรบกวนคนอื่นให้ถวายโน่นให้ซื้อนี่ เป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจนแล้วว่า พระภิกษุสามเณรของเราควรทำตัวเหมือนกับแมลงผึ้ง นำเอาน้ำหวานและเกสรไป ก็ไม่ทำให้ดอกไม้นั้นชอกช้ำ แม้ว่าญาติโยมจะเต็มใจปวารณาอย่างไรก็ตาม อย่าพยายามรบกวนเขา ไม่ใช่พอรู้ว่าเรื่องนี้คนนี้ขอได้ คนนี้จัดการให้ได้ เราก็จัดแจงโทรติดต่อไปเลย ใครจะไปรู้ว่าบางช่วงเขาอาจจะติดขัดหรือเปล่า ? แต่ในเมื่อทางวัดขอไป เขาก็ต้องพยายามที่จะไขว่คว้าหามาถวายให้ เท่ากับว่าเราสร้างความลำบากให้คนอื่นเขาโดยใช่เหตุ ไม่ใช่ว่าวัดเราไม่มีงบประมาณ..มีเหลือเฟือ..!

    ดังนั้น..เรื่องการรบกวนคนอื่นเขา ขอให้เลิกโดยเด็ดขาด ขอแรงทำงานกันได้ แต่อย่าขอเป็นของและเงิน เพราะว่าจะเสียหายมากทีหลัง เมื่อพวกเราขอกันไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีบันยะบันยัง เดี๋ยวพระขอ เดี๋ยวแม่ชีขอ เดี๋ยวฆราวาสในวัดขอ ถ้าวัดเราขาดแคลนก็ว่าไปอย่างหนึ่ง นี่เงินจะท่วมวัดตาย..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    อีกเรื่องหนึ่งก็คืออย่าทำตัวเป็นผู้กระจายความเครียด การทำงานต้องมีปัญหาอยู่แล้ว ซึ่งเป็นการวัดกำลังในการปฏิบัติของตนเองที่ดีที่สุด กระทบกระทั่งอะไรกันในระหว่างทำงาน จะไม่พอหูไม่พอตาไม่พอใจ ก็กัดฟันเอาไว้ ถ้ากัดฟันไม่ได้ก็ให้กัดลิ้นไปด้วย..!

    ไม่ใช่ถึงเวลาก็ไป "วีนแตก" ใส่คนอื่น บางทีบางอย่างที่เราพูดไปคิดว่าไม่แรง แต่คนอื่นแบกรับมาหลายวันแล้ว ไอ้ที่เราว่าไม่แรง กลายเป็นฟางเส้นสุดท้าย วางลงไปแล้วอูฐก็หลังหัก อย่างที่ฝรั่งเขาว่าไว้ คือเกินขีดที่เขาจะรับได้แล้ว ดังนั้น..ในเรื่องของการทำงาน ทำอย่างไรที่จะประนีประนอมและให้งานไปได้สะดวกคล่องตัวที่สุด จึงเป็นเรื่องที่ควรทำ แต่ไม่ใช่ไปกระจายความเครียดใส่คนอื่น ถึงเวลาไม่ได้ดั่งใจ ก็ไปด่าไปว่า ไปพูดแรง ๆ ใส่เขา

    เรื่องพวกนี้ควรที่จะเว้น และใช้เป็นการวัดผลการปฏิบัติธรรมของเราเอง ว่าตัวเรามีความก้าวหน้าขึ้นหรือเปล่า ? รับงานใหญ่กว่าเดิมได้ไหม ? เครียดแค่ไหนก็แบกไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยไประเบิดใส่อากาศในห้อง ไม่ใช่ไประเบิดใส่หน้าคนอื่นเขา ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าถ้ากระผม/อาตมภาพมอบหมายงานให้ใคร ก็แปลว่ายกให้แบกภาระไปเลย ให้อำนาจเต็มที่ ยกเว้นว่าอะไรที่คิดว่าตัดสินใจแล้วไม่มีความมั่นใจว่าจะดีหรือเสีย สามารถที่จะสอบถามได้

    เรื่องพวกนี้จริง ๆ ก็คือ
    ต้องการให้ท่านทั้งหลายทำงานเป็น ตัดสินใจเป็น เพราะว่าสมัยที่กระผม/อาตมภาพอยู่วัดท่าซุงนั้น เจอมาแล้ว พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านตั้งกรรมการสงฆ์ ๑๒ รูป ให้อำนาจถึงขนาดว่า ถ้าจำนวนเกินครึ่งเห็นว่าท่านไม่สมควรอยู่วัด ท่านก็จะยอมรับในอำนาจนั้นแล้วก็จากไปแต่โดยดี..! แต่ปรากฏว่าไม่มีใครกล้าตัดสินใจ เรื่อง "ขี้หมูราขี้หมาแห้ง" อะไร ก็ต้องถึงมือหลวงพ่อท่านเสมอ

