เรื่องเด่น อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๘๐ : อาถรรพ์ป่า (จบ)

ในห้อง 'อดีตที่ผ่านพ้น' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 10 ตุลาคม 2019.

  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,191
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,510
    ค่าพลัง:
    +26,343
    80.jpg
    อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๘๐ : อาถรรพ์ป่า (จบ)

    หมวดจรรย์นพ (ร.ท.จรรย์นพ กำแพงทอง) เกิดอาการเชื้อเก่ากำเริบ นึกอยากจะเล่นแร่แปรธาตุขึ้นมา ชวนอาตมาไปขุดแร่เพรียงไฟที่เมืองลับแล...

    เรื่องเข้าป่าอาตมาไม่เคยปฏิเสธอยู่แล้ว แต่ขอยกความเป็นหัวหน้าคณะให้ไอ้หมวดตัวแสบ เพราะว่าเรื่องขุดทรัพย์แผ่นดินนี้ พระมิบังควรยุ่งด้วยเด็ดขาด...

    อาการประหลาดพิลึกพิลั่นเริ่มขึ้นทันทีที่จะออกเดินทาง เริ่มด้วยไอ้หมวดของเราหาเข็มทิศไม่ได้ มันเหลือเชื่อหรือไม่ล่ะ...?

    “ทุกกองพันให้มีเหตุต้องออกฝึกภาคสนามกันหมด ไม่มีเข็มทิศเหลือให้ยืมสักอันเลยครับ” ช่างมันเถอะ..เราหาซื้อกันเองก็ได้นี่หว่า...

    หลังจากมีเหตุผิดพลาดในการนัดหมาย จนอาตมาต้องรอเงกไปแล้ว พอจะออกเดินทาง แดง (มงคล จอมผา) เข้าเกียร์แล้วรถมันไม่ยอมวิ่ง...!

    หาสาเหตุกันครู่ใหญ่ เสี่ยแสง (แสงชัย เพชรชื่นสกุล) ก็ร้องบอกออกมาจากใต้ท้องรถว่า “เกียร์หลุด...หมุดล็อกมันขาด ผมเอาลวดผูกไว้แทนไปก่อน...”

    บริรักษ์ (บริรักษ์ ศรีพราว) เจ้าพ่อ เอ๊ย...ผู้จัดการไฟลท์ของการบินไทย ขนเครื่องบวงสรวงมาเต็มคันรถ ขนาดตั้งใจไปเซ่นเจ้าที่เต็มที่ยังเป็นถึงเพียงนี้...

    ผ่านสระบุรีพลัน...อาตมาก็เห็นมหาวาตะหมุนวนเป็นเกลียวน่าสะพรึงกลัว หมู่เมฆก่อตัวเป็นรูปคนหัวขาดลอยตามรถมาทางด้านหลัง...!

    ถ้าเป็นการตั้ง “เมฆฉาย” ตามตำราฤกษ์บนของการเดินทัพแต่โบราณ การศึกครั้งนี้พวกเราแพ้ตั้งแต่ในมุ้ง แต่ก็ดื้อไปทั้งที่รู้ว่าจะต้องแพ้...!

    ผ่านวิเชียรบุรีไปหน่อยเดียว กระจกบังลมหน้าทั้งแผ่นก็แตกเปรี๊ยะ...! ร้าวเป็นใยแมงมุม ฝืนขับต่ออีกหน่อย คราวนี้ถล่มพรูลงทั้งกระบิ...!

    คลานไปถึงวังชมพู แวะพักบ้านผู้ใหญ่เหลือง (ชัยอนุชิต ม่วงน้อยเจริญ) อาตมาควักย่ามให้แดงไปเปลี่ยนกระจกรถ หมดไปสองพันกว่าบาท...

    รุ่งเช้าออกเดินทางต่อ แวะกราบหลวงพ่อพระพุทธชินราชและแม่ย่าสุโขทัยแล้ว ตรงไปทางสวรรคโลก – ศรีสัชนาลัย...

    หลงทาง...เลยปากทางเข้าบ้านแก่งไปตั้งไกล ต้องย้อนกลับมาใหม่ ทางฝุ่นคดเคี้ยว ผ่านป่าเขาสลับซับซ้อน เชื่อหรือไม่ว่าหลงอีก...!

    ทางเคยผ่านมาแล้วอาตมาหลงยาก แต่คราวนี้มันอาถรรพ์อะไรนักหนา หลงได้หลงดี กว่าจะเข้าถึงห้วยหยวกก็หลงซะเกือบหมดอารมณ์...

