เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 2 พฤษภาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,836
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +26,414
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,836
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +26,414
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพเดินทางไปยังวัดลานคา หมู่ที่ ๓ ตำบลโคกคราม อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อทำการบวงสรวงบูชาพระรัตนตรัย และปลุกเสกวัตถุมงคล ให้กับพระมหาอาธร สุชาโต ป.ธ.๙ รองเจ้าคณะอำเภอบางปลาม้า เจ้าอาวาสวัดลานคา เพื่อนร่วมรุ่นพระอุปัชฌาย์ด้วยกัน

    เมื่อไปถึงได้ทำการบวงสรวงแล้ว ครั้นนั่งลงอธิษฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคล รู้สึกว่ากระแสที่ครอบคลุมลงมานั้น ช่างสว่างไสว อบอุ่นสบายเหลือเกิน ถ้าหากว่าอยู่ในอารมณ์แบบนี้ ต่อให้นั่ง ๓ วัน ๓ คืนก็ไม่เป็นอะไร..! เนื่องเพราะว่าสภาพจิตนั้นจะทรงอยู่กับกำลังที่พระท่านส่งลงมา ซึ่งนาน ๆ ทีจะมาในลักษณะแบบนี้ เพราะว่ารู้สึกเบาสบายไปหมด ไม่เหมือนกับครั้งก่อน ๆ ที่มีอาการหนักบ้าง สว่างเจิดจ้าจนแทบลืมตาไม่ขึ้นบ้าง ซึ่งลักษณะอย่างนั้น จะเน้นหนักไปในทางคุ้มครอง

    ถ้าในลักษณะแบบที่ได้ปลุกเสกวัตถุมงคลให้กับทางวัดลานคานี้ ถ้าเป็นกระผม/อาตมภาพ จะนำเอาวัตถุมงคลรุ่นนี้ติดตัวไว้ในระหว่างที่ภาวนา เพื่อว่าจะสามารถช่วยให้ทรงอารมณ์ใจนิ่งสงบ เข้าสู่ความเป็นสมาธิได้เร็วอย่างแน่นอน

    เมื่อพระท่านบอกว่าเต็มแล้ว ลืมตาขึ้นมา ปรากฏว่าเทียนน้ำมนต์หมดพอดี ไม่สามารถที่จะหยดเทียนได้ เพราะว่าดับไปเลย จึงได้ทำการพรมน้ำมนต์ให้กับวัตถุมงคลรอบมณฑลพิธีนั้น เมื่อโปรยดอกไม้ ถวายเป็นพุทธบูชาแล้ว ก็รับไทยธรรมที่บรรดาญาติโยมกระตือรือร้นมาถวายมาก หลายท่านก็มีการต่อว่า "ไปวัดแล้วไม่ได้พบตัวเลย ต้องมารอพบบริเวณงานนี่เอง..!"

    กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ "อ่อนใจ" เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ถ้าท่านทั้งหลายมีตำแหน่งหน้าที่มากมายแบบเดียวกับอาตมภาพแล้ว คาดว่าท่านคงจะหาเวลาอยู่วัดไม่ได้ยิ่งกว่ากระผม/อาตมภาพเสียอีก..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,836
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +26,414
    เมื่อเดินทางมาเพื่อเตรียมเข้าประชุมพระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรี ระดับเจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะจังหวัด ระดับเจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะอำเภอ และเลขานุการ ประจำเดือนเมษายน ๒๕๖๗ ที่วัดไชยชุมพลชนะสงคราม (พระอารามหลวง) นั้น ได้ก็ตรวจดูงานในกลุ่มไลน์ แล้วก็เจอข่าวคราวที่ทำให้ต้องนั่งถอนใจอีกแล้ว..! เนื่องจากว่ามีเจ้าอาวาสรูปหนึ่งทางภาคเหนือ กอดกับนักเรียนชายในลักษณะกอดกันกลม แล้วก็มีการถ่ายรูปมาในหลายต่อหลายจังหวะด้วยกัน ซึ่งท่านเองบอกว่าเป็นเด็กที่เลี้ยงเอาไว้ และรักเหมือนลูก..!

    กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ถอนใจ เนื่องเพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ห้ามแม้แต่พระภิกษุนอนอยู่ใต้ผ้าห่มเดียวกัน เนื่องเพราะว่าป้องกันอาบัติที่จะพึงเกิดขึ้น ก็คือถ้าหากว่าสัมผัสร่างของบุรุษด้วยจิตกำหนัด ก็ต้องอาบัติทุกกฎ ถ้าหากว่าสัมผัสเดรัจฉานตัวเมีย ก็ต้องอาบัติทุกกฎ ถ้าสัมผัสกายของบัณเฑาะว์ ก็คือกะเทย ต้องอาบัติถุลลัจจัย

    ถ้าหากว่าสัมผัสกายผู้หญิง แม้แต่เด็กแรกเกิดในวันนั้น ก็ต้องอาบัติสังฆาทิเสส คือขาดความเป็นพระชั่วคราว จนกว่าจะได้รับการลงโทษตามพระธรรมวินัย ที่เรียกว่า "อยู่ปริวาส" เมื่อครบถ้วนแล้ว จึงมาให้คณะสงฆ์ ๒๐ รูป ทำการสวดคืนความเป็นสงฆ์ให้ ที่เรียกกันว่า "อัพภาน"

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าการสัมผัสร่างกายด้วยจิตกำหนัด แม้ว่าจะเป็นผู้ชายด้วยกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ห้ามเอาไว้แล้ว

    ส่วนที่น่ากลัวมากก็คือ ท่านทั้งหลายที่พยายามจะตีความว่าบัณเฑาะว์นั้นมีถึง ๔ ประเภทด้วยกัน โดยเฉพาะจะตีความว่าบัณเฑาะว์ที่ทำให้โดนอาบัติหนัก ก็คือบัณเฑาะว์ประเภทอุภโตพยัญชนก ก็คือมีอวัยวะเพศทั้งชายและหญิงในร่างเดียวกัน

    ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า
    สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งห้ามนั้น ก็เพื่อป้องกันอาสวะ คือกิเลสที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบัน ป้องกันอาสวะ คือกิเลสที่จักเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อรักษาคณะสงฆ์ของเราให้เรียบร้อยดีงาม เพื่อป้องกันบุคคลผู้ "เก้อยาก" ก็คือพวกหน้าด้าน ฝืนการประพฤติปฏิบัติเป็นต้น แล้วก็สร้างความเลื่อมใสให้แก่บุคคลที่ยังไม่เลื่อมใส สร้างความเลื่อมใสให้แก่บุคคลที่เลื่อมใสแล้ว ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เป็นต้น

    สิ่งที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บัญญัติเอาไว้ จึงเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายปฏิบัติตามอย่างเดียว ไม่ต้องเสียเวลาไปตีความ
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,836
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +26,414
    กระผม/อาตมภาพได้รับการสั่งสอนมาจากครูบาอาจารย์บางท่านในมหาวิทยาลัยสงฆ์ว่า ถ้าภิกษุร่วมเพศกับบัณเฑาะว์ซึ่งแปลงเพศแล้ว ไม่ต้องอาบัติปาราชิก เนื่องเพราะว่าไม่ใช่อวัยวะเพศ หากแต่ว่าเป็นเพียงบาดแผลเท่านั้น กระผม/อาตมภาพอยากจะถามเหมือนกันว่า "พระอาจารย์ท่านเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ?"

    เนื่องเพราะว่าการที่พระองค์ห้ามนั้นก็คือห้ามทั้งมนุษย์ ห้ามทั้งสัตว์ ห้ามทั้งซากศพ ห้ามทั้งบุรุษ เหล่านี้เป็นต้น โดยใช้คำว่า แม้เพียงอวัยวะ คือมรรคจดมรรคเท่านั้น ก็ต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว ก็คือแค่อวัยวะสัมผัสกัน จะมีสิ่งห่อหุ้มหรือไม่ก็ตาม โดนปรับอาบัติไปแล้ว..!

    และโดยเฉพาะร่างกายของมนุษย์ ซึ่งท่านระบุเอาไว้ชัดเจนว่า ทางทวารหนักก็คือเวจมรรค ทางทวารเบาก็คือปัสสาวมรรค ถ้าหากว่าเป็นผู้หญิงก็คือช่องคลอด ทางโอฏฐมรรค ก็คือทางปาก ก็แปลว่าไม่ว่าจะทางไหนก็ตาม ก็โดนอาบัติปาราชิก ขาดความเป็นพระทั้งสิ้น..!

