เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 15 เมษายน 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,840
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,415
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,840
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,415
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ บางท่านก็เรียกว่า "วันเถลิงศก"" ก็คือขึ้นปีใหม่ บางท่านก็เรียกว่า "พญาวัน" ถือว่าเป็นวันที่ใหญ่กว่าวันอื่นทั้งหมด เพราะว่าเป็นวันแรกของปี ดังนั้น..ถ้าหากว่าเป็นวิชาการทางด้านภาคเหนือ ส่วนใหญ่ก็จะปลุกเสกสิ่งของต่าง ๆ กันในวันพญาวันนี้

    แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่จะไม่ลืมอย่างเด็ดขาดก็คือ การนำเอาน้ำขมิ้น ส้มป่อย ไปสรงน้ำพระ ก็คือพระพุทธรูปในบ้านของตนเอง หลังจากนั้นก็จะไปรดน้ำขอพรจากผู้ใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมีผ้าใหม่ จะเป็นผ้าขาวม้าก็ได้ ผ้าขาวธรรมดาก็ได้ พร้อมกับน้ำขมิ้น ส้มป่อย ไปขออนุญาตผู้ใหญ่ รดน้ำดำหัวแล้วขอพร

    ส่วนใหญ่ก็คือมอบภาชนะที่ใส่ผ้าใหม่ พร้อมกับน้ำขมิ้น ส้มป่อย ให้กับผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็จะวักน้ำเหล่านี้พรมศีรษะตนเอง หรือว่าลูบมือ ลูบตัว ไม่ใช่เด็กไปรดน้ำผู้ใหญ่ สมัยหลัง ๆ ของเรานี้ไม่ค่อยจะรู้ธรรมเนียมประเพณี แล้วก็ไม่ค่อยจะรู้กาลเทศะ กระผม/อาตมภาพเอง เจอมามากต่อมากด้วยกัน ก็คือเด็กประมาณชั้นประถม มารดน้ำสงกรานต์แล้วอวยพร "ขอให้หลวงพ่อเจริญ ๆ แข็งแรง ๆ" แทนที่จะมาขอพร กลับมาอวยพร ถ้าเป็นภาษาโบราณ เขาเรียกว่า "ทะลึ่ง"..!

    ในขณะเดียวกัน การสรงน้ำพระพุทธรูป หรือว่ารูปหล่อครูบาอาจารย์ที่เราเคารพนับถือ ก็จะถวายน้ำสรงที่พระหัตถ์พระพุทธรูป หรือว่าที่มือของรูปหล่อครูบาอาจารย์ แต่สมัยนี้เห็นส่วนหนึ่งเอาน้ำราดเศียรพระพุทธรูปไปเลย..! ขนาดคนปกติที่อาวุโสมากกว่า เรายังไม่เอาน้ำไปราดหัวเขา แต่นี่พระพุทธเจ้ายังไม่เว้นเลย..!

    ดังนั้น..การที่เราเป็นนักปฏิบัติธรรม สิ่งหนึ่งที่ลืมไม่ได้อย่างเด็ดขาดเลยก็คือ ยิ่งปฏิบัติไป สภาพจิตต้องยิ่งละเอียดมากขึ้นไปเรื่อย ต้องรู้จักระมัดระวังว่า สิ่งหนึ่งประการใดจะเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย เพราะว่าจะเป็นตัวขวางมรรคผลของเราเอง คือถ้าจิตใจของเรายังหยาบ ขาดความเคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแท้จริง โอกาสที่จะเข้าถึงมรรคผลก็ไม่มี

    ขณะเดียวกัน ขนบธรรมเนียมประเพณีของบ้านเราที่ดีงาม ก็พยายามจดจำและปฏิบัติให้ถูกต้องด้วย บรรดาชาวต่างชาติถ้ามาถึง จะได้ให้คำแนะนำที่ถูกต้องแก่เขาด้วย ไม่อย่างนั้นแล้วก็เอาแต่สนุกสนานในการสาดน้ำรดกัน ประเพณีที่ดีงามก็จะเหลือแค่ความสนุกเฉพาะตนเท่านั้น ความเคารพในพระรัตนตรัยจะไม่มี ความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ ซึ่งสร้างบุญกุศลแก่เราก็ไม่มี

