เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 15 พฤศจิกายน 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,863
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,573
    ค่าพลัง:
    +26,418
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,863
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,573
    ค่าพลัง:
    +26,418
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ ก่อนที่ท่านทั้งหลายจะทำวัตรรอบแรกเสร็จ กระผม/อาตมภาพก็สั่งโอนเงินไปเกือบ ๒๐ ล้านบาท เพราะว่าทางพิพิธภัณฑ์ขอเบิกมา ๒ งวด แล้วก็มีทางโรงหล่อปฏิมากรรม ทั้งรูปพระโพธิสัตว์ รูปพระพุทธเจ้า ก็ขอเบิกมาอีก

    คราวนี้ในส่วนของเรื่องเงิน กระผม/อาตมภาพไม่ได้มีความหนักใจอะไร เนื่องเพราะว่าทำพระคาถาเงินล้าน "ขึ้น" มาเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว มีความมั่นใจเลยว่า ถ้าต้องการใช้เงินเท่าไรก็จะมี ในส่วนของความมั่นใจตรงนี้ต้องเกิดจากประสบการณ์ที่เราได้พบบ่อย ๆ แล้วความเชื่อมั่นก็จะเพิ่มขึ้นไปตามระยะเวลาและประสบการณ์ที่มีขึ้น

    ดังนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมเบื้องต้น ก็คือเรื่องของเวทมนตร์คาถาต่าง ๆ นั้น ความจริงแล้วเป็นพื้นฐานของอภิญญา ถ้าหากว่าใครสามารถใช้เวทมนตร์คาถาได้ดี เมื่อถึงเวลาที่เราจะฝึกฝนอภิญญาสมาบัติ ก็จะมีพื้นฐานที่ดี ทำให้ฝึกได้ง่าย ประสบความสำเร็จได้เร็ว

    วันก่อนที่ไปร่วมพิธีพุทธาภิเษกที่วัดป่าวังน้ำเย็น มีพระท่านมาถามว่า "อยากจะทรงฌานต้องทำอย่างไร ?" ซึ่ง
    กระผม/อาตมภาพต้องตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า "ฝึกภาวนาบ่อย ๆ แล้วพยายามรักษาอารมณ์ภาวนานั้นไว้ให้ได้"

    โบราณาจารย์เขาก็เลยสอนพวกเราฝึกในรูปแบบต่าง ๆ กันไป อย่างเช่นว่า ภาวนาคาถาอาคมต่าง ๆ บ้าง นับลูกประคำบ้าง ลบผงวิเศษเพื่อเอาไว้ใช้งานบ้าง เขียนยันต์บ้าง เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ต้องการพื้นฐานของสมาธิทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นแล้วก็ไม่สามารถที่จะทำให้สำเร็จดังใจได้ เมื่อสามารถทำได้แล้ว ครูบาอาจารย์ที่ท่านมีความฉลาด ก็จะปรับพื้นฐานเหล่านี้เข้ามาหากรรมฐาน ๔๐ หรือว่ามหาสติปัฏฐานสูตร ก็จะกลายเป็นการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาไปเอง

    เพียงแต่ว่ามีบุคคลส่วนหนึ่ง จะเรียกว่ามองโลกในด้านเดียวก็ได้ หรือจะเรียกว่าโง่ก็พูดได้เต็มปากเต็มคำ ก็คือมักจะไปตำหนิเรื่องของไสยเวทย์อาคมต่าง ๆ ว่าเป็นเดรัจฉานวิชา ขวางการประพฤติปฏิบัติธรรม ต้องบอกว่าถ้าคนทำไม่เป็นก็เป็นเช่นนั้น แต่ถ้าหากว่าคนทำเป็น ครูบาอาจารย์ทั้งหลายเหล่านั้นหลุดพ้นเข้าพระนิพพานไปนับไม่ถ้วนแล้ว
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,863
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,573
    ค่าพลัง:
    +26,418
    ในส่วนที่กระผม/อาตมภาพเคยกังวลก็คือว่า เรื่องของการใช้เวทมนตร์คาถานั้น จำเป็นที่จะต้องหน่วงจิต ยึดเกาะสมาธิ หรือว่ายึดเกาะนิมิต จนกระทั่งมีความชำนาญ นึกเมื่อไร สมาธิก็ทรงตัว หรือว่านึกเมื่อไร ก็สามารถที่จะเกาะนิมิตได้ทันที

