ร่วมทำบุญบูชา สำเร็จครูประทับมหาสมาคมฟ้าสลับหัว(เคลียร์สะสางมหากาลไม่ทำร้าย) พ่ออาจารย์พล

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย คุรุปาละ, 12 ตุลาคม 2014.

  1. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,528
    พระผงยกชาติกำเนิดสังสาระดวงธาตุเจ้าสวรรค์อรรยมัน(สหายร่วมทุกข์ เปลี่ยนฐานะ)

    เลขบัญชีการโอนแจ้งตอนจองในกล่องข้อความ

    การร่วมทำบุญในนามคณะศิษย์ พ่ออาจารย์พล

    ก็มีหลายท่านบอกกล่าวมา เกี่ยวกับเรื่องการทำบุญ

    ดังนั้นเราจึงขออนุญาติพูดเสียทีเดียว ว่าปัจจัยที่ได้จากการบูชาวัตถุมงคลต่างๆนั้น พ่ออาจารย์ท่านจะแบ่งออกไปทำบุญตามวาระเเละโอกาสต่างๆ เช่นมูลนิธิเด็ก โรงพญาบาล การบูรณะศาสนสถานต่างๆ

    แต่ทั้งนี้ที่ผ่านมาเราก็ไม่มีการเรียนให้ทราบ ประกอบกับไม่ได้สนใจที่จะบอกกล่าวเรื่องเหล่านี้แก่ผู้ใด ดังนั้นจึงมีผู้เสนอความคิดว่าเวลาทำอะไรก็ควรทำให้ชัดเจนไปเลย เพราะผมอยู่ตรงนี้ผมก็เป็นสื่อกลาง การนำเสนอข่าวสารข้อมูลจะขี้เกียจหรือพูดลอยๆไม่ได้

    เมื่อเป็นเช่นนี้จึงได้เรียนปรึกษาพ่ออาจารย์ ท่านก็มีดำริว่าให้พูดไปให้ชัดเจน เวลาจะทำว่า ทำที่ไหน เป็นจำนวนเท่าไหร่ เช่นนี้เพื่อความสบายใจและจะได้อนุโมทนาบุญกันในนามคณะศิษย์ของพ่ออาจารย์พล ให้ได้ทั้งบุญและของดีไปกันแบบเต็มที่

    ซึ่งพ่ออาจารย์ท่านได้ปรึกษาเเละได้มีดำริว่า การทำบุญนั้น จะทำเมื่อถึงกาลถึงโอกาส เมื่อมีผู้เสนอเเละขอหรือเห็นความยากลำบากของศาสนสถานต่างๆเช่นนี้ โดยจะรวบรวมจตุปัจจัยจากการเช่าบูชาวัตถุมงคลตรงนี้ไปทำบุญต่อไป ให้เป็นการต่อยอดเเละเสริมบารมีให้กับคนที่เขายึดมั่นพระรัตนตรัยและนับถือในตัวเราให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป


    ก็เอาเป็นว่าต่อไปเราจะเน้นที่ผลสำเร็จกัน เราจะไม่พูดลอยๆไม่มีโครงการในฝันใดๆทั้งสิ้นมาบอกบุญเพื่อกล่าวอ้างอะไร แต่จะยึดมติของพ่ออาจารย์ท่าน คืออยากทำก็ลุยทันทีตามอุปนิสัยขรึมๆของท่าน กล่าวได้ง่ายๆว่าเมื่อสะสมรวบรวมปัจจัยจากการเช่าหาบูชาได้จำนวนหนึ่ง ท่านก็จะนำไปบริจาค หรือให้ตัวเเทนนำไปมอบให้กับศาสนสถานที่ทรุดโทรมต่างๆ


    ซึ่งครั้งนี้เราจะทำให้เห็นชัด นั่นคือ มีการบอกจำนวนเงินเเละถ่ายรูปตลอดจนขอใบอนุโมทนาบัตรมาเป็นหลักฐานให้ครบถ้วนทุกประการ แต่อาจจะเป็นการค่อยๆทยอยๆทำหลายๆที่ หรืออาจจะนานหน่อยหลายๆเดือนจึงจะทำซักครั้ง ทั้งนี้เพราะ ท่านต้องการให้สำเร็จประโยชน์สูงสุด เก็บรวบรวมไว้ได้ในจำนวนมากเเละทำไม่ใช่ทำร้อยสองร้อยพันสองพัน แต่โดยปกติท่านทำขั้นต่ำครั้งละหมื่นหรือแสนและที่ผ่านมาก็ไม่เคยขอใบอนุโมทนาบัตรหรือหลักฐานอะไรแต่อย่างใด เพราะท่านถือว่าทำเพื่อความสบายใจ ทำเพื่อปล่อยวางให้พ้นให้ว่าง ไม่ได้ทำเพื่อเอาหน้าหรือต้องไปป่าวประกาศผู้ใด


    แต่ทั้งนี้เพื่อความชัดเจน ก็เลยเป็นหน้าที่ของผม ต่อไปเราจะมาร่วมทำบุญกัน ล่าสุดก็จะมีตะกรุดอยู่ 2 ชนิด อันนี้ท่านตั้งใจเลยว่าจะนำปัจจัยไปสะสมรวมไว้เพื่อเป็นทุนการศึกษาให้เด็กยากไร้ที่ห่างไกลความเจริญไม่มีผู้ปกครองอุปถัมภ์ ใครอยากทำบุญตรงนี้ก็บูชาตะกรุดทั้งสองชนิดนี้ได้เช่นนี้เป็นต้น


    ก็เรียนมาเพื่อความสบายใจและทำความเข้าใจให้ตรงกัน


    เปิดสั่งจองวัตถุมงคลสายบารมีคู่บุญ คู่ชีวิต (มงคลประจำกาย)

    ลิ๊งค์เวปพ่ออาจารย์พล(ท่านพ่อพล ธรรมราช สื่อกลางจองบูชาวัตถุมงคล พ่ออาจารย์พล ธรรมราช)


    ยับยั้งช่างใจอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจเป็นสะพานบุญให้กับผู้ต้องการบูชาวัตถุมงคลของท่าน