    เรื่องพวกนี้ถ้าเราไม่ช่วยกันรักษาเอาไว้ คนรุ่นหลัง ๆ ก็จะคิดว่าสิ่งที่ตนทำนั้นถูกต้องแล้ว แล้วเมื่อรุ่นหลังกว่านั้นเห็นเข้าและทำตาม ประเพณีอันดีงามของเราก็จะค่อย ๆ สูญเสียอัตลักษณ์ ตลอดจนกระทั่งรูปแบบที่ดีงามไป กลายเป็นเอาแต่เล่นสนุกกันอย่างเดียว
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,840
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,415
    วันนี้กระผม/อาตมภาพนั่งรับน้ำสรงจากพระภิกษุ สามเณร แม่ชีและฆราวาส ประมาณ ๑ ชั่วโมง เมื่อเลิกจากการรับแล้ว ปรากฏว่าสองมือคันไปหมด ต้องรีบมาล้างน้ำฟอกสบู่เสียใหม่ คาดว่าเกิดจากดอกไม้ที่พวกเราใช้โรยหน้าน้ำอบน้ำหอม คงจะมีการไปแช่สารบางอย่าง ที่ทำให้ดอกไม้นั้นสดอยู่นาน แต่ว่าเป็นพิษกับผิว กระผม/อาตมภาพก็ยังเป็นห่วงว่า ถ้าเอาไปสาดใส่กันแล้วเกิดไปเข้าตาคนอื่น จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ?!

    บ้านเราเมืองเราส่วนหนึ่ง คนเราเห็นแก่เงินก็มักจะทำในสิ่งที่บางทีกฎหมายก็ห้าม อย่างเช่นว่าเอาอาหารทะเลไปแช่สารฟอร์มาลดีไฮด์ เพื่อที่ให้สดอยู่ในท้องตลาดได้นาน ๆ ส่วนคนกินจะเป็นจะตายอย่างไรก็ช่างมัน..! หรือว่าในส่วนที่เจอมา ก็คือเรื่องของดอกไม้สด มักจะใช้สารประเภทนี้ในการฉีดพ่น หรือว่าผสมน้ำแล้วแช่ เพื่อที่ให้ดอกไม้อยู่ได้นาน ๆ

    แต่ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักสังเกตจะเห็นว่า ถ้าเป็นพวงมาลัยหรือดอกไม้สดที่ผ่านสารพวกนี้มา จะสดชื่นอยู่ได้หลายวัน แล้วก็ปุบปับเน่าไปเลย จะไม่มีการค่อย ๆ เหี่ยว ค่อย ๆ เฉา เหมือนดอกไม้ตามปกติ เหมือนอย่างกับว่าพอสารที่แช่เอาไว้หมดฤทธิ์ ดอกไม้เหล่านั้นก็จะอยู่ในสภาพที่ว่าค้างมาหลายวัน ถ้าปล่อยตามปกติ ก็จะเหี่ยวแห้งไป แต่ด้วยความที่เซลล์ต่าง ๆ ของดอกไม้น่าจะโดนทำลายด้วยน้ำยาเหล่านี้ เมื่อถึงเวลาจึงหมดสภาพเน่าเละไปเลย

    ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จะว่าเป็นเรื่องเล็กก็เล็ก จะว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็ใหญ่ เนื่องเพราะว่าเราทำโดยขาดความซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพของตน ก็คือการค้า ถ้าเป็นคนโบราณเขาบอกว่า "ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน" ก็คือถ้าเราซื่อตรงจริงใจต่อลูกค้า ใคร ๆ ก็อยากจะมาซื้อของกับเรา

    แต่ถ้าหากว่าเราเอาของปลอม ของปน ของไม่ดีใส่รวมกับของดีที่ขาย หรือแม้กระทั่งใช้สารที่เป็นพิษต่าง ในการที่จะแช่อาหารเพื่อให้อยู่นาน ๆ หรือว่าสิ่งของเพื่อให้อยู่นาน ๆ โดยไม่ได้คำนึงว่าจะสร้างความเป็นพิษให้กับผู้ที่นำไปบริโภคใช้สอยหรือไม่ ? ถ้าหากว่าเป็นของใช้ก็ยังพอทน ถ้าเป็นของกิน กระผม/อาตมภาพอยากยกตัวอย่างเรื่องหนึ่ง

    ก็คือมีพระไทย ๕ รูป ไปเที่ยวประเทศเวียดนาม แล้วก็ไปฉันซูชิ ซึ่งความจริงถ้าว่ากันตามพระธรรมวินัย
    พระห้ามฉันของสด แต่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นอาจจะเห็นว่า "แค่เรื่องของการกิน ปลงอาบัติก็จบแล้ว" ก็เลยฉันซูชิเข้าไป ปรากฏว่าเกิดอาการเป็นพิษ ส่งโรงพยาบาลแล้วมรณภาพไป ๔ รูป..! ซึ่งทั้ง ๔ รูปนั้นมาจากจังหวัดราชบุรี อีก ๑ รูปเป็นพระของจังหวัดกาญจนบุรีนี่เอง รู้จักคุ้นเคยกับกระผม/อาตมภาพด้วย ท่านเป็นหมอยาสมุนไพร เมื่อรู้ตัวก็รีบเอายาสมุนไพรที่ติดไปกินถอนพิษ จึงทำให้รอดมาได้..!

