เรื่องเด่น อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๕๒ : คาถาตาทิพย์

ในห้อง 'อดีตที่ผ่านพ้น' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 8 กันยายน 2019.

  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,191
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,510
    ค่าพลัง:
    +26,343
    52.jpg
    อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๕๒ : คาถาตาทิพย์

    “...มาจะกล่าวบทไป ถึงท้าวสหัสนัยน์ตรัยตรึงศา ทิพยอาสน์เคยอ่อนแต่ก่อนมา กระด้างดังศิลาประหลาดใจ จะมีเหตุมั่นแม่นในแดนดิน อมรินทร์เร่งคิดสงสัย จึงสอดส่องทิพยเนตรดูเหตุภัย ก็แจ้งใจในนางรจนา...ฯลฯ”

    บทกลอนที่ยกมานี้ มาจากวรรณคดีเรื่องสังข์ทอง ตอนตีคลี บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของพระอินทร์ เกิดแข็งกระด้างนั่งไม่สบายขึ้นมา เหตุเพราะคนดีกำลังเดือดร้อน พระอินทร์ก็เลยคว้ากล้องส่องทางไกล เอ๊ย...! ส่องทิพยเนตรดูว่าใครเป็นสาเหตุกันแน่...?

    เนื้อเรื่องต่อไปจะเป็นอย่างไรก็ช่างมันเถอะ ที่ติดใจคือคำว่าทิพยเนตรนั่นแหละ ถ้าใครมีละคุณเอ๋ย...แทงไฮโลว์อย่างเดียวก็รวยอื้อแล้ว...! “ไอ้โลภแบบนี้มันน่าไปนรกนิ...!” แฮ่...คิดแค่นี้ ลุงจะลากไปปิ้งซะแล้วไหมล่ะ...!

    “หลวงพ่อ” เคยใช้คาถาดูโปเหมือนกัน ใช้สีผึ้งปิดหน้าคนตายวันเสาร์ เผาวันอังคาร ใช้นิ้วตัวเองทำเป็นก้อนเส้า เสกคาถาหุงสีผึ้ง ตำราว่าทำสามเดือนจะได้ผล แต่ “หลวงพ่อ” ทำแค่ไม่กี่วัน แถมได้แบบสุดยอดซะด้วย...!

    ทีนี้ก็มาลองกัน ปั่นเองแทงเอง มันออกมาตามที่เห็นจริง ๆ กำลังรุมทดลองกันเพลิน ๆ หลวงปู่ปานมาจากเขาวงพระจันทร์ตอนไหนไม่รู้ เอาไม้เท้าล่อกบาลเรียงตัวเลย บังคับให้เอาไปทิ้ง โธ่...น่าเสียดาย...!

    พระรูปที่เอาไปทิ้งเอาซ่อนไว้ในกระเป๋าอังสะ กลับมาบอกหลวงปู่ว่าทิ้งไปแล้ว เลยโดนซะอีกโป๊กเบ้อเร่อ “ชะ..ชะ...แล้วในกระเป๋าอังสะนั่นอะไร...คิดว่าพระแก่ตาไม่ดีเรอะ...?” จ๋อยไปซิ...ต้องเอาไปทิ้งทั้งที่สุดแสนเสียดาย...

    แสดงว่าตาทิพย์แบบดูโป สู้ทิพยจักขุของหลวงปู่ไม่ได้ ซึ่ง “ทิพยจักขุ” แปลว่า “ความรู้สึกทางใจที่รู้ได้เหมือนมีตาทิพย์” ไม่ใช่ทิพยเนตร เพราะทิพยเนตรคือตาทิพย์ มีได้เฉพาะโอปปาติกะประเภทต่าง ๆ เช่น เทวดา พรหม พระบนนิพพาน เป็นต้น

    หลวงปู่มหาอำพัน แห่งวัดเทพศิรินทราวาส ติดคำว่าทิพยเนตรอยู่นาน เพราะคิดว่าเป็นการใช้ตาเห็น ไม่ใช่ใช้ใจเห็น “หลวงพ่อ” เล่าว่า วันแรกที่หลวงปู่มหาอำพันมาหา ท่านเจ้าคุณนรฯ ลอยคุมหลังมาด้วย...

