เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 18 ธันวาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,412
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,412
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพกำลังจะเดินทางไปยังจังหวัดสกลนคร เพื่อทำพิธีบวงสรวงขออนุญาตบูรณะพระบรมธาตุเชิงชุม จังหวัดสกลนคร ให้กับหลวงพ่อนิล (พระครูวินัยธรธวัชชัย ชาครธมฺโม) ประธานที่พักสงฆ์อาศรมศรีชัยรัตนโคตร จังหวัดสกลนคร ซึ่งท่านอาสาเป็นประธานในการบูรณะส่วนยอดของพระบรมธาตุเชิงชุมในครั้งนี้ โดยที่กระผม/อาตมภาพได้รับการถวายตั๋วเครื่องบิน ๒ ที่นั่งจากโยมแอ๊ว (นางพิชญ์สินี ชาญปรีชญา) ไม่เช่นนั้นแล้วก็คงจะเอารถของวัดไปเอง

    หลายท่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมกระผม/อาตมภาพถึงได้ชอบเอารถวัดเดินทางไกล ๆ ? ซึ่งนอกจากจะทำให้ตนเองเหนื่อยแล้ว ยังเสี่ยงกับอุบัติเหตุต่าง ๆ ตลอดเส้นทางอีกด้วย ก็อยากจะเรียนถวายพระภิกษุสามเณรทุกท่าน ตลอดจนกระทั่งบอกกล่าวให้ญาติโยมทั้งหลายได้ทราบว่า

    การเดินทางโดยเครื่องบินนั้น ถ้าหากว่าในสายตาชาวบ้านทั่วไปแล้ว จะมองว่าเป็นเรื่องของพระภิกษุสามเณรที่มีฐานะร่ำรวย พูดง่าย ๆ ก็คืออยู่ในระดับ "ไฮโซ" โดยที่ไม่ได้นึกว่าพระสังฆาธิการระดับต่าง ๆ ตลอดจนกระทั่งพระภิกษุสามเณรนั้น มีส่วนลดในการโดยสารพาหนะต่าง ๆ ตลอดจนกระทั่งหลายตำแหน่งก็ได้ตั๋วพาหนะต่าง ๆ ฟรี ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ รถไฟ หรือว่าเครื่องบิน แต่ถ้าหากว่าไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่ระบุเอาไว้แล้ว ก็ต้องจ่ายกันในราคาที่ค่อนข้างจะสูง

    กระผม/อาตมภาพเองนั้น พยายามที่จะไม่ให้คนมองไปในภาพของพระภิกษุสามเณรผู้มีฐานะร่ำรวย เนื่องเพราะสำนึกอยู่เสมอว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางตัวพวกเราเอาไว้ในลักษณะของขอทาน ก็คือปัจจัย ๔ ในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยจากญาติโยมทั้งสิ้น ถ้าหากว่าญาติโยมไม่มีความเมตตาแล้ว เราเองก็ไม่สามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งการที่ญาติโยมจะเมตตาเรา ก็แปลว่าเราต้องอยู่ในฐานะที่ต่ำต้อย ไม่ใช่อยู่ในฐานะที่ร่ำรวย สูงส่งกว่าญาติโยมทั้งหลาย

    แม้กระทั่งในการเดินทางในกรุงเทพฯ กระผม/อาตมภาพก็มักจะไปโดยรถแท็กซี่เสมอ ยกเว้นว่าทางเจ้าภาพนำรถส่วนตัวมารับ พรรคพวกเพื่อนฝูงก็เคยถามว่า "ทำไมไม่เอารถวัดมา ?" กระผม/อาตมภาพบอกว่า การใช้รถวัดเดินทางในกรุงเทพฯนั้น มีความยากลำบากหลายประการ
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,412
    ประการที่ ๑ ก็คือ หาที่จอดรถได้ยากมาก โดยเฉพาะไปงานตามวัดวาอารามต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเมื่อเข้าไป บางทีก็ออกไม่ได้ จนกว่าบรรดาท่านที่ไปทีหลังจะออกมาก่อน

    ประการที่ ๒ เราต้องคอยห่วงใยคนขับอีก ๑ คนว่าจะกินจะอยู่อย่างไร เนื่องเพราะว่าเคยมีตัวอย่างมาแล้ว ในสมัยที่ยังเรียนหนังสืออยู่ ปรากฏว่าเจอคนขับรถของเพื่อนฝูงตีหน้าแปลก ๆ ในตอน ๕ โมงกว่า เกือบ ๖ โมงเย็น พอถามว่า "เป็นอะไรไป ?" เขาบอกว่า "หิวข้าวครับ" ทำเอากระผม/อาตมภาพถึงขนาดลืมตัวไป อุทานออกมาว่า "ตายห่...ตูบวชนานเกินไป ลืมนึกไปว่าคนอื่นเขาต้องกินข้าวเย็นกัน..!" ในเมื่อต้องรับผิดชอบอีกชีวิตหนึ่ง จึงกลายเป็นภาระโดยใช่เหตุ

