เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 7 สิงหาคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2023
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๗ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพพาพระวัดท่าขนุนออกบิณฑบาตตามปกติ ฝนฟ้าซึ่งตกกระหน่ำทั้งวันทั้งคืน ก็ทำให้เปียกกันพอประมาณสัณฐาน..!

    เมื่อกลับมาแล้วก็ต้องรีบฉันเช้าด้วยสาเหตุ ๒ ประการ ประการแรกก็คือ ให้พระที่ท่านจีวรเปียกได้ไปซัก เปลี่ยนผ้าใหม่ และฉันยาแก้ไข้ไว้ก่อน อีกประการหนึ่งก็คือ กระผม/อาตมภาพต้องออกไป "งานวันรพี" ที่ศาลจังหวัดทองผาภูมิ ซึ่งเป็นวันที่คนไทยทั่วไปไม่ค่อยจะรู้จัก นอกจากบุคคลในแวดวงนักกฎหมายหรือว่าตุลาการเท่านั้น

    ขณะที่กำลังจะเดินทางออกจากวัด หลวงพ่อพระครูกาญจนปัญญาวุฒิ รองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ วัดเขื่อนวชิรราลงกรณก็โทรมา เกรงว่ากระผม/อาตมภาพจะลืมกิจนิมนต์ แต่เมื่อทราบว่ากระผม/อาตมภาพกำลังเดินทางออกไปก็โล่งใจ จากเวลาที่นัดไว้ก็คือ ๐๘.๑๕ น. พบกันที่ศาลจังหวัดทองผาภูมิ กระผม/อาตมภาพเดินทางไปถึงเวลา ๐๘.๑๓ น.

    ปรากฏว่าหลวงพ่อพระครูวรกาญจนโชติ เจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ หลวงพ่อพระครูกาญจนปัญญาวุฒิ รองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ พระครูพิสุทธิ์กาญจนภรณ์ เจ้าคณะตำบลท่าขนุน เขต ๑ พระครูกาญจนสิทธิคุณ เจ้าคณะตำบลสหกรณ์นิคม และพรรคพวกรวม ๘ ท่านมารอกันพร้อมเพรียงอยู่แล้ว มีกระผม/อาตมภาพที่มาตรงต่อเวลาอยู่คนเดียว..!

    เมื่อเจ้าหน้าที่ถวายน้ำร้อนน้ำชาแล้ว ก็ขออนุญาตนำบาตรของกระผม/อาตมภาพไปเก็บที่รถ เนื่องเพราะว่าตอนแรกที่นิมนต์ ได้แจ้งไปว่าจะมีการใส่บาตร ให้นำบาตรมาด้วย แต่มีการเปลี่ยนแปลงกำหนดการ เป็นถวายปิ่นโตทั้งเถาแทน แล้วไม่ได้แจ้งให้กระผม/อาตมภาพได้ทราบ จึงกลายเป็นคนเดียวที่สะพายบาตรมาด้วย..!

    ทำให้นึกถึงหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง ที่ได้รับนิมนต์พระราชทานฉันในพระบรมมหาราชวัง แล้วหลวงพ่อชาสะพายบาตรไปด้วย ปรากฏว่าบรรดาเจ้าคุณได้ถามว่า "หลวงพ่อสะพายบาตรมา ไม่อายในหลวงหรือครับ ?" หลวงพ่อชาท่านตอบกลับไปว่า "แล้วเจ้าคุณไม่อายพระพุทธเจ้าหรือ เพราะว่าพระพุทธเจ้าของเราบิณฑบาตตลอดชีวิต" เล่นเอาท่านเจ้าคุณทั้งหลายพูดไม่ออกไปตาม ๆ กัน ส่วนกระผม/อาตมภาพนั้นเฉย ๆ กับเรื่องแบบนี้ ให้เอามาก็คือเอามา เอามาแล้วไม่ได้ใช้งานก็แค่นำไปเก็บเท่านั้น
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    ทุกวันที่ ๗ สิงหาคมจะเป็นงานวันรพี ซึ่งหมายถึงเสด็จในกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ซึ่งทุกคนถือว่าท่านเป็นพระบิดาทางกฎหมาย ได้สิ้นพระชนม์ลงในวันที่ ๗ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๖๓ สิ่งที่พระองค์ท่านได้เขียนเอาไว้นั้น กระผม/อาตมภาพชอบใจมาก เพราะพระองค์ท่านได้กล่าวถึงบรรดาผู้พิพากษาตุลาการว่า