    ท่านเจ้าคุณนรฯ บอก “หลวงพ่อ” ว่า “ท่านช่วยสงเคราะห์น้องชายผมด้วยเถอะ เขาต้องการทิพยเนตรท่าเดียว ผมหมดปัญญาแล้ว...” ซึ่ง “หลวงพ่อ” แนะนำนิดเดียวเท่านั้น หลวงปู่ก็ทำได้ดี เพราะเข้าใจแล้วว่า ตาเห็นกับใจเห็นนั้นต่างกันอย่างไร ภายหลังพอหลวงปู่เล่าเรื่องลูกศิษย์ถูกเชือดคอ เห็นท่านเจ้าคุณนรฯ มาช่วย ท่านย้ำเสียงใสว่า “ใจเห็นนะ ไม่ใช่ตาเห็น...”

    สมัยหลวงพ่อสอบเปรียญ ๔ ตอนนั้นเป็นช่วงสงครามพอดี ครูบาอาจารย์อพยพหนีลูกระเบิดกันหมด เลยไม่ได้เรียน แต่ถึงเวลาก็ไปสอบกับเขา แบบนี้ถ้าสอบได้ก็มหัศจรรย์ล่ะ แต่เหตุมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นจนได้ซิน่า...!

    ท่านปู่พระอินทร์มาบอกคาถาบทหนึ่ง ท่านว่าเป็นคาถากันลืม อ่านหนังสือแล้วจะจำได้ แต่ “หลวงพ่อ” ท่านเรียกว่า “คาถารู้ก่อนเกิด” เพราะบาลีนั้น ถ้าไม่มีครูสอนให้แปล อ่านไปจำได้แต่แปลไม่ได้จะมีประโยชน์อะไร...คาถาว่าดังนี้...

    “สหัสสะเนตโต เทวินโท ทิพจักขุง วิโสธายิ”

    เวลารับกระดาษสอบมาอย่าเพิ่งอ่าน ให้คว่ำกระดาษลงก่อน ให้นึกขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหม และเทวดาทั้งหมด มีท่านปู่พระอินทร์เป็นที่สุด ขอให้ช่วยสงเคราะห์ทำข้อสอบนี้ได้โดยถูกต้อง และถูกใจผู้ตรวจด้วย จากนั้นว่าคาถา ๓ จบ แล้วพลิกอ่านดู ถ้ายังไม่เข้าใจให้คว่ำกระดาษลงใหม่ ว่าคาถาอีก ๗ จบ คราวนี้อยากทำอยากเขียนอะไรให้ลุยได้เลย...!

    “หลวงพ่อ” บอกว่าพอว่าคาถา ๓ จบ แล้วดูข้อสอบ มันแปลได้เกือบครึ่ง ว่าอีก ๗ จบ คราวนี้ทำได้หมดเลย ท่านเขียนแค่ ๑๕ นาทีเสร็จ เอากระดาษคำตอบไปส่ง ท่านเจ้าคุณธรรมปาหังสนาจารย์ ที่คุมห้องสอบถามว่า...

    “จะไม่ทำซะหน่อยรึ...?” “หลวงพ่อ” บอกว่า “เสร็จแล้วครับ” ท่านก็งง ถามว่า “ทวนแล้วยัง...?” “หลวงพ่อ” บอกว่า “ทวนหรือไม่ทวนก็เหมือนกันครับ...” ความหมายของ “หลวงพ่อ” คือ ตกแน่ ๆ แล้วจะไปทวนทำไมให้เสียเวลา...!

    กลับไปนอนตีพุงที่วัดประยุรวงศาวาส วันประกาศผลสอบ พระรูปอื่นนั่งล้อมวิทยุฟังผลกัน “หลวงพ่อ” นอนเขลงอยู่คนเดียว หลังจากประกาศผลไม่นาน เสียงเจ้าคุณธรรมปาหังสนาจารย์ ตะโกนโหวกเหวกว่า...