    ประการต่อไปก็คือการเดินทางทุกอย่างมีความเสี่ยงเสมอ ถ้าหากว่ามีการเฉี่ยวการชนกัน ต่อให้ท่านมีประกัน ก็ต้องเสียเวลาไปนานกว่าที่เรื่องจะจบลง กว่าที่เราจะเอารถมาใช้งานได้อีก ไม่เหมือนกับใช้รถขนส่งสาธารณะ ที่เราลงแล้วก็จบกันไปเลย ทำเอาพรรคพวกเพื่อนฝูงถึงขนาดบ่นว่า "คิดอย่างนี้ก็มีด้วย"

    อีกประการหนึ่งก็คือการที่เราเดินทางในลักษณะแบบนี้นั้นมีความเป็นส่วนตัวค่อนข้างสูง ถ้าหากว่านำรถของทางวัดไป ถึงเวลาเราจะแวะที่ไหนก็สะดวกสบายด้วยประการทั้งปวง แม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยในการเดินทางอยู่สักหน่อย แต่ก็เป็นความเหน็ดเหนื่อยของคนขับรถมากกว่า กระผม/อาตมภาพขึ้นรถได้ก็แผ่เมตตาภาวนาไปเรื่อยเปื่อย บางทีไม่มีอะไรก็กราบเรียนถามเรื่องนั้นเรื่องนี้กับครูบาอาจารย์ หรือท่านที่มาสงเคราะห์ ทำให้ไม่รู้สึกว่าหนทางนั้นไกล

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น การที่เดินทางด้วยเครื่องบิน บางทีกระผม/อาตมภาพก็ไม่ได้ชอบใจ แต่เมื่อเป็นความประสงค์ของทางเจ้าภาพ ก็จำเป็นที่จะต้องไปเพราะว่าเขาถวายตั๋วมาให้ ไม่ใช่เราไปซื้อหาด้วยตนเอง นี่ก็เป็นเหตุผลเดียวกับการที่กระผม/อาตมภาพจะไม่เดินทางไปต่างประเทศอย่างเด็ดขาด ถ้าไม่มีเจ้าภาพออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางทั้งหมดให้

    เนื่องเพราะว่าการเดินทางไปต่างประเทศนั้น บางคนก็ถือว่าเป็นเรื่องโก้ ถึงเวลาก็เอามาคุยทับเพื่อนฝูงว่าไปประเทศนั้นมาแล้ว ไปประเทศนี้มาแล้ว มีบางท่านถึงขนาดจำพรรษาปีละ ๑ ประเทศก็มี ถ้าท่านต้องการจะสร้างเกียรติประวัติแบบนั้นโดยที่เอาเงินสงฆ์ไปใช้ กระผม/อาตมภาพก็ไม่เห็นด้วย เนื่องเพราะว่าเงินสงฆ์ก็ควรที่จะใช้ในกิจการงานของคณะสงฆ์ ไม่ใช่ถึงเวลารับกฐินเสร็จ ก็เดินทางไปเที่ยวต่างประเทศกัน บางท่านหนักข้อไปยิ่งกว่านั้น รับกฐินเสร็จก็ออกรถป้ายแดงคันใหม่ ทั้ง ๆ ที่คันเก่า อายุใช้งานก็เพิ่งจะปีเดียวเท่านั้น..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,412
    โดยที่บางครั้งถ้าเป็นผู้ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกัน ก็โดนกระผม/อาตมภาพด่าเอาสาดเสียเทเสียไปเหมือนกัน..! เพราะว่าถ้าไม่ด่ากันเองในลักษณะอย่างนั้น ครูบาอาจารย์ของท่านก็คงไม่กล้าบอกกล่าวตักเตือน ขณะเดียวกันคนอื่น ๆ ก็ไม่กล้าบอกกล่าว ดีไม่ดีก็อาจจะเห็นด้วย เห็นว่าเป็นบุคคลที่ร่ำรวย มีเงินมีทองออกรถป้ายแดงใหม่ได้อย่างสม่ำเสมอ..!

    กระผม/อาตมภาพย้ำอยู่เสมอว่า "ถ้าจะทำในลักษณะนั้นโดยสันดาน ก็คือจะเอาไว้อวดคนอื่นเขา ก็ให้รอหลังกฐินไปแล้วสัก ๖ เดือน ๘ เดือน หรือปีหนึ่ง แล้วค่อยออกรถใหม่จะได้หรือไม่ ไม่ใช่รับกฐินมาปุ๊บก็ออกรถป้ายแดงปั๊บ ใคร ๆ ก็รู้ว่าเอาเงินทำบุญไปออกรถเพื่อความโก้เก๋ของตนเอง ภาพพจน์ของคณะสงฆ์ก็พังบรรลัยหมด..!"