    "เอ็งกินเหล้าเมายาไม่ว่าหรอก
    แต่อย่าออกนอกทางไปให้เสียผล
    จงอย่ากินสินบาทคาดสินบน
    เรามันชนชั้นปัญญาตุลาการ"

    กระผม/อาตมภาพก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า สิ่งที่กล่าวไปนี้จะถูกต้องทั้งหมดหรือไม่ ? แต่ได้ความหมายชัดเจนมาก เนื่องเพราะว่าถึงจะเป็นข้าราชการศาลสถิตยุติธรรมก็ตาม เวลาออกสังคมก็ต้องมีการกินเหล้ากันบ้าง ซึ่งพระองค์ท่านก็ไม่ได้ตำหนิ แต่ว่าอย่าได้กินสินบาทคาดสินบน เพราะว่าจะทำให้เสียความยุติธรรมไป

    เราท่านทั้งหลายก็รู้ว่าแล้วว่า ในปัจจุบันนี้วงการศาลหรือว่าตุลาการของประเทศไทยนั้น ภาพพจน์ตกต่ำลงไปมาก เนื่องเพราะว่ามีการใช้กฎหมายในลักษณะที่พลิกแพลงเพื่อผลประโยชน์ของฝ่ายตน หรือถ้าหากว่าไม่สามารถที่จะพลิกแพลงกฎหมายได้ ก็มีการพยายามดึงเรื่องเอาไว้ให้หมดอายุความเสียก่อน เมื่อเป็นเช่นนั่นจึงทำให้เกิดความเสียหายเป็นอย่างยิ่ง..!

    เนื่องเพราะว่าสถาบันตุลาการนั้น เป็นสถาบันที่ใช้พระราชอำนาจแทนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในเมื่อกลายเป็นบุคคลเช่นนั้น จึงทำให้ในสายตาของชาวบ้านทั่วไป วงการศาลสถิตยุติธรรม หรือว่าในวงการผู้พิพากษาตุลาการของเรานั้น ภาพพจน์ตกต่ำลงไปชนิดต่ำเตี้ยเรี่ยดินเลยทีเดียว..!

    เมื่อเสร็จภารกิจกลับมาแล้ว กระผม/อาตมภาพก็มานอนไข้จับอยู่พักใหญ่ ตามปกติของบุคคลที่มีเชื้อมาลาเรียอยู่ในตัว เมื่อเปียกฝนเปียกฟ้าเข้า ก็ต้องมีอาการบ้างเป็นธรรมดา

    หลังจากที่ฉันเพลเสร็จเรียบร้อยแล้ว
    กระผม/อาตมภาพก็มาตามเก็บเอกสารต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันนี้ แม้ว่าจะเป็นไฟล์สแกนก็ตาม แต่เนื่องจากว่าต้องมีการแยกหมวดหมู่ ลงวันเวลา หนังสือรับเข้า หนังสือส่งออก ให้ชัดเจน จึงทำเอาเกือบจะหมดวันเลยทีเดียว
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    และวันนี้กระผม/อาตมภาพเองก็ไม่สามารถที่จะลงไปทำวัตรค่ำทั้งสองรอบ และบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนตามปกติได้ เพราะว่ามีการนัดหมายประชุมคณะกรรมการโครงการสร้างความปรองดองและสมานฉันท์ด้วยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา หรือว่าโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ เนื่องจากว่ามีกำหนดการตรวจประเมินหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ต้นแบบแห่งแรกในวันที่ ๑๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ ก็คืออีกไม่กี่วัน การประชุมครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นการประชุมครั้งที่ ๓ แล้ว เว้นอีก ๒ วันก็จะมีการประชุมครั้งที่ ๔

    เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าต้องมีการคุยถึงรายละเอียดในการตรวจประเมิน และแนวทางการตรวจประเมินต่าง ๆ เพราะว่าในปีงบประมาณ ๒๕๖๖ นี้ มีการเซ็น MOU หรือว่าข้อตกลงร่วมกับทางกระทรวงมหาดไทย จึงทำให้มีข้าราชการของกระทรวงมหาดไทย โดยเฉพาะผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะ เข้าไปร่วมในการตรวจประเมินหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ต้นแบบในจังหวัดนั้น ๆ

    ตรงจุดนี้พวกเราห่วงกันว่า ถ้าหากเกณฑ์ประเมินไม่ชัดเจน อาจจะทำให้การให้คะแนนนั้นออกไปคนละทิศคนละทางกัน ทางราชการไปทางหนึ่ง ทางคณะสงฆ์ไปทางหนึ่ง ก็อาจจะเป็นเรื่องที่บรรลัยวายวอดขึ้นมาได้ เพราะจะกลายเป็นคำถามตัวใหญ่ขึ้นมาว่า เอาอะไรมาเป็นมาตรฐานในการประเมิน ?

    เนื่องเพราะว่าตั้งแต่แรกมานั้น ทางคณะสงฆ์ได้เอางานบริหารกิจการคณะสงฆ์ทั้ง ๖ ด้าน ตลอดจนกระทั่งงานหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบลทั้ง ๘ บ้าน เข้ามาจับกับทางด้านทฤษฎีบวร คือหลักการที่ประสานบ้าน วัด โรงเรียน และส่วนราชการในการทำงานร่วมกัน

    แต่ว่าทางราชการนั้น เขามีในส่วนของ จปฐ. ก็คือหลักความจำเป็นขึ้นพื้นฐานของประชาชนในแต่ละหมู่บ้านว่ามีอะไรบ้าง ถ้าจำไม่ผิดมีถึง ๒๑ ข้อด้วยกัน จึงทำให้ต้องคุยกันให้ชัดเจนเสียก่อนว่าจะเอาหลักเกณฑ์อะไรบ้าง ทางด้านเราจะได้ประสานในการออกแบบประเมินให้ชัดเจน

    จะว่าไปแล้ว กระผม/อาตมภาพก็อิจฉาบรรดาวัดต่าง ๆ ที่ดูแลหมู่บ้านซึ่งจะได้รับการประเมินให้เป็นหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ต้นแบบในยุคหลังนี้เป็นอย่างยิ่ง เนื่องเพราะว่าวัดท่าขนุนนั้น ได้รับการประเมินในยุคแรก
    และเป็นวัดแรกของจังหวัดกาญจนบุรี..!

    ตอนนั้นหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ไม่มีหลุดจากคณะกรรมการมาเลยแม้แต่นิดเดียว เราจะต้องคาดเดากันเองว่า ทางคณะกรรมการอยากจะเห็นอะไรบ้าง แล้วก็พยายามนำเอาสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นออกมาให้คณะกรรมการได้ดูได้เห็น ว่าของจริงที่เรามีอยู่นั้นคืออะไรบ้าง แล้วคณะกรรมการก็ให้คะแนน ไม่มีการประกาศให้รู้ตอนนั้นเสียด้วย แต่หลังจากที่กลับไปประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว จึงมีการประกาศว่า ผ่านเกณฑ์เป็นหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ต้นแบบหรือไม่..!?
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    กระผม/อาตมภาพสามารถนำเอาหมู่บ้านวังท่าขนุน ผ่านเกณฑ์ประเมินไปเป็นหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ต้นแบบรุ่นแรกได้ ก็ต้องบอกว่าบังเอิญอย่างสุดขีด เนื่องเพราะว่าได้ทำงานที่เกี่ยวข้องก็คือ หน่วยอบรมประชาชนตำบลท่าขนุนมาก่อน จึงนำเอางาน ๘ ด้านของหน่วยอบรมประชาชนตำบลท่าขนุนมาเป็นหลัก ปรากฏว่าตรงกับสุภาษิตโบราณที่ว่า "ขี้ตรงร่อง" พอดี..!