    จนกระทั่งกระผม/อาตมภาพไปรับหน้าที่ตรงหน้าตึก
    ตัดสินใจหลายต่อหลายเรื่องไปเองโดยพลการ แล้วรายงานท่านทีหลัง เพราะเห็นว่าสิ่งที่ตัดสินใจไปนั้นไม่เสียหาย และก่อให้เกิดผลดีแก่งานด้วย ปรากฏว่าหลวงพ่อท่านก็คงอยากได้คนแบบนี้เสียที ไม่ใช่งานอะไรก็ยกให้ท่านรับผิดชอบอยู่รูปเดียว เพราะฉะนั้น..ใน ๔ พรรษาสุดท้าย ท่านแทบจะเรียกใช้แต่กระผม/อาตมภาพอยู่คนเดียว ก็เพราะว่ากล้าตัดสินใจ กล้าแบกงาน

    หลังจากนั้น เมื่อกระผม/อาตมภาพออกจากวัดท่าซุงมา งานที่แบกเอาไว้ หลวงพ่อพระครูปลัดอนันต์ หรือว่าล่าสุดก็คือหลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ ต้องหาพระไปแทนกระผม/อาตมภาพคนเดียว ๕ รูปด้วยกัน..! คราวนี้ท่านทั้งหลายเห็นหรือยังว่ากระผม/อาตมภาพแบกงานเอาไว้ขนาดไหน ?
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    การกล้าแบกงาน กล้าตัดสินใจ จะทำให้ท่านทั้งหลายได้ประสบการณ์ แล้วส่วนที่สำคัญที่สุดก็คืออย่าโง่ มีพระ มีครูบาอาจารย์ มีพรหมเทวดารอช่วยเราอยู่เยอะแยะไปหมด มีอะไรให้รู้จักร้องขอท่านบ้าง ไอ้ที่ควรขอที่สุดนั้นอยู่ข้างบน ไม่ใช่ขอชาวบ้าน ต้องการความสะดวก ต้องการความคล่องตัวตรงไหน รู้จักจุดธูปบอกกล่าวกันบ้าง

    อย่าคิดว่ากระผม/อาตมภาพทำงานอะไรสะดวกคล่องตัวไปหมดด้วยกำลังตัวเอง ลำพังตัวเองก็คงจะตายไปนานแล้ว..โดนงานทับตาย..! กระผม/อาตมภาพก็ต้องพึ่งบารมีพระ พึ่งบารมีพรหมเทวดา พึ่งบารมีครูบาอาจารย์ ถ้าหากว่ามีที่พึ่งขนาดนั้นแล้วไม่รู้จักพึ่ง ก็ถือว่าหาปัญญาไม่ได้..!

    สมัยที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านป่วยหนัก ถึงขนาดพูดไม่เป็นคำ กระผม/อาตมภาพต้องจุดธูปบอกกล่าว ขอให้พรหมเทวดา พ่อแม่ครูบาอาจารย์ช่วยดลใจให้ฟังแล้วเข้าใจด้วยว่าหลวงพ่อท่านสั่งอะไร
    ต้องทำกันขนาดนั้น แล้วก็เป็นไปตามนั้น ก็คือมานั่งคิดพักเดียวก็ได้คำตอบว่าหลวงพ่อท่านต้องการอะไร

    มีช่วงหนึ่ง ถึงขนาดเจ้าคุณหลวงตาวัชรชัย มานั่งเหงื่อตกกระสับกระส่ายอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง เพราะหลวงพ่อท่านบอกว่า "คุณไปตามวัชรชัยมาให้ผมที" เจ้าคุณหลวงตาก็ถามแล้วถามอีก "เล็ก..พ่อมีอะไรวะ ?" กระผม/อาตมภาพก็บอกว่า "ไม่รู้ครับ ท่านสั่งให้ตาม ผมก็ตาม"

    พอพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านออกมา เห็นหน้าปุ๊บ ท่านถามว่า "ไอ้นี่มาทำอะไรวะ ?" กระผม/อาตมภาพเฉลียวใจ พนมมือกราบเรียนถามว่า "หลวงพ่อต้องการหลวงพี่ธวัชชัยใช่ไหมครับ ?" ท่านบอกว่า "ใช่..ไอ้นั่นแหละ" แต่คราวนี้ลิ้นท่านไม่ไปตามใจ จากธวัชชัยเป็นวัชรชัย เจ้าคุณหลวงตาเกือบซวย นั่งเครียดไปครึ่งชั่วโมง..!