    แต่ว่าสิ่งทั้งหลายที่ว่ามานี้ก็คือการทำให้เรายึดติด ถ้าต้องการความหลุดพ้นจริง ๆ จะเป็นตัวที่คอยขัดขวาง เนื่องเพราะว่าการชำนาญของเราทำให้เกาะนิมิต หรือว่าเกาะสมาธิแบบไม่ปล่อย ทำอย่างไรที่เราจะซักซ้อมการเข้าออกสมาธิจนมีความคล่องตัว นึกจะเข้าในระดับไหนก็ได้ นึกจะออกเมื่อไรก็ได้ และที่แน่ ๆ พร้อมที่จะปล่อยวางได้ทุกเวลา..!?

    คราวนี้การที่พระท่านถามว่า "ทำอย่างไรจะทรงฌานได้ ?" จึงเป็นแค่ปัญหาเบื้องต้นเท่านั้น และคาดว่าผู้ถามไม่ได้ลงมือทำเลย เพราะว่าถ้าลงมือทำอย่างจริง ๆ จัง คำตอบแทบทุกอย่างในการปฏิบัติธรรมอยู่ที่สมาธิแทบทั้งนั้น เนื่องเพราะว่าถ้าสมาธิทรงตัวก็จะรักษาศีลทุกสิกขาบทได้บริสุทธิ์บริบูรณ์ เนื่องจากว่าสมาธิทรงตัว สติก็ตั้งมั่น ไม่พลั้งเผลอไปละเมิดศีล ทำให้มีกำลังในการหักห้ามใจตนเองไม่ให้ละเมิดศีล

    ขณะเดียวกันเมื่อสมาธิทรงตัว สภาพจิตก็จะสงบระงับ ทำให้ปัญญาเกิดขึ้นได้ง่าย ก็จะทำให้เราสามารถใช้ปัญญาพินิจพิจารณา จนกระทั่งรู้แจ้งเห็นจริง ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่มีอะไรควรแก่การยึดมั่นถือมั่น เพราะว่าประกอบไปด้วยความไม่เที่ยง เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด

    ถ้าเราไปยึดถือมั่นหมาย เราก็จะเป็นทุกข์ เพราะว่าไม่มีอะไรเป็นตัวตนเราเขาให้ยึดถือมั่นหมายได้ ถ้าสามารถปลดใจจากการยึดเกาะได้มากเท่าไร เราก็สามารถเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าได้มาเท่านั้น ต่อให้ไม่สามารถหลุดพ้นได้ในชาตินี้ ก็ยังเป็นพื้นฐานให้ชาติต่อ ๆ ไป เราสามารถเข้าถึงมรรคถึงผลได้ง่ายกว่าผู้อื่น

    หรือว่าบางท่านเป็นพระอริยเจ้า อย่างเช่นพระโสดาบัน หรือว่าพระสกทาคามี เกิดชาติต่อไปก็ทรงความเป็นพระอริยเจ้าอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าหลายท่าน ถ้ามาในสายสุกขวิปัสสโก เป็นผู้เข้าถึงมรรคถึงผลโดยที่ไม่มีความรู้พิเศษอย่างอื่น บางทีต่อให้เป็นพระโสดาบัน ก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็นพระโสดาบัน แต่ถ้ามีผู้รู้มาบอกกล่าวว่า พระโสดาบันมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็จะเห็นว่าตนเองทำได้แล้วทั้งสิ้น เพียงแต่ไม่ได้ทึกทักว่าตนเองเป็นพระโสดาบัน
    เนื่องเพราะว่าพระอริยเจ้าทั้งหลายจะทรงความไม่ประมาทเป็นปกติ ต่อให้รู้ว่าตนเองเป็นเพราะคุณสมบัติเหล่านี้ ก็ยังคงรักษาคุณสมบัติเหล่านั้นต่อไป แล้วพยายามทำให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,863
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,573
    ค่าพลัง:
    +26,418
    ตัวอย่างของพระโสดาบันนั้น ในชีวิตของกระผม/อาตมภาพเจอมามาก ไม่ว่าจะเป็นในพระไตรปิฎก หรือว่าประสบพบเห็นชนิดที่ภาษาวัยรุ่นเรียกว่า "ตัวเป็น ๆ" แต่สำหรับพระสกทาคามีแล้วยังไม่เคยเจอ "ตัวเป็น ๆ" ถ้าเป็นในพระไตรปิฎกน่าจะมีอยู่แค่คู่เดียวเท่านั้น ที่ทรงความเป็นพระสกทาคามีได้ชัดเจนที่สุด ก็คือคู่ของปิบผลิมาณพและนางภัททกาปิลานี ซึ่งภายหลังก็คือพระมหากัสสปเถระกับภัททกาปิลานีภิกษุณี