    แล้วมาภายหลัง ทางด้านสาธารณสุขของเวียดนามเอาเนื้อปลาเหล่านั้นไปพิสูจน์ ปรากฏว่าแช่สารฟอร์มาลดีไฮด์มาทั้งนั้น ได้รับเงินชดเชยมาเยอะมาก ศพละ ๕๐,๐๐๐ บาท..! คุ้มหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? แต่ถ้าหากว่าคิดเป็นเงินของเวียดนามก็มากโขอยู่เหมือนกัน
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,840
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,415
    ดังนั้น..ถ้าหากว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เกิดในบ้านเราเมืองเรา รับรองว่าเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน เพราะว่าบ้านเราไม่ได้ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ ข่าวคราวสามารถที่จะแพร่กระจายไปทั่วโลกภายในไม่กี่ชั่วโมง แต่ประเทศของเขา รัฐบาลสามารถสั่งที่จะปิดข่าวเหล่านี้เอาไว้ได้ ถ้าไม่ใช่ว่าพระอาจารย์ท่านนั้นเป็นเพื่อนกัน กระผม/อาตมภาพก็ไม่รู้เหมือนกัน

    แล้วอีกส่วนหนึ่งที่ขำกว่านั้นก็คือ หลวงพ่อรองเจ้าคณะจังหวัดของเรา ท่านเจ้าคุณพระโสภณกาญจนาภรณ์ (ทอมสันต์ จนฺทสุวณฺโณ ป.ธ.๔) บอกว่า "ผมโชคดีมากเลยครับ..อาจารย์เล็ก ถ้าผมไป..ผมตายแน่นอน เพราะว่าผมชอบซูชิมาก" อาตมภาพก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าทำไมของที่พระพุทธเจ้าห้าม ถึงได้ชอบกันนักก็ไม่รู้ ? ในเมื่อท่านเองไม่ได้ไปด้วย และรอดมาได้ ก็ถือว่าบุญยังรักษาอยู่

    แล้วพระอาจารย์รูปที่เป็นหมอยา ก็ต้องบอกว่าไม่เสียทีที่ศึกษายามา กระผม/อาตมภาพได้ยินบรรดาหมอสมุนไพรไทยหลายคนบอกอยู่แล้ว ว่าไปไหนก็จะติดว่านรางจืดกับพญาปล้องทองไปด้วย พญาปล้องทองนี่หลายคนเรียกว่า เสลดพังพอนตัวเมีย โดยที่ใช้คำว่า ถ้ากินอะไรผิดสำแดง ให้รีบฝนพญาปล้องทอง หรือว่าฝนรางจืดกินเข้าไป จะได้ถอนพิษได้ทัน ก็ต้องบอกว่าภูมิปัญญาโบราณช่วยรักษาชีวิต แต่ถ้าหากว่ากินมากไป หรือว่าพระฉันมากไป บางทีก็รักษาชีวิตไว้ไม่ทันเหมือนกัน..!

    เป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าผู้ที่มรณภาพไปก็คือพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา มรณภาพไปเพราะความเห็นแก่ได้ หรือว่าเห็นแก่ตัวของพ่อค้าแม่ค้า ซึ่งถ้าเกิดในบ้านเราเมืองเรา ก็จะมีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวรุนแรงมาก ยังดีที่ไปเกิดบ้านเขา ถึงไม่มีปัญหาอะไรมากมายนัก

    ดังนั้น..วันนี้ที่ปรารภก็คือว่า เรื่องที่ไม่น่าจะเกิด ไม่น่าจะเป็น ก็เป็นขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่เป็นการรดน้ำขอพรธรรมดา แต่ทำเอากระผม/อาตมภาพต้องไปล้างมือเสียใหม่แทบไม่ทัน ก็ขอให้ทุกท่านระมัดระวังเอาไว้ด้วย ว่าถ้าเอาน้ำนั้นไปสาดใส่คนอื่น อาจจะทำให้เขาเดือดร้อนถึงขนาดตาบอดหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๑๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...