    ภายหลังก็มีพระภิกษุท่านไม่รู้ว่าจะไปสัมผัสตรงส่วนไหน เพราะว่าโดนห้ามหมดแล้ว ก็อาศัยบาดแผลบนซากศพ ในการปลดเปลื้องความใคร่ของตนเอง จึงทำให้พระองค์ท่านปรับในฐานะเจตนาทำให้น้ำอสุจิเคลื่อน คือโดนอาบัติสังฆาทิเสส ขาดความเป็นพระชั่วคราว ยังสามารถจะแก้ไขได้ แม้ว่าจะแก้ไขยากสักหน่อย

    แต่เราท่านต้องเข้าใจว่า บุคคลผู้เป็นบัณเฑาะว์ ทำการแปลงเพศแล้ว สิ่งที่เขาแปลงเพศก็ต้องเรียกว่าปัสสาวมรรค หรือว่าช่องคลอดเหมือนกัน อนุโลมเป็นสิ่งเดียวกันได้ โดยอาศัยมหาปเทส ๔ ที่ว่า สิ่งที่ไม่สมควร พิจารณาแล้วว่าไม่สมควร สิ่งนั้นย่อมไม่สมควร

    ในเมื่อท่านเป็นครูบาอาจารย์แล้ว ยังตีความเข้าข้างตัวเองแบบนี้ โอกาสที่จะพลาด โดนอาบัติหนัก ขาดความเป็นพระก็ย่อมสูงเป็นอย่างยิ่ง..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,836
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +26,414
    อีกประการหนึ่งก็คือ สมัยที่กระผม/อาตมภาพเรียนวิชาพระวินัยปิฎก มีการตั้งคำถามว่า "ภิกษุรูปหนึ่งออกบิณฑบาต เจอเด็กหญิงนอนอยู่ เกิดจิตกำหนัด ใช้นิ้วสอดเข้าไปในช่องคลอดของเด็กหญิงนั้น ทำเด็กหญิงนั้นตาย ภิกษุนั้นต้องอาบัติอะไร ?"

    เรื่องนี้เราต้องตั้งสติ วินิจฉัยเสียก่อน เนื่องเพราะว่าเป็นเรื่องสมมติ ถ้าถึงขนาดใช้นิ้วสอดเข้าไปในช่องคลอดของเด็ก แล้วทำให้เด็กตาย ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะฉะนั้น..อันดับแรก ท่านกระทำไปด้วยจิตกำหนัด ก็แปลว่า
    สัมผัสถูกต้องกายหญิง แม้เด็กทารกแรกเกิด ก็ต้องอาบัติสังฆาทิเสส นี่เป็นการต้องอาบัติ คือศีลขาด ในวาระที่หนึ่ง

    การต้องอาบัติวาระที่สองก็คือ
    ทำให้เด็กหญิงนั้นตาย ปกติมนุษย์ให้ตายนั้น ต้องอาบัติปาราชิก แต่เนื่องจากว่าครั้งนี้ไม่มีเจตนา เมื่อเกิดจิตกำหนัดแล้ว ก็อาจจะกระทำรุนแรงไป จนเด็กขาดใจตาย ในเมื่อไม่มีเจตนา การต้องอาบัติปาราชิกจึงไม่นับ มานับว่าต้องอาบัติถุลลัจจัย ซึ่งเป็นอาบัติหนักที่รองลงมาจากอาบัติปาราชิก ลักษณะคล้ายกับภิกษุทิ้งของหนักข้ามกำแพงแล้วไปทับถูกคนตาย ทำให้บุคคลตายโดยไม่เจตนา ไม่ต้องอาบัติปาราชิก หากแต่ว่าต้องอาบัติถุลลัจจัยซึ่งเป็นอาบัติหนัก รองลงมาแทน