    คราวนี้นอกจากข้อต่อเกียร์จะหลุดอีกครั้ง ยางก็พลอยแบนไปด้วย บริรักษ์ตั้งเครื่องบวงสรวง ขณะที่เหลือง แดง จ้อน (ปริวัฒน์ วัฒนโชติ) ช่วยกันปะยาง...

    อาตมา จรรย์นพ แสงชัย บริรักษ์ ขนของใช้ส่วนตัวขึ้นหลัง แหม...มันเล่นขนกันมาชนิดแทบทับตัวเองตาย อาตมาต้องสั่งลดโหลดเต็มที่ เอาไปแค่จำเป็น...

    รถตู้เลี้ยวกลับ อีกสามวันให้หลังจะมารับ เหลือสี่เสือเดนตายลุยป่าต่อ แค่เห็นรอยเท้าสัตว์เป็นเทือก สามพระหน่อก็แทบถอดใจถอยหลังซะแล้ว...

    อาศัยทางด่านสัตว์ที่เดินจนเตียนเป็นซูเปอร์ไฮเวย์ มีทางแบบนี้ไปจนบ้านแม่สาน แต่คราวนี้มันไม่เป็นอย่างนั้นนะซิ...

    ตามไปเรื่อย ๆ จนถึงยอดเขา รอยเท้าเหล่านั้นมันหายวับไปดื้อ ๆ อย่างกับพวกมันทั้งฝูงบินได้อย่างนั้นแหละ เล่นทิ้งกันกลางป่าดงดิบนี่เลยนะ...

    เลาะลงไปในลำห้วย เดินหารอยจนพบ พอแกะรอยไปจนถึงยอดเขา รอยเท้าเหล่านั้นก็หายวับไปกับตา แบบนี้มันแกล้งกันชัด ๆ นี่หว่า...!

    ฟ้ามืดลงทุกขณะ หลงตามไอ้รอยบ้า ๆ จนแทบหมดวัน น่าน...อยากบ่นดีนัก อาตมาถูกเศษไม้แทงฉึกเข้าที่ซอกนิ้ว ลึกเข้าไปจนชนกระดูกฝ่าเท้าเลย...!

    ไปทั้งเจ็บแทบดิ้นนั่นแหละ มะงุมมะงาหราไปในความมืด ขืนงมต่อไปมีหวังถูกเสืองาบแน่ ๆ อาตมาพาตะกายฟ้าขึ้นไปค้างคืนบนยอดเขา...

    จรรย์นพ เสี่ยแสง บริรักษ์ แทบหมดสภาพไปตาม ๆ กัน เกิดมาไม่เคยเจอบทโหดขนาดนี้ โดยเฉพาะไอ้หมวด ปีนยังไม่ถึงยอดเขา มันหลับกลางอากาศได้...!

    มีแต่อาหาร น้ำหมดไปนานแล้ว นอนคันคะเยอเพราะยุงเป็นฝูง ๆ แห่มารุมดูดเลือดอย่างครื้นเครง แถมฝนตกลงมาตอนใกล้สว่างอีก เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำเลย...

    ตื่นขึ้นมาปิ้งเสื้อผ้ากันตั้งแต่ตีสาม ขืนนอนต่อมีหวังปอดบวมตาย พอสว่างก็งัดอาหารเย็น ๆ ขึ้นมากินกันตาย ไม่มีน้ำนี่มันฝืดคอเป็นบ้าเลยว่ะ...

    แล้วช่วยกันขุดตรงที่นอนนั่นแหละ เผื่อหลงไปจนถึงที่หมายโดยไม่รู้ตัว แต่ไม่มีอะไรที่พอจะเห็นเป็นแร่เพรียงไฟสักนิดเดียว...

    เหนื่อยเปล่าแถมหิวน้ำหนักขึ้นไปอีก ค่อยไต่ลงจากยอดเขามาข้างล่าง ตอนขึ้นมันมืดตื๊ดตื๋อ ขาลงสว่างจึงเห็นชัดว่ามันชันเกือบเก้าสิบองศา...!

    กว่าจะถึงข้างล่างเล่นเอามืออ่อนตีนอ่อน เกือบตกลงไปตายซะหลายหน คราวนี้งมโข่งไปเถอะ หลงซะไม่มีล่ะ...เกิดจากท้องพ่อท้องแม่ ไม่เคยเจอะเคยเจอ...