    ดังนั้น..เรื่องพวกนี้ เราต้องรู้จักด้วยว่า พรหมเทวดาทั้งหลายท่านก็ต้องการบุญ ต้องการกุศล เราหมั่นสร้างความดีใน ศีล สมาธิ ปัญญา อุทิศให้ท่านประจำ ๆ ถึงเวลาก็ "อิทัง ปุญญะผะลังฯ" ให้ไปเยอะแล้วรู้จักขอท่านคืนบ้าง นี่
    กระผม/อาตมภาพจะสอนให้ตัวเองโดนเหยียบอีกหรือเปล่า !?

    สำหรับวันนี้มีนักเลงดี ส่งหนังสือมา บอกว่าเป็นองค์กรผู้รักแผ่นดิน ให้กระผม/อาตมภาพสร้างโรงเรียน แล้วคัดตัวเฉพาะเด็กที่มีศีล มีธรรม รู้จักปฏิบัติสมาธิ มาเรียนเหมือนอย่างกับทางโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา แต่เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ เพราะลงแค่ขอแสดงความนับถือ ชื่อเสียงเรียงความก็ไม่มี เป็นคำแนะนำที่ดีมาก แต่เงินสักบาทไม่ให้มา แล้วกูจะทำอะไรได้วะ..?!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    แล้วทุกวันนี้ กระผม/อาตมภาพทั้งส่งพระทั้งส่งโยมเรียน จนกระทั่งหมดไปปีหนึ่งหลายสิบล้าน มึงรู้บ้างหรือเปล่า ? ไม่ใช่ว่ามีอะไรกูก็แนะนำไปเรื่อยเปื่อย คิดว่าโก้เก๋เสียเต็มประดา ว่าเรื่องนี้กูคิดได้ แต่อาจารย์เล็กคิดไม่ออก อยากจะบอกว่า อย่าเอาความสามารถของควายมาวัดกับคน ถ้าเรื่องที่กระผม/อาตมภาพคิดไม่ออก มึงก็คิดไม่ออกหรอก..! แต่ที่ว่ามานั้นใช่หน้าที่ไหม ? เรื่องแบบนี้ควรจะเป็นหน่วยงานราชการ โดยเฉพาะหน่วยงานหลักอย่างกระทรวงศึกษาธิการไม่ใช่หรือ ? เรามีหน้าที่แค่เข้าไปเป็นส่วนเสริมในจุดที่สมควรเท่านั้น

    อย่างทุกวันนี้ ทางวัดท่าขนุนก็สนับสนุนเด็กดีเด็กเก่งมาโดยตลอด วันนี้เขาก็ส่งข่าวมาว่า ทางโรงเรียนบ้านอูล่อง โรงเรียนเทศบาลทองผาภูมิ โรงเรียนทองผาภูมิวิทยา มีเด็กนักเรียน ๔ คน ทั้งระดับประถมและมัธยม ได้รับรางวัลวัฒนธรรมวินิต ซึ่งเด็กพวกนี้จะมารับรางวัลพิเศษจากวัดท่าขนุนต่อไป

    นี่คือสิ่งที่เราส่งเสริมเป็นปกติอยู่แล้ว ส่งเสริมจนกระทั่งเด็กของเรามีศีลมีธรรมเกินไปแล้ว ถามว่าทำไมมีศีลมีธรรมเกินไป ? ก็เพราะเวลาให้สอบชิงทุนการศึกษา ซึ่งวัดท่าขนุนมีให้ทุกปี สายวิทย์ ๑ ทุน สายศิลป์ ๑ ทุน เด็กก็แห่กันไปชิงทุนสายวิทย์ ๓๐ - ๔๐ คน มาชิงสายศิลป์แค่ ๗ - ๘ คน นี่คือความมีศีลธรรมของเด็ก มีมากจนโง่ไปเลย ถ้า
    กระผม/อาตมภาพเป็นเด็กสายวิทย์ เห็นว่ามีคนเก่งกว่ามาชิงแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ลงไปสมัครชิงทุนสายศิลป์ ลงไปตบเด็กไม่ง่ายกว่าหรือ ถึงเวลาได้เงินมา จะไปเรียนสายไหนก็เรื่องของมึงสิครับ..!

    คราวนี้เห็นหรือยังว่าการที่เราอบรมไป ส่งครูพระไปสอนในโรงเรียน เราสอนเด็กจนดีเกินไปแล้ว ออกนอกลู่นอกทางไม่เป็นเลย แต่ก็ต้องขอชมเชยว่าทั้งครูบาอาจารย์ทั้งเด็ก ทำได้ดีมาก แต่ว่าดีจนเกินไป ถ้าอยู่ในลักษณะนี้ ถึงเวลาคนอื่นเขาเปลี่ยนประเทศไทย คุณจะเปลี่ยนตามไม่ทัน..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๑๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...