    เนื่องจากวิธีใช้เเละข้อปฏิบัติในการใช้วัตถุมงคลของพ่อพลนั้น ค่อนข้างละเอียด กลัวว่าผู้บูชาจะนำไปใช้ผิดพลาดหรือไม่ถูกไม่ควรเสียมากเเละอาจารย์พ่อท่านเก็บตัวไม่ยุ่งไม่สุงสิงกับโลกภายนอกเท่าที่ควร จึงมีเเต่ลูกศิษย์ใกล้ชิดที่บอกกันในลักษณะปากต่อปากเท่านั้น

    แต่ประสบการณ์ของวัตถุมงคลของอาจารย์พ่อท่านก็มี ชนิดที่เรียกได้ว่าหนาหูเเละมากมายจากบรรดาลูกศิษย์ที่เล่าให้ฟัง ประจวบกับเราได้ลองใช้ได้รับฟังหลักคำสอนของท่านเราคิดว่าโอเคจึงขออนุญาติเพื่อเปิดกระทู้เผยเเพร่เกียรติคุณครูบาอาจารย์

    ภาพแอบถ่ายพ่ออาจารย์ซึ่งปกติท่านจะไม่ยอมถ่ายรูปซักเท่าไหร่ เป็นภาพอิริยาบทกิจวัตรประจำวันของท่าน ทุกเช้าทุกเย็นท่านจะอยู่เเบบนี้

    ใครโอนค่าอะไรจะสั่งบูชาอะไรมา เเจ้งรายละเอียดพร้อมที่อยู่จัดส่งทางPMเลยนะครับ ที่จริงอยากใช้ระบนี้มากๆ ด้านหน้าอยากจะไว้ให้กับเนื้อหาเเละการเเสดงความคิดเห็นจะสั่งจะโอน เข้าPMมันดูมีระบบดี จะได้ไม่เปลืองหน้าเวลาเปิดหาอะไรจะได้ดูง่ายๆ

    คยบอกกล่าวกันไป เรื่องเครื่องมงคลนั้นท่านมักจะพูดเสมอว่าทำเพียงเพื่อรักษาสิ่งที่เรียนมาเอาไว้ ดังนั้นผมจึงนำมาโพสต์ให้บูชา ซึ่งในกระทู้นี้ก็ไม่ได้บังคับอะไรให้ใครมาเช่า หากสังเกตุเครื่องมงคลของท่านมีหลายชนิดเนื่องจากแต่ละรายการนั้นสร้างเพียงเล็กน้อย ที่ว่าน้อยคือน้อยมากจริงๆรุ่นๆหนึ่งสิบกว่าองค์ ไม่ได้สร้างเป็นร้อยเป็นพันแต่อย่างใด เพื่อให้มีคุณค่าในตัวของมันเอง มีคนโทรมาถามผมหลายท่านว่าทำไมแต่ละแบบท่านถึงทำน้อยนัก ท่านว่าท่านอยากเอามวลสารล้วนๆทำ ทำให้ดีเน้นเอาที่คุณภาพมากกว่าปริมาณ และของส่วนใหญ่ก็หมดไปแล้ว

    ตัวท่านมักจะพูดเป็นประจำว่าลำพังทำเท่านี้เวลาก็เหลือไม่มากแล้ว ท่านจึงปรารถนาจะรักษาความสงบด้วยไม่ชอบความวุ่นวาน และเหลือเวลาและพื้นที่ไว้ให้ตัวท่านเองได้ปฏิบัติธรรมบ้าง เคยมีคนถามผมว่าทำไมปฏิบัติธรรมจึงสร้างเครื่องรางสายเสน่ห์ ท่านว่าท่านเป็นฆราวาสยังพอจะทำได้ เพราะถ้าเป็นพระจะติดข้อห้ามที่จะยุ่งกับทางเสน่ห์นั้นมิได้เลย ดังนั้นที่ทำก็ทำขึ้นมาโดยคิดเสมอว่าคนทำไม่ได้ใช้ ทำเพื่อรักษาเอาไว้เพียงเท่านั้น อันนี้ก็เรียนทำความเข้าใจมาอีกที

    กระทู้นี้เราเปิดขึ้นมาเรื่องหลักเลยที่ผมคิดว่าหลายๆคนน่าจะได้รับกันคือ หลักธรรมข้อธรรมต่างๆที่ท่านสอนและเข้าใจง่ายๆ และการตอบปัญหา ซึ่งให้โอกาสทุกคนเท่ากัน ได้ถามPM กันเข้ามา ไม่ว่าจะเรื่องปัญหาอะไรก็ตามทีและก็จะรวบรวมให้ท่านตอบ วิสัชนาให้ เราเองก็พิมพ์ตอบกลับไป ผมมองว่าตรงนี้มันเป็นประโยชน์ใหญ่ ใหญ่กว่าเรื่องเครื่องรางของขลังใดๆ เพราะมันคือการตอบคำถาม บางคนติดขัดอะไรก็ได้เคลียร์คลายความสงสัย ต้องการคำแนะนำหรือข้อคิดอะไรก็ได้ถามได้ตอบ ท่านว่าสร้างกำลังใจให้คนเขาแบบนี้ได้บุญมากเพราะคือการให้แบบหนึ่ง เป็นการช่วยเหลือคนโดยวิธีหนึ่งตามความรู้ของท่าน ไม่ได้เรียกร้องให้ใครมาพบมาเจอ สร้างบุญคุณ ต้องตอบแทนอะไร ให้เป็นภาระ ให้ความวุ่นวายตามมา ท่านว่าเช่นนั้นท่านเองก็ไม่สบายใจ เพราะว่าเรารู้อยู่แล้วว่าอะไรเป็นเหตุแห่งความวุ่นวาย จะต้องระงับตรงไหนทำอย่างไรมันถึงจะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นกระทู้นี้จึงเน้นที่คำถาม ถ้าจะถามจะปรึกษาทุกคำถามให้ส่ง PM เข้ามาได้เลย จะได้รับข้อความตอบกลับอย่างรวดเร็วเสมอและไม่คิดค่าบริการ หรือต้องทำบุญใดๆทั้งสิ้น อาจจะตกหล่นบ้างหรือลืมบ้างก็เป็นความผิดที่ผมเองเพราะวันๆหนึ่งเจอหลายคำถามและหลายรูปแบบจริงๆ เฉพาะคนที่เขาแอดไลน์มาถาม ทิ้งคำถามไว้แล้วหายไป อยากรู้อะไรก็มาพิมพ์ถามไว้ต่อ แบบนี้วันๆหนึ่งก็มีหลายคนแล้ว อันนี้ก็เรียนมาเพื่อทำความเข้าใจอีกครั้ง ว่าหลักการของกระทู้นี้ยังเป็นแบบนี้เสมอมา