    เนื่องเพราะว่าต่างคนต่างไม่ปรารถนาการครองเรือน แปลว่ากำลังใจใกล้ความเป็นพระอนาคามี ซึ่งจะมีก็แค่พระสกทาคามีเท่านั้น แต่ว่าโดนพ่อแม่บังคับให้แต่งงาน เมื่อถึงเวลาอยู่ร่วมหอกัน ก็เอาพวงมาลัยคั่นกลางไว้ โดยที่เป็นสัญญาณบอกกันว่า ถ้าพวงมาลัยด้านไหนเหี่ยวเฉาก่อน แสดงว่าบุคคลผู้นั้นเกิดไฟราคะขึ้นมา เป็นอย่างนั้นอยู่หลายปี

    เราจะได้เห็นชัดว่าคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่ในตำราระบุไว้ของพระสกทาคามีก็คือ สามารถทำให้ราคะและโทสะเบาบางลง ถ้าไม่ได้กำลังใจระดับนั้น ย่อมไม่สามารถที่จะหักห้ามใจได้ เพราะว่าผู้หญิงกับผู้ชายเป็นเครื่องดึงดูดกันเองโดยอัตโนมัติ ต่อให้อยู่คนละประเทศ คนละจังหวัด ก็ยังตะเกียกตะกายไปหากัน อย่าว่าแต่อยู่ในห้องเดียวกันแบบนั้นเลย..!

    เมื่อถึงเวลาพ่อแม่ตายแล้ว ทั้งสองคนก็แจกจ่ายทรัพย์สมบัติให้กับผู้อื่น แล้วถือเพศเป็นนักบวช เป็นการบวชเอง โดยใช้คำว่า บวชอุทิศพระอรหันต์ในโลก แปลว่ามีพระอรหันต์อยู่ที่ไหนก็ตาม ทั้งสองคนตั้งใจบวชเพื่อพระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้น
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,863
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,573
    ค่าพลัง:
    +26,418
    เมื่อถึงเวลาก็เดินทางออกจากบ้านเกิดซึ่งตอนนี้ยกให้คนอื่นไปหมดแล้ว พอไปถึงทางแยก ต่างคนต่างก็มีความเห็นเหมือนกัน ว่าผู้หญิงกับผู้ชายต่างถือเพศนักบวช ถ้าเดินไปด้วยกัน จะเป็นเรื่องไม่งามให้คนอื่นตำหนิได้

    นางภัททกาปิลานีจึงขอแยกไปทางซ้าย ไปพบสำนักภิกษุณี ได้ศึกษาธรรมจนเป็นพระอรหันต์ พระมหากัสสปะแยกไปทางขวา ไปถึงพหุปุตตนิโครธกึ่งกลางระหว่างราชคฤห์กับนาลันทา พบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เสด็จมารับ ประทานโอวาทให้สามข้อ ปฏิบัติตามกลายเป็นพระอรหันต์ ทางประเทศจีนเขายกย่องให้เป็นพระสังฆปรินายกองค์แรกของโลก เพราะว่าเป็นประธานในการสังคายนาพระธรรมวินัย

    ดังนั้น..ในเรื่องของพระสกทาคามีตัวเป็น ๆ กระผม/อาตมภาพยังไม่เคยเจอ เจอแต่มากกว่านั้น..! แต่ว่าถ้าในพระไตรปิฎก มีกล่าวถึงค่อนข้างมาก บางทีก็กล่าวรวม ๆ กัน แต่ว่าที่ชัดเจนที่สุดก็คือคู่ของปิบผลิมาณพกับนางภัททกาปิลานี จึงเป็นเรื่องที่เราทั้งหลายควรที่จะเอาไว้เป็นต้นแบบ ในการประพฤติปฏิบัติของเรา ถือว่าเป็นเป้าหมายในเบื้องต้นที่เราต้องเข้าถึงให้ได้

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๑๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...