    ทางที่เดินไปดี ๆ พอพ่อไม่ให้ไปขึ้นมา ก็มีต้นไผ่ล้มมาสอดประสานกันอย่างแน่นหนา เหลียวหลังจะกลับทางเดิม ไอ้ที่เพิ่งผ่านมาก็พลอยหายไปด้วย...!

    หนทางที่จำได้ถนัดว่าเคยเดินผ่านเมื่อครั้งก่อน พอเดินไป ๆ ไม่ไปสุดที่ขอบเหว ก็กลายเป็นทางตัน ถ้าไม่พบแอ่งน้ำเล็ก ๆ มีหวังอดน้ำตายไปแล้ว...

    อาหารทุกอย่างเรียบวุธ ต้องกินหน่อไม้บ้าง หยวกกล้วยบ้าง หลงทางเดินวนเป็นไอ้บ้า แถมบริรักษ์เห็นสาวมากวักมือเรียก ก็ตะกายตามไม่ฟังเสียง...

    ดีที่อาตมาสังเกตเห็นทางที่บริรักษ์ตามสาวมา มีรอยเท้าเสือย่ำไว้อย่างสด ๆ ร้อน ๆ ต้องชี้ให้ดูค่อยหูตาสว่าง...บรื๊อว์...!

    เผ่นกันแทบไม่ทัน คราวนี้เลยหลงหนัก ต้องถางทางกันเอาเอง เชื่อหรือไม่...? ไม่ว่าจะถางไปทางไหน มันลงมาที่เดียวกันหมด...!

    เหนือ...ลงที่เดิม ใต้...ลงที่เดิม ตะวันออก...ลงที่เดิม ตะวันตก...ลงที่เดิม ให้ตายเถอะ ใครนะมันแกล้งกันซะจริง...

    สามสหายหมดเรี่ยวหมดแรง อาตมาต้องยอมอาบัติลงมือถางป่าซะเอง พอเงื้อมีดฟันฉับ...ลมฝนมาอื้ออึงไปทั้งป่า มันตกกับฟ้าถล่มดินทลาย...!

    อาตมาไม่ฟังเสียงซะแล้ว อาศัยความรู้สึกถางทางตะลุยออกไปเลย ให้มันรู้ไปว่าจะออกไม่ได้ จากบ่ายสองโมงตากฝนถางป่าจนสี่ทุ่มครึ่ง...!

    สามทหารเสือหมดแรงป้อแป้ บริรักษ์ตะคริวกิน จนต้องยกขาตัวเองก้าวไปทีละก้าว ทุกคนถอดใจขอพักกันกลางป่ากลางฝนนั่นแหละ...

    แต่อาตมาไม่ยอมให้พัก ขืนพักไม่ปอดบวมตายก็จมน้ำตาย น้ำในห้วยเพิ่งก้าวข้ามมาท่วมแค่หลังเท้า ก้าวลงไปอีกทีขึ้นมาถึงเข่าแล้ว...!

    จรรย์นพ เสี่ยแสง ช่วยกันเข้าปีกหิ้วบริรักษ์ไป เป้หลังอาตมาช่วยแบกให้เอง ในที่สุดความบ้าก็ชนะอาถรรพ์ป่า หลุดออกมาถึงห้วยหยวกจนได้...

    เข็ดไปจนตายไอ้เรื่องสมบัติป่า แค่คิดจะไปเอายังโดนลงโทษขนาดนี้ ถ้าเอาออกมา มันจะตายซับตายซ้อนกันขนาดไหนก็ไม่รู้...

    ยังหรอก...ขนาดกึ่งสลบไสล ยังต้องเดินทางออกมาที่ปากทางบ้านแก่ง เพราะถนนเละจนรถของแดงเข้าไม่ได้ อย่าคิดว่าจะหมดง่าย ๆ...

    รถไปหมุนติ้วเป็นลูกข่างบนเขาค้อ เกือบจะได้นอนก้นเหวกันโดยทั่วหน้า ขนาดมาถึงอุทัยธานีถิ่นของอาตมาแท้ ๆ ยังหลงทางจนฉิว เออ..ทีเอ็งข้าไม่ว่า...

    ลำบากลำบนกันก็เพราะความโลภตัวเดียวแท้ ๆ ความทุกข์ความยากของการเกิด ไม่ต้องมาจ้ำจี้จ้ำไชกันแล้ว เห็นโหมะเยย...ฮิ...ฮิ...

    ๖ ตุลาคม ๒๕๓๕
    พระใบฎีกาเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ที่มา www.watthakhanun.com
    ภาพประกอบโดย สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...