    อยากเน้นตรงที่วิทยาทานมากกว่าเรื่องเครื่องมงคลต่างๆ ท่านจึงได้ให้ตั้งกฏว่าถ้าจะจองอะไรก็ให้เค้าส่งข้อความมา จะถามอะไรก็PM เข้ามา เพื่อที่กระทู้นี้จะได้ไม่รก ด้านหน้าจะได้อ่านกันง่ายๆ ซึ่งก็ดำเนินการเช่นนี้และได้รับผลตอบรับความร่วมมือที่ดีมาตลอด และผมก็เชื่อว่าหลายคนคงจะพอสัมผัสกันได้ว่าเราดำเนินกระทู้เช่นนี้มาตลอด อยากให้เปิดกระทู้นี้ขึ้นมาอ่าน แล้วสิ่งหนึ่งที่ได้กลับไปเสมอ คือเติมเต็มความมั่นใจของตัวเอง มีกำลังใจในการใช้ชีวิต

    หากใครต้องการบูชาให้โอนปัจจัยโดยไม่หักค่าใช้จ่ายเเต่อย่างใดและโอนค่าจัดส่งให้กับผม100บาท ซึ่งผมคิดเป็นครั้งละ100บาท โดยจะดำเนินการส่งemsให้โดยเฉพาะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SAM_3666.JPG
      SAM_3666.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.5 MB
      เปิดดู:
      18,519
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2023
  2. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,528
    ชีวประวัติโดยสังเขป

    หากถามว่าอาจารย์พ่อเป็นใคร ท่านเป็นฆราวาส ในสายตาของเหล่าลูกศิษย์ท่านเป็นฆราวาสที่หมดจดไม่แปดเปื้อนสมควรจะเป็นพระมากกว่าฆราวาสด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงเรียกกันติดปากว่าอาจารย์พ่อ เนื่องจากท่านรักเเละเมตตาพวกเราเหมือนพ่อที่เมตตาลูก

    อาจารย์พ่อท่านเป็นศิษย์รับใช้หลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล และหลวงปู่ดุลย์ วัดบูรพา จะเรียกว่าท่านเป็นศิษย์สายพระอาจารย์มั่นก็ได้ หากท่านบวชท่านจะเจริญในกรรมฐานเเละมีคุณธรรมเปี่ยมล้นมากกว่านี้แน่นอน นอกจากนี้ท่านยังเป็นศิษย์อีกหลายอาจารย์ที่ไม่สามารถเอ่ยนามได้ เพราะว่าท่าน มักจะปรามเราเสมอว่าอย่าเอาชื่อครูบาอาจารย์ไปขาย ไม่จำเป็นก็อย่าได้กล่าวถึงท่าน

    หลวงปู่ดุลย์ เคยถอนหายใจพูดกับอาจารย์พ่อตอนบวชอยู่คำนึงว่า น่าเสียดายของเก่าสะสมมาเยอะ กลัวเเต่จะเดินผิดทาง ซึ่งก็เป็นตามนั้นจริงๆ อาจารย์พ่อช่วงวัยหนุ่ม ท่านได้ศึกษาพระเวทย์เเละไสยศาสตร์แบบลึกซึ้งชนิดเรียกว่าท่านทำเองใช้เองเลยทีเดียว(ลองกับตัวเอง) ครูบาอาจารย์พาเข้าป่าดักปรอท ท่านมักจะเล่าว่าอาจารย์ของท่านเเค่สังเกตุว่าจุดตรงไหนที่ไหนจะมีปรอท ท่านก็จะเดินไปเอามือตบพื้นตรงนั้นเพียงเเค่นั้นท่านก็จะได้ปรอทกลับมาเต็มอุ้งมือท่าน หรือเรื่องของผลไม้บางชนิดในป่าที่ว่ากินเเล้วจะมีอายุยืนเช่นหลวงปู่สุภาเป็นต้น

    อาจารย์พ่อท่านได้สึกออกมาใช้ชีวิตฆราวาส เรียกได้ว่าใช้แบบคุ้มค่า เป็นไปตามปากหลวงปู่ดุลย์ วัดบูรพา เคยกล่าวไว้ทุกประการไม่ผิดเพี้ยนเลย ท่านไปหมู่บ้านไหน ภาคไหนได้เมียที่นั่นหมด พอได้เเล้วหากจะมีการจับหรือการผูกมัดท่านให้เเต่งงานท่านก็จะหนีมาเรื่อยๆเนื่องจากท่านไม่ชอบอยู่กับที่ ท่านเล่าให้ฟังว่าท่านไปมาหมดทั้งเหนือใต้กลางอีสาน มีเมียอยู่ทุกภาค เเม้รูปถ่ายของเเต่ละคนท่านก็ยังเก็บไว้เรียกได้ว่างามหยาดเยิ้ม ไม่รู้ท่านทิ้งมาได้อย่างไร เพราะท่านศึกษาทางด้านเสน่ห์มากอาจจะร้อนวิชาในช่วงนั้น

    กล่าวได้ว่าในหมู่ลูกศิษย์ ชีวิตอาจารย์พ่อของเรายิ่งกว่าขุนแผนเสียอีก

    หากได้รับรู้ถึงประวัติท่าน ก็เเน่ล่ะใครจะไปคิดว่าจะมีเหตุการณ์ให้กลับตัวจากหน้ามือมาเป็นหลังมือได้