    “ไอ้มหาสิบห้านาทีอยู่กุฏิไหนวะ...?” มีพระชี้กุฏิให้ ที่แท้ท่านสงสัยว่า “หลวงพ่อ” ทำข้อสอบอย่างไรเร็วนัก เลยจดชื่อ – ฉายา และวัดเอาไว้ ถึงเวลา “หลวงพ่อ” สอบได้จริง ๆ ท่านเลยรีบมา ช่วงสงครามข้าวของหายากยิ่งนัก ท่านอุตส่าห์เอานมกับโอวัลตินมาถวาย “หลวงพ่อ” จนได้...

    นั่น “หลวงพ่อ” ทำ ทีนี้มาถึงตัวอาตมาเอง ตอนเป็นนักเรียนทหารสอบอะไร ๆ ก็ผลออกมายอดเยี่ยม เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ซะเรื่อยไป แม้แต่วิชาแผนที่ – เข็มทิศ ที่เป็นยาขมหม้อใหญ่ ก็ไม่เห็นยากสักนิด แต่บังเอิญตัวเองความจำดี เลยแยกไม่ถูกว่าเป็นอานุภาพของคาถา หรือตัวเองจำแม่นกันแน่...?

    พอมาบวชเข้าคราวนี้ชัดเลย สอบนักธรรมไม่ว่าจะเป็นนวกะ ตรี โท เอก อ่านหนังสือเองแล้วไปอาศัยสนามสอบในเมือง วิธีอ่านหนังสือคือ เอาหนังสือวางบนอกแล้วกรนคร่อก ๆ ตามสบาย...

    เที่ยงจะไปสอบ เช้ายังนอนตีพุงอยู่เลย พอรับข้อสอบมา คว่ำกระดาษว่าคาถาซะรวดเดียว ๑๐ จบ แล้วตะลุยโลด รู้สึกมีพลังลึกลับแทรกมาทางขม่อม มันให้รู้ไปหมด ว่าควรเขียนอย่างไร ควรตอบอย่างไร...!

    ๑๕ นาทีเสร็จเหมือนกัน ส่งกระดาษคำตอบแล้วกลับมานอนต่อ ใช้วิธีแบบนี้มาตลอด สอบได้ทุกที คะแนนยอดเยี่ยมซะด้วย จนพนันกันว่า ถ้าอาตมาสอบตกจะต้องเลี้ยงโต๊ะจีนทั้งวัด จนป่านนี้ยังไม่มีใครได้ฉันสักคน...!

    ตอนสอบนักธรรมเอก อาตมาป่วยเป็นไวรัสลงตับ ซังกะตายไปสอบอย่างนั้นเอง หนังสือตั้งเบ้อเร่อออกแค่ ๗ ข้อ น่าตกหยอกใครล่ะ...แถมป่วยจนไม่ได้อ่านด้วย ก็ต้องเล่นคาถาตามเคยซิ...!

    พอว่าคาถาจบ มือมันเขียนเองจนบังคับแทบไม่ได้ ตอนไหนเสือกรู้ดีไปแก้ ความรู้จะขาดวับไปเลย ทำต่อไม่ได้ จนยอมตอบตามความรู้สึกนั่นแหละ จึงต่อติดทำได้เหมือนเดิม จะยากง่ายแค่ไหนก็ ๑๕ นาทีเสร็จ...

    ถ้ากรรมการออกข้อสอบรู้ว่า ข้อสอบที่ท่านพยายามเค้นออกมาเล่มละ ๑ ข้อนั้น คนไม่อ่านหนังสือก็ทำได้ คงแค้นจนแทบกระอักโลหิตตาย ก็ช่วยไม่ได้นี่ครับ “หลวงพ่อ” ของผมเก่งนี่นา...!

    ๑๓ เมษายน ๒๕๓๓
    พระใบฎีกาเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    หมายเหตุ :
    ตอนนั้นหมอวินิจฉัยว่าเป็นไวรัสลงตับ มาตอนนี้ทราบชัดว่าที่จริงแล้วเป็นมาลาเรีย...!

    ๙ สิงหาคม ๒๕๔๙
    พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ


    ที่มา www.watthakhanun.com
    ภาพประกอบโดย สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...