    บางท่านก็พกโทรศัพท์ทีหนึ่ง ๔ เครื่อง ๕ เครื่อง..! เครื่องนี้สำหรับงานคณะสงฆ์ เครื่องนี้สำหรับพรรคพวกเพื่อนฝูง เครื่องนี้สำหรับญาติโยมที่สนิทสนมกันโดยเฉพาะ แถมยังมีเครื่องลับสำหรับเอาไว้เรื่องที่ไม่สมควรบอกกล่าวกับผู้คนอีกด้วย..! พอโทรศัพท์รุ่นใหม่ออกก็เปลี่ยนทันที ทั้ง ๆ ที่กระผม/อาตมภาพไม่เห็นว่ามีความจำเป็นอะไรเลย

    แม้กระทั่งตนเองที่ใช้โทรศัพท์มือถือ ญาติโยมก็ยัดเยียดมาให้ จำได้ว่าเครื่องแรกใช้ไป ๘ ปี จนกระทั่งผู้คนทนดูไม่ไหว จึงเปลี่ยนเครื่องใหม่ให้ ปัจจุบันนี้ก็มีพี่วิไล (นางสาวจีรภา ภูมิธเนศ) ซึ่งเป็นพี่สาวที่เคารพนับถือกันมาตั้งแต่สมัยก่อนบวช พี่เขาคงจะสงสารว่าพระน้องชายใช้โทรศัพท์อะไรเก่า ๆ เพราะฉะนั้น..อย่าได้เจอหน้า เจอหน้าเมื่อไรพี่เขาก็จะเปลี่ยนเครื่องใหม่ให้ทันที จึงต้องใช้วิธีหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่ให้พี่เขาเห็นว่าตนเองใช้โทรศัพท์อะไรอยู่..!?

    เรื่องพวกนี้บางทีลูกศิษย์ก็ถามว่า "พระอาจารย์สร้างภาพหรือเปล่าครับ ?" กระผม/อาตมภาพถามคืนไปว่า "ถ้าหากว่าพระภิกษุสงฆ์ในประเทศไทยของเราช่วยกันสร้างภาพแบบนี้ คุณคิดว่าพระพุทธศาสนาของเราจะเจริญขึ้นหรือไม่ ?" เนื่องเพราะว่าพวกเราส่วนใหญ่แล้วลืมคิดไปว่า การสร้างภาพนั้นเป็นการแสดงออกให้คนอื่นเห็น ถ้าในลักษณะนี้ก็จะมีการ "หลุด" อยู่เสมอ หรือไม่ก็ทำไม่ทน ทำไม่นาน พอถึงเวลาต่อหน้าอย่างหนึ่ง ลับหลังอย่างหนึ่ง ท้ายที่สุดก็โดน "จับโป๊ะ" ได้อย่างภาษาวัยรุ่นสมัยนี้..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,412
    ในเรื่องพวกนี้นั้นก็ขึ้นอยู่กับเหตุ ๒ ประการด้วยกัน ประการแรกก็คือ พระอุปัชฌาย์อาจารย์ของท่านเข้มงวดกวดขันหรือไม่ ? ถ้าพระอุปัชฌาย์อาจารย์ท่านเข้มงวดกวดขัน เป็นตัวอย่างที่ดี ให้การสั่งสอนอบรมอย่าง "หัวไม่ว่างหางไม่เว้น" ต่อให้ท่านเองอยากจะชั่วขนาดไหนก็ต้องเกรงใจครูบาอาจารย์บ้าง..!

    ประการที่ ๒ ก็คือ ท่านทั้งหลายมีจิตสำนึกในความเป็นนักบวชอยู่สักเท่าไร ? ถ้าเรามีสมณสัญญา สำนึกได้อยู่เสมอว่าเราเป็นนักบวช อยู่ในฐานะของบุคคลที่พระพุทธเจ้าตั้งไว้ในตำแหน่งของขอทาน ถ้าเราทำตัวร่ำรวย คนไม่สงสาร ไม่ช่วยเหลือสงเคราะห์ ไม่เพียงแต่เราที่จะเดือดร้อน หากแต่ว่าเพื่อนพระภิกษุสงฆ์สามเณรทั่วทั้งสังฆมณฑลก็จะเดือดร้อนไปด้วย..!

    ถ้าเรารู้จักรักษาสมณสัญญา - สมณสารูป ตลอดจนกระทั่งรักศีลของตนเอง มีความละอายชั่วกลัวบาป ปฏิบัติตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์อย่างเคร่งครัด ถ้าลักษณะอย่างนี้ก็ย่อมยังความเลื่อมใสให้กับญาติโยมทั้งหลายเป็นจำนวนมาก ซึ่งเขาทั้งหลายเหล่านั้นนั่นแหละ จะช่วยกันค้ำจุนพระพุทธศาสนาของเราให้ยั่งยืนไปจนครบ ๕,๐๐๐ ปี

    จึงเป็นเรื่องที่กระผม/อาตมภาพคิดว่าแม้ว่าไม่สมควรที่จะมาพูดก็ต้องมาพูด ไม่สมควรที่จะต้องมาบอกกล่าวก็ต้องมาบอกกล่าว เผื่อว่าพระภิกษุสามเณรของเราท่านใด ฟังแล้วเห็นดีเห็นงามด้วยแล้วไปปฏิบัติตาม ก็ชื่อว่าจะทำให้เป็นส่วนหนึ่งในการค้ำจุนพระพุทธศาสนาของเราให้ยั่งยืนสืบไป

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๑๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...