    อาจารย์พ่อได้มีโอกาสไปกราบเยี่ยมหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง ซึ่งในตอนนั้นท่านดังในเรื่องมโนมยิทธิมาก

    อาจารย์พ่อท่านซื้อสังฆทานเข้าไปถวายหลวงพ่อฤาษี และคิดว่าจะไปหาวัตถุมงคลของหลวงพ่อฤาษีมาลองพกติดตัวแต่เหตุการณ์แปลกประหลาดก็เกิดขึ้น หลวงพ่อฤาษีได้กล่าวกับอาจารย์พ่อพลว่า

    "จะไปซื้อไปหามันทำไม เอ็งนี่นะมันก็แค่ของเล่นทั้งนั้น พูดพลางท่านเอามือกวนในถังสังฆทานจับร่มหลับตาอธิษฐานจิตพักนึง ท่านก็หยิบร่มในถังสังฆทานยื่นให้อาจารย์พ่อพร้อมกับกล่าวว่า ร่มนี่ยังแรงกว่าอีก
    ของเก่าเอ็งทำมามาก อะไรผิดอะไรถูกเอ็งก็รู้ดีแก่ใจ ถ้าเอ็งอยากได้ของพวกนี้เอ็งทำเองเผลอๆจะเเรงกว่าที่พวกมันขายๆกันอยู่นั่นอีก
    ชีวิตของเอ็งควรจะกลับตัวได้เเล้ว อย่าให้เดือดร้อนต้องให้ครูบาอาจารย์บอกกล่าวอีกนะ(ในตอนนั้น ครูบาอาจารย์ของอาจารย์พ่อ ทั้งหลวงปู่ขาว หลวงปู่ดุลย์มรณภาพหมดเเล้ว)"

    หลังจากการสนทนาเล็กๆวันนั้น เหมือนสติเเละความเห็นผิดเห็นชอบตลอดจนบาปกรรมทั้งหลายที่เคยตามหลอกหลอน ได้ประมวลกลับมาหมด ท่านจึงตั้งสติเเละลงหลักปักฐานมีภรรยาเเต่งงานอยู่ที่กรุงเทพและได้กลับไปหาบิดามารดาของท่าน

    แต่ก็ช้าไปเสียเเล้ว บิดาได้เสียชีวิตเเละยังถูกโกงที่ดินอีกจำนวนมาก (อาจารย์พ่อท่านเป็นลูกหลานขุนนางเก่า)ปู่ท่านเป็นท่านขุน
    ส่วนมารดานั้นเห็นบุตรหายสาบสูญไปถึงกับตั้งรูปเคารพเเทนศพกราบไหว้จุดธูปตั้งเครื่องเซ่นให้ทุกวัน

    เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ อาจารย์พ่อจึงได้หันมาตั้งหลักใหม่เพราะท่านซึ้งใจเเละสงสารมารดาของท่าน ท่านได้กราบขอขมาเเละขออโหสิกรรมทั้งหลายกับมารดาของท่านหลังจากนั้นจึงเปลี่ยนตัวเองใช้วิชาความรู้เพื่อสงเคราะห์คนตามความรู้ความสามารถ แต่ก็ค่อยๆทำเเละก็ตั้งกฏเหล็กให้ปฏิบัติสำหรับผู้ที่จะใช้หรือบูชาวัตถุมงคลของท่าน

    มีหลายครั้งที่ลูกศิษย์ที่จะมากราบท่านปฏิเสธไป บางครั้งได้เจอท่านในหน้าที่การงานเเละกราบท่าน ต่างก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ได้กราบพระโสดาบันในคราบของฆราวาส กราบได้สนิทใจมาก

    แม้บางครั้งลูกศิษย์จะชวนท่านไปกินอาหารนอกบ้านหรือไปดื่มไปงานมงคลต่างๆท่านก็มักปฏิเสธ เนื่องจากท่านมีภารกิจของท่านที่ต้องทำมากและเเน่นอนอาจารย์ท่านไม่กินเหล้า ดูดบุหรี่ เที่ยวกลางคืนเเละติดการพนันเรื่องเหล่านี้ไม่มี ถึงอายุจะมากเเม้มีเด็กสาวสวยๆมาให้ท่าท่านถึงบ้าน(อันนี้เห็นกับตา) ท่านก็เมินเฉยไม่ได้สนใจ

    หากมีใครถามท่านมักจะกล่าวว่า เราเคยทำผิดมาก่อนเเละเราก็รับสัตย์กับพระพรหมไว้เเล้ว ว่าเราจะเลิกทั้งเหล้าทั้งบุหรี่รวมถึงเรื่องอื่นๆ ดังนั้นจึงกลายเป็นว่าเหล่าลูกศิษย์กลัวอาจารย์จะเสียสัตย์ต่อองค์พรหมก็เป็นอันว่าเลิกชวนไป(อาจารย์ท่านไม่ใช่ร่างทรงนะครับ)

    ชีวิตท่านหลังจากท่านกลับตัวท่านจะหนักไปในทางกรรมฐานเสียมากเรียกได้ว่ากลางคืนพอ5ทุ่มท่านจะเริ่มเข้ากรรมฐาน ท่านจะใช้ชวนะสูตรในการปฏิบัติของท่าน

    หากถามท่านว่าคืออะไรชวนะสูตร ท่านจะบอกว่าเป็นสิ่งที่เราเองก็ไม่เคยเรียนเเละไม่เคยรู้ แต่หลังจากปฏิบัติเเล้วหนทางเเนวทางมันก็เปิด มีคนมาสอนเราให้ทำกรรมฐานโดยใช้เเนวทางนี้พัฒาการฝึกทางจิต (อันนี้ก็เป็นเรื่องเหนือโลก)ฟังหูไว้หู เพราะผมได้ลองไปถามครูบาอาจารย์ที่เป็นพระเกจิดังๆก็ไม่มีใครรู้จักแต่กลับปรากฏว่ามีเเนวทางนี้อยู่จริงจนเเทบจะกลายเป็นที่ลืมเลือนไปแล้ว ซึ่งอาจารย์พ่อได้ลองเอามาให้อ่านเรียกได้ว่างงมาก คุณธรรมต่ำเตี้ยเรี่ยดินเเบบเราเเม้จะพออ่านขอมออกบ้างแต่ก็ไม่รู้เรื่องเเละไม่เข้าใจเลย เริ่ม3บรรทัดเเรกก็งงเเล้ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • untitled.png
      untitled.png
      ขนาดไฟล์:
      89.8 KB
      เปิดดู:
      883
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ตุลาคม 2014
  3. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,528
    หมวดหมู่วัตถุมงคล