    ดังนั้น..ภิกษุรูปนั้นจึงต้องอาบัติสองวาระด้วยกัน วาระแรก คือกระทำโดยจิตกำหนัด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส วาระที่สอง ทำให้เด็กนั้นตาย แต่เนื่องจากว่าไม่มีเจตนา ต้องอาบัติถุลลัจจัย จึงต้องอธิบายขยายความให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้นแล้วก็คาดว่าจะต้องโดนหักคะแนนไปบางส่วนอย่างแน่นอน
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,836
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +26,414
    เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าเราชัดเจนและตรงไปตรงมาแล้ว เรื่องศีลของพระก็ไม่มีอะไรน่าหนักใจ โดยเฉพาะท่านทั้งหลายอาจจะหนักใจว่า "รัก โลภ โกรธ หลง เต็มหัว แล้วเราจะไประงับอารมณ์เพศได้อย่างไร ?" ก็แสดงว่าท่านทั้งหลายไม่ได้ปฏิบัติตามไตรสิกขา คือศีล สมาธิ ปัญญา ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย

    ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายสามารถทรงสมาธิได้ตามปกติ กิเลสทั้ง รัก โลภ โกรธ หลง หรือว่า ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ย่อมโดนกำลังสมาธิกดให้ดับลงไปชั่วคราว เราก็พยายามประคับประคองให้สติของเรานั้นจดจ่อระมัดระวัง อย่าให้สมาธินั้นเคลื่อนนั้นคลายไปไหน ก็จะทำให้เราสามารถที่จะระงับ รัก โลภ โกรธ หลง ได้ในระยะหนึ่ง

    ถ้าท่านใช้ปัญญาเพิ่มเติมในการพินิจพิจารณา จนกระทั่งเห็นว่ากามราคะนี้ก็ดี ความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี นำแต่ความทุกข์ยากมาให้เรานับชาติไม่ถ้วน อย่ากระนั้นเลย ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาทุกข์เช่นนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก ขึ้นชื่อว่าร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของคนอื่นก็ดี ร่างกายของสัตว์อื่นก็ดี เราไม่มีความปรารถนาอีกแล้ว

    เมื่อถอนจิตจากความยึดมั่นถือมั่น เกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด สภาพจิตก็จะยกตนขึ้นมาเหนืออำนาจของกิเลส ถ้าหากว่ายกตนขึ้นมาได้ในเบื้องต้น ท่านก็จะเป็นบุคคลที่ไม่ล่วงละเมิดศีลโดยเด็ดขาด ถ้าสามารถยกจิตขึ้นมาในเบื้องกลาง ท่านก็จะเป็นผู้ที่พ้นจากราคะ โลภะ โทสะไปเลย ถ้าสามารถยกจิตขึ้นได้สูงสุด ก็พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เข้าสู่พระนิพพาน

    ดังนั้น..
    ท่านทั้งหลายที่มีปัญหาในเรื่องทั้งหลาย จนเป็นข่าวเป็นคราวกันทั่วไป สร้างความเสื่อมเสียให้กับญาติโยมเป็นอย่างยิ่งนั้น ก็เพราะว่าท่านทั้งหลายไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ปฏิบัติตามยังไม่พอ ยังขาดความละอายชั่วกลัวบาป ทำให้สิ่งที่อยู่ในจิตในใจของตนนั้น แสดงออกมาในลักษณะที่ย่ำแย่กว่าปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป สร้างความเสื่อมเสียให้กับพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง

    พระภิกษุสามเณรจึงต้องสังวรเอาไว้ว่า เราเป็นปูชนียบุคคล เป็นบุคคลที่ชาวบ้านเขาเคารพบูชา ถ้าหากว่าท่านไม่ได้มีสิ่งหนึ่งประการใดที่เหนือกว่าชาวบ้านเขา แล้วชาวบ้านเขาจะเคารพบูชาได้อย่างไร ?
    จึงเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายจะต้องตระหนัก และพยายามช่วยกันระงับกิเลสของตน อย่างน้อยก็ให้สงบลงชั่วคราวด้วยอำนาจของสมาธิ ถ้าสามารถพิจารณาถอนจิตขึ้นจากหล่มของกิเลสได้ ไม่ว่าจะมากน้อยเท่าไร ก็เป็นคุณแก่ตัวของท่าน และพระพุทธศาสนาอย่างยิ่งทั้งสิ้น

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...