    คำว่า "ขี้ตรงร่อง" นั้นก็คือบังเอิญ เนื่องเพราะว่าสมัยก่อนนั้น บ้านเราเมืองเรายังมีป่าทึบไพรสูง สัตว์ร้ายต่าง ๆ มีมาก อันตรายต่าง ๆ มีมาก เวลากลางค่ำกลางคืนจึงไม่มีการลงจากเรือนชานบ้านช่องไปเข้าห้องน้ำห้องส้วม

    เนื่องเพราะว่าสมัยก่อนไม่นิยมในการสร้างห้องน้ำห้องส้วมไว้ในห้อง บุคคลที่สร้างห้องน้ำห้วงส้วมเอาในที่นอนหรือที่อยู่ได้ มีแต่พระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น ถ้าหากว่าใครทำแบบนั้น สถานเบาก็คือโดนผู้ใหญ่ตำหนิว่า "จัญไรจะกินหัว..!" ถ้าสถานหนัก มีคนไปฟ้องร้องว่าตีตนเสมอพระเจ้าแผ่นดิน มีจิตคิดคดกบฏต่อประเทศชาติ ก็อาจจะถูกประหารชีวิต ๗ ชั่วโคตร..!

    จึงทำให้ไม่มีใครที่สร้างส้วมเอาไว้ในบ้าน หรือว่าสร้างห้องน้ำห้องสุขาเอาไว้ในบ้าน มีแต่สร้างไว้ในสถานที่ห่างไกลจากบ้าน อย่างน้อย ๆ ก็ ๓๐๐ เมตร ๕๐๐ เมตร และต้องอยูทางใต้ลมด้วย เพราะว่าส่วนใหญ่เป็นส้วมหลุม ส่งกลิ่นประทับใจไปไกล ๆ..!

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงต้องมีการตัเจาะช่องตามกระดานพื้นบ้าน ให้เป็นช่องประมาณฝ่ามือ ยาวก็ไม่เกิน ๑ ศอก สำหรับถ่ายอุจจารปัสสาวะลงไปในยามฉุกเฉินตอนค่ำคืน โดยที่ทางด้านล่างนั้นก็จะปูขี้เถ้าหนา ๆ เอาไว้ เมื่อถึงเวลากลางวันก็จะได้ใช้จอบใช้เสียมแซะเอาของเสียนั้นไปทิ้งในส้วมหลุมอีกทีหนึ่ง
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    คราวนี้กลางคืนสมัยก่อนส่วนใหญ่ถ้าหากว่าปวดท้องปวดไส้ขึ้นมา จะมัวแต่จุดไฟตามไฟกันก็ยาก เพราะว่าสมัยนั้นส่วนใหญ่ก็เป็น "ขี้ไต้" กว่าที่จะจุดไต้ หรือที่ภาษาอีสานเรียกว่า "กระบอง" ได้ ก็อาจจะถึงขนาดอุจจาระปัสสาวะเล็ดเสียก่อน จึงจำเป็นจะต้องใช้วิธีคลำเอาบ้าง พยายามเพ่งมองในความมืดบ้าง

    ใครที่สามารถทำธุระหนักเบาได้ตรงสถานที่พอดี โบราณก็จะใช้คำว่า "ขี้ตรงร่อง" ซึ่งถือว่าเป็นการบังเอิญทำถูก จนทำให้เกิดสำนวนนี้ขึ้นมา

    ดังนั้น..กระผม/อาตมภาพจึงให้คำจำกัดความว่า หมู่บ้านวังท่าขนุนนั้นได้รับรางวัลหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ต้นแบบในรุ่นแรกจากการ "ขี้ตรงร่อง" ของกระผม/อาตมภาพและคณะกรรมการชุมชน ที่ร่วมกันทำให้การตรวจประเมินในครั้งนั้นให้ผ่านไปได้แบบทุลักทุเล

    ไม่เหมือนกับสมัยนี้ที่เขามีรายละเอียดส่งไปถึงทางสถานที่เลย ว่าจะดูงานในด้านใดบ้าง ให้คุณจัดมาตามความเป็นจริงเท่านั้น จึงทำให้เกิดความ "อิจฉามารศรี" ขึ้นมา ถ้ามัวแต่บรรยายว่าคำว่า "อิจฉามารศรี" นั้นมาจากภาพยนตร์เรื่องอะไร ? หรือนิยายเรื่องอะไร ? ก็จะยาวโดยใช่เหตุ เพราะว่ากระผม/อาตมภาพต้องไปเข้าประชุมแล้ว

    วันนี้จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๗ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...