    *อัพเดทหน้าหลังสุด

    พระเครื่อง

    ตะกรุด

    เครื่องราง

    คำสอน

    คาถาอาคม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2015
  4. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,528
    บรมพรหมสหัมบดี

    อาจารย์พ่อ ท่านมีบุคลิกพิเศษคือหลังเลิกงานท่านจะนุ่งขาวห่มขาวเป็นประจำคือชุดขาวกางเกงขาว

    เมื่อก่อนท่านจะชอบสวดยอดพระกัณมาก ท่านกล่าวว่าเราสวดมนต์ทำวัตรปกติเเละจะต่อด้วยยอดพระกัณ108จบ (เราฟังยังอึ้ง) ท่านบอกว่าฟังไม่ผิดเราสวดแบบนี้ทุกครั้งก่อนจะออกไปทำงาน จนเกือบถูกไล่ออกจากงาน และก็ด้วยบารมีท่านตอนท่านอยู่บ้านหลังเก่า จะมีจิ้งจกเก้าหาง อันนี้ท่านยืนยันเเละศิษย์ยุคเก่าๆก็ยืนยันว่าเห็นกับตา ท่านว่าจิ้งจกนะไม่ใช่จิ้งจอก จิ้งจกเก้าหางตัวเป็นๆขาวๆอ้วนๆจะมาอยู่ตรงโต๊ะหมู่ท่าน ฟังท่านสวดมนต์เป็นประจำ พอท่านคิดจะจับมาเลี้ยงเท่านั้นหายไปทันทีเเละไม่เคยมาปรากฏอีกเลยซึ่งจิ้งจกตัวนี้จะเป็นที่คุ้นตากันดีในหมู่ศิษย์ที่เคยเห็น อาจารย์พ่อท่านบอกว่าเป็นเทพพรหมท่านลงมาฟังการสวดสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้า

    อีกเรื่องก็คือพระพรหม เป็นที่รู้กันในหมู่ศิษย์ว่าอาจารย์พ่อท่านมีสื่อพิเศษกับพระพรหมที่ชื่อสหัมบดีเเละพระพรหมองค์นี้เเหละที่ท่านรับสัตย์เลิกเหล้าเลิกบุหรี่กลับตัวทุกสิ่งทุกอย่างด้วย เเละดูเหมือนอาจารย์พ่อจะเกรงและกลัวพระพรหมองค์นี้มากๆ เพราะทุกเรื่องที่รับปากพระพรหมสหัมบดีไว้อาจารย์ไม่เคยผิดสัจจะเลย

    ท่านว่าเวลาเสกของหากตัวอาจารย์พ่อไม่มีเวลาเสกก็ให้เอาขึ้นไปไว้กับท่าน ท่านจะเสกให้ก็ปรากฏเป็นเรื่องจริง ในสมัยเเรกที่อาจารย์มีสื่อกับพระพรหมสหัมบดีนั้นท่านได้ให้จัดหารูปองค์ท่านมาทำพิธีให้เป็นพรหมประจำตัวของอาจารย์ อาจารย์พ่อก็ไปซื้อรูปหล่อพระพรหมองค์เล็กๆหน้าตัด4นิ้วได้ที่เสาชิงช้าเล็กเเละเบามากเเล้วก็ทำที่ประดิษฐานวางบูชาซึ่งท่านใช้ไม้เเละเหล็ก ท่านทำของท่านเอง

    เมื่อวางไว้เรียบร้อยพออาจารย์พ่อทำพิธี เเดดจ้าๆกลับมืดฟ้ามัวดินเรื่องนี้เราเห็นกับตาเเละเเท่นที่วางรับองค์พรหมสหัมบดีองค์เล็กๆนั้นก็ดังเอี๊ยดอ๊าดต่อหน้าต่อตาทุกคนเหมือนมีคนตัวใหญ่ๆลงมานั่งประทับลงไปอย่างไรอย่างนั้น นี่ก็เป็นอีกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อาจารย์พ่อเคารพมากและมักจะขอคำเเนะนำท่านประจำเเละยังเป็นครูที่ลูกศิษย์เคารพด้วย
     
  5. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,528
    สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) วัดระฆัง

    อีกหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อาจารย์พ่อเคารพเป็นครูบาอาจารย์เเละไม่ปรารถนาจะเปิดเผยซักเท่าไหร่เพราะมันเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของท่านในเรื่องของการระลึกชาตินั่นเอง

    อาจารย์พ่อได้เปิดเผยว่า มีครูบาอาจารย์หลายรูปไม่กล้าเสกของทับเรายันต์ที่เราขียนเราเสกพอเอาไปให้หลวงพ่อดังๆเสกเค้าก็จะพูดกลับมาว่าจะให้ลงอะไร ลงมาเต็มขนาดนี้เเล้ว ชานหมากที่ท่านเคี้ยวพระเกจิบางรูปก็บอกว่าเย็นมาก เคยมีพระชื่อดัง(ขอสงวนนาม) ที่รู้จักกับท่าน ถึงกับออกปากว่าไม่ต้องมาบูชาพระเครื่องของเราหรอกท่านทำเองเหอะ เมื่อคืนเรานั่งดูท่านเเล้วของเก่าท่านไม่ธรรมดาเเต่ก็ไม่ปรากฏว่าจะมีใครพูดอะไรที่เกินนี้เลย ชอบพูดถึงของเก่าอะไรทำนองนี้เสียมาก

    ในเรื่องของเก่าหรืออะไรทำนองนี้เราก็สงสัย จนเราสามารถง้างปากพ่ออาจารย์ได้ ว่าท่านสามารถระลึกชาติได้ ในอดีตท่านเคยเป็นสามเณรรับใช้เทกระโถนยกถาดภัตตาหารตลอดจนรับใช้ใกล้ชิดสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)ท่านเเละก็ได้ร่วมติดตามตลอดจนศึกษาวิชาความรู้ต่างๆโดยตรงจากท่าน

    วัตถุมงคลที่นำมาให้พ่ออาจารย์พลเสกนั้น ท่านจะไม่เสกของท่านเพียงคนเดียว ท่านจะเชิญองค์อาจารย์ก็คือสมเด็จพระพุฒาจารย์มาร่วมด้วยทุกครั้งเรียกได้ว่าช่วยกัน บางครั้งลูกศิษย์ไปหาท่าน บ้านท่านจะปิดไฟ พอถึงหน้าโต๊ะหมู่ที่ท่านทำพิธีจะเห็นเงาคนเเก่ตะครุ่มๆ นั่งอยู่บนโต๊ะหมู่นั้น เป็นเงาของพระเเก่ๆซึ่งอยู่ใกล้กับเรามากชนิดที่ว่าขาแข็งทำอะไรไม่ถูกพอกดเปิดไฟปุ้ปก็กลายเป็นโต๊ะหมู่ว่างเปล่าไม่ปรากฏอะไรให้เห็น ซึ่งเรื่องนี้เราเห็นกับตาเเละก็มีลูกศิษย์อีกหลายคนที่เคยเจอ เมื่ออาจารย์พ่อกลับมาท่านก็จะบอกว่าเราให้สมเด็จครูท่านช่วยเสกของไว้ตั้งเเต่เมื่อคืน ก็เป็นอันเข้าใจในสื่อเเละความผูกพันของศิษย์อาจารย์ทั้งสองท่านนี้

    ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องอจิณไตยเเละยากที่จะเชื่อคล้ายๆผีหลอกตอนกลางวัน ต้องใช้วิจารณญาณในการเชื่อเเต่ถ้าได้พบเห็นหรือสัมผัสด้วยตัวเองก็จะเชื่อแบบสนิทใจ ซึ่งในประเด็นนี้ผมสนิทใจเเล้ว หากเป็นคนเจอผีก็จะต้องบอกว่าผีที่นี่เฮี้ยนมาก แต่หากนี่ไม่ใช่ผีเเต่เป็นพระอริยสงฆ์ในอดีตนั่นเอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • somdajto.jpg
      somdajto.jpg
      ขนาดไฟล์:
      28.8 KB
      เปิดดู:
      1,190
  6. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,528
    เรื่องเกี่ยวกับความเชื่อและวัตถุมงคล

    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พ่ออาจารย์พูดย้ำ พูดเสมอและสอนบ่อยจนจำติดหู

    วัตถุมงคลนั้นมีไว้ให้เป็นเครื่องยึดหน่วงจิตใจ คนสมัยก่อนจะเคารพนับถือเเละยำเกรงรูปพระพุทธเจ้ามาก ถึงขนาดไม่กล้านำเข้าบ้าน ถือว่าไม่สมควรเพราะบ้านเป็นสถานที่ ที่คนจะกระทำการอะไรทั้งหลายตามใจตัวเองได้เสมอ เเต่ภายหลังศีลธรรมตกต่ำลง

    ครูบาอาจารย์เจ้าท่านก็คิดสิ่งยึดหน่วงจิตใจให้เรา ให้เราคิดดีไม่กล้าประกอบกรรมทำชั่ว ให้เราห้อยพระพกเครื่องรางต่างๆ ให้ความรู้สึกเราถูกยึดหน่วงกับวัตถุที่ท่านสร้างขึ้น อย่างน้อยจะทำอะไรก็ให้มียางอาย อายพระในคอท่านบ้างเรายกรูปเปรียบสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาไว้ในคอพาท่านไปไหนต่อไหนด้วย ตะกรุดเครื่องรางต่างๆก็ลงด้วยหัวใจคาถายันต์ซึ่งตัดทอนมาจากพระปริตรพระพุทธพจน์พระพุทธวจนะต่างๆ มีสิ่งเหล่านี้คอยเตือนใจจะได้ไม่กล้าทำตัวให้ตกลงต่ำ

    ซึ่งกุศโลบายต่างๆเหล่านี้ของพระเถระเจ้ายุคก่อนก็ได้ผล แต่เราต้องสังเกตุให้ดีหลังยุค2500ยิ่งยุคปัจจุบันนี้กุศโลบายเหล่านี้ล้วนแทบจะไม่มีผลอะไรเเล้ว เนื่องจากคนห้อยพระเป็นค่านิยมหวังเป็นเงินเป็นทองมากเกินไปก็มี หวังพึ่งพุทธคุณมากเกินไปก็มี ห้อยเป็นเครื่องประดับอวดฐานะความมีอันจะกินก็มี ไม่ได้นึกถึงวัตถุประสงค์เเละเป้าหมายของเครื่องมงคลนั้นๆ แบบนี้ห้อยไปก็หนักคอเปล่า

    หนักกว่านั้นคนทั้งหลายก็คิดประดิษฐ์เครื่องรางแปลกๆขึ้นมาห้อยคอ แทนที่จะใช้ห้อยเพื่อให้ตัวเองมีสติไม่กล้าทำชั่วเกรงกลัวละอายใจต่อบาป กลับกลายเป็นมีเครื่องรางที่พกไว้ให้ทำบาป ไปหลอกลวงเค้าโขมยของเค้า ไปพรากลูกพรากเมียเค้าซึ่งมันกลับจากหน้ามือกลายเป็นหลังเท้า เห็นได้ชัดถึงความเสื่อมถอยของจิตใจทั้งผู้สร้างเเละคนใช้ด้วย

    ทุกวันนี้เรามักจะเห็นปัญหาเรื่องการถือของใช้ของใช้วัตถุมงคลไม่ขึ้น เราควรมองตัวเองว่ามีศีลมีสัตย์แค่ไหน พ่ออาจารย์มักสอนเสมอว่าสิ่งที่เรามองไม่เห็นยังมีอยู่มาก ความลึกซึ้งของภพภูมิที่ซ้อนเราก็มีอยู่ เวลาเราเดินไปไหนเห็นอะไรอย่าปากพล่อย ให้สำรวมมีสัมมาคารวะ เจออะไรยกมือไหว้ไว้ก่อนนั่นเเหละดีเเล้วเพราะการไหว้คือการทักทายเเบบไทยๆ พ่ออาจารย์ยกตัวอย่างว่า สมเด็จครูของท่าน(สมเด็จโต) เมื่อในสมัยก่อนเวลาท่านไปไหนหากท่านเจอพระพุทธรูปท่านจะยกมือขึ้นสักการะทันที ไม่ว่าจะเป็นตามวัดหรือพระพุทธรูปธรรมดาที่ไม่ได้ผ่านการปลุกเสกอะไรมาก็ตาม

    เหตุผลเนื่องจากอะไร การกระทำของท่านนั้นเกิดเเต่เหตุเป็นอุทาหรณ์เเละทัศนคติสอนคน สมเด็จครูท่านให้เหตุผลว่ารูปของพระพุทธเจ้า ถึงแม้จะไม่ได้มีการปลุกเสกก็เป็นรูปของพระพุทธเจ้าซึ่งรูปของพระองค์นั้นย่อมเป็นเครื่องหมายของการรู้เเจ้ง เป็นสัญลักษณ์ของพระองค์เปี่ยมไปด้วยพระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณและพระมหากรุณาธิคุณไม่มีประมาณเป็นครูของทั้งมนุษย์และเทวดา เมื่อเห็นรูปของท่านเรายกมือทำความเคารพก็เป็นเรื่องสมควรเเล้ว คนสมัยก่อนละเอียดอ่อนถึงปานนั้น ต่างจากสมัยนี้รูปพระพุทธเจ้ารูปกระดาษยังเดินเหยียบกันก็มี

    พูดถึงเรื่องการทำตัวอย่างไรให้ใช้วัตถุมงคลขึ้น ง่ายๆคือทำตัวเป็นคนดี ถ้าคุณดีอยู่เเล้วคุณไม่ต้องพกหรือใช้อะไรทั้งนั้น พ่ออาจารย์มักสอนเสมอให้รู้จักให้เกียรติทั้งกับตัวเองเเละกับผู้อื่น โดยเฉพาะตนเองหากไม่คิดจะให้เกียรติดูถูกดูแคลนตนเองเเล้วเพียงเท่านี้จิตใจก็หมองไม่ผ่องใสทำอะไรก็ออกมาไม่ดีเเน่นอน ยกตัวอย่างเรื่องการให้เกียรติสิ่งมีชีวิต

    ในสมัยก่อนเวลาสมเด็จครู(สมเด็จโต) ท่านจะเดินทางไปไหน ไม่ว่าจะมีภารกิจเร่งรีบเพียงใด หากเจอสุนัขนอนขวางทางท่าน ท่านก็จะยอมเดินเลี่ยงไปใช้ทางที่ไกลกว่าไม่มีเเม้เเต่จะไล่หรือก้าวข้าม เพราะท่านให้เกียรติเขา ท่านก็มีเหตุผลของท่าน โดยท่านคิดว่าสุนัขนี้ในอดีตอาจเคยเป็นพ่อแม่พี่น้องของเรา อาจเคยเป็นพระจักรพรรดิ์มาก่อนซึ่งเรื่องภพชาติเหล่านี้ล้วนเเต่ไม่เเน่นอน ท่านอาจจะติดเศษกรรมหรือมีบาปอะไรที่ทำให้ต้องมาใช้ชาติเดรัจฉาน ดังนั้นเราเป็นคนก็ไม่ควรจะไปเดินข้ามเขา ไม่ควรไปขู่ไปไล่เขา เพราะเขาก็มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนเรานั่นเอง นี่เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆที่พ่ออาจารย์มักจะสอนลูกศิษย์เสมอ

    พ่ออาจารย์มักจะถามลูกๆเสมอว่า เราเชื่อพระพุทธเจ้ามั้ย ถ้าเชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีถ้าเราเชื่อเเละนับถือท่าน เราก็ต้องเชื่อคำกล่าวคำสั่งสอนของท่าน สมเด็จพระศาสดาท่านประกาศพระศาสนา กำหนดให้พุทธศาสนิกชนรักษาศีลปฏิบัติธรรมตามความเหมาะสมของตนไม่ตึงเเละไม่หย่อนจนเกินไป

    ศีล5ที่เราถือๆกันเรารักษาอยู่นี้ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีไม่งาม เเละไม่ใช่เรื่องที่จะทำยากเย็นอะไรเลยหากเรารู้จักรักษากำลังใจของตนเองบ้าง หลีกเลี่ยงในสิ่งที่ควรจะหลีก พระศาสดาของเราท่านกล่าวว่า คุณแห่งศีลมีอยู่ในโลก มีมานานเเล้ว นานเพียงใดประมาณได้เท่าไหร่นั่น ก็ขอบอกว่านานมากนานก่อนจะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นด้วยซ้ำ ดังนั้นหากเรารักษาศีลเเล้วไม่จำเป็นต้องใช้วัตถุมงคลอะไรทั้งสิ้น คุณเเห่งศีลนี้จะเหมือนกำเเพงเเก้วทั้ง7ชั้นคุ้มครองป้องกันเรา ไปที่ไหนเทวดาก็จะเข้ารักษา เพราะศีลที่ท่านถือนั้นหอมตลบฟุ้งกระจายไปในหมู่เทพยดาต่างๆ

    เมื่อเรารู้จักรักษาศีลเเล้วเราก็ควรให้ทานเพื่อขัดเกลาจิตใจให้ละความตระหนี่ยึดมั่นถือมั่นลง ค่อยๆทำไปทีละนิดควบคู่ไปกับการเจริญภาวนา เพียงเท่านี้ใช้อะไรก็ขึ้น แม้ไม่ใช้ก็ยังถือว่าเป็นยอดคน เป็นคนที่ดีกว่าคน

    อีกเรื่องหนึ่ง ที่พ่ออาจารย์มักกล่าวถึง ท่านกล่าวเสมอว่าคนเรามักเเสวงหาสิ่งต่างๆ ได้มาครอบครองอย่างหนึ่งก็ยังไม่หยุดที่จะเเสวงหาอีกอย่างหนึ่ง เพื่อที่จะให้มีดีขึ้นเรื่อยๆ ตรงจุดนี้มันเป็นการตอบสนองกิเลสเเละความต้องการของตนเองโดยปราศจากการขัดเกลา มีเเต่หามาเติม เติมหนักเข้ามันก็เต็มก็ล้นออกมา พ่ออาจารย์จึงให้เหล่าลูกศิษย์หมั่นสวดมนต์เสมอ

    ซึ่งการสวดมนต์นั้นท่านว่าเป็นการฝึกสติเป็นการควบคุมสติขั้นพื้นฐานที่ได้ผลดีทีเดียว ถ้าเรารู้คำแปลด้วยเราจำคำแปลไว้เเละสวดไปพร้อมกัน อะไรเป็นพุทธพจน์ล้วนดีทั้งหมดจะ7ตำนาน12ตำนานหรืออะไรมากกว่านั้นเราก็สวดไป สวดโดยที่เรารู้ความหมายก็ไม่ต่างอะไรจากเราฟังพระธรรมเทศนาจากพระโอษฐ์ของพระผู้มีพระภาคท่านเลย

    การสวดมนต์นี้พ่ออาจารย์บอกว่าให้ผลมากเสียยิ่งกว่าได้ครอบครองเหล็กไหลน้ำหนึ่งชั้นดีที่สุดในจักรวาลเสียอีก ซึ่งเรื่องนี้ครูพรหม(สหัมบดี)ของท่านเป็นผู้กล่าวรับรองเเละเเนะนำ เพราะคำที่เราสวดเเต่ละคำนั้นมีผลมหาศาล ยิ่งถ้าอำนาจจิตเราดีจิตเรามีคุณภาพสูงเสียงสวดมนต์นั้นก็จะเเผ่ไปทั้งหมื่นโลกธาตุในแสนโกฏิจักรวาล สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายย่อมจะลงมาปกปักรักษาเเละฟังเราสวดมนต์สรรเสริญพระคุณของพระพุทธองค์ฟังถ้อยคำฟังธรรมต่างๆที่พระพุทธองค์เคยตรัสเคยเทศนาออกจากปากเรา ก่อนท่านจะกลับท่านย่อมจะอวยชัยให้พรเราอยู่เเล้ว

    ซึ่งถ้าทำได้ตามขั้นตอนเหล่านี้พ่ออาจารย์ยืนยันเลยว่าไม่ต้องห้อยพระหรือวัตถุมงคลอะไรเลย เพราะพระอยู่ในใจเราอยู่เสมอแล้วนั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ตุลาคม 2014
  7. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,528
    ตัวอย่างตะกรุดที่มีผู้จองไว้

    พ่ออาจารย์จะถักเองด้วยด้ายสายสิญจน์ของท่าน ท่านว่าสายสิญจน์เหล่านี้เชิญครูเสมอเวลาเสกขของเสร็จก็นำไปวางไว้ที่รูปปั้นสมเด็จครู(สมเด็จโต)ประจำ และท่านจะทำการชุบน้ำหมากของท่านให้ทุกดอก ก่อนที่จะอุดผง(ในตะกรุดบางชนิด) ต่อไป

    ถ่ายให้เห็นภาพกันนะครับเพราะยังไม่เคยลงรูปตะกรุดที่เสร็จเเล้วเลย ท่านว่าต้องตากเเดดนานหน่อย เดี๋ยวมันจะชื้นเเละขึ้นราได้ ซึ่งด้านในท่านจะเขียนกระดาษสอดไส้ไว้ว่าเป็นตะกรุดอะไรกันสับสนเเละหลงกัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SAM_3690.JPG
      SAM_3690.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.4 MB
      เปิดดู:
      1,246
  8. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,528
    เรื่องการทำบุญ

    เรื่องนี้พ่ออาจารย์หยิบยกมาสอนบ่อยๆเพราะเป็นเรื่องใกล้ตัวเเละเรามักจะทำกันบ่อยที่สุด

    หลายคนไปวัด ไปไหว้พระไปกราบพระเพื่ออะไร คนเราส่วนใหญ่มักจะไปเมื่อเดือดร้อนหรือขาดที่พึ่งทางใจ ไปเพื่อขอ ขอให้รวยถูกหวย ขอให้สามีไม่นอกใจ ขอให้ขายที่ได้ ขอให้เจอเนื้อคู่ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นหากเราคิดบ้างก็น่าจะรู้เเก่ใจตัวเองว่ามันไม่ใช่กิจของสงฆ์ และพระท่านก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะดลบันดาลอะไรให้ได้ เวรกรรมที่เราทำไว้ต่างหากที่จะสนองไม่ว่าดีหรือเลว ไปขอมากรรมดีเข้าสนองสมหวังก็ศรัทธาไป ไปขอแล้วไม่ได้กรรมชั่วยังส่งผลก็จะกลายเป็นว่าไม่นับถือหลวงพ่อนั้นนี้ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ก็จะไปปรามาสล่วงเกินท่านอีก

    น้อยคนนักที่จะไปเพื่อกราบพระเป็นพุทธานุสติ ไปเพื่อดับร้อนผ่อนเย็นให้จิตใจเเจ่มใสเบิกบานเข้าใกล้ร่มเงาของพระศาสนา ไปถกปัญหาไปนำหลักธรรมมาเเก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดในชีวิตกับพระสงฆ์องค์เณรต่างๆ

    หากจะมีพรใดบ้างที่ควรขอจากพระพุทธรูปและท่านก็ให้เเก่เราได้ เราก็ควรขอให้เรามีสติ ขอไปเถิด ขอให้ลูกมีสติระลึกได้ถึงสิ่งที่ผิดชอบชั่วดีทั้งหลาย ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงดลบันดาลให้ข้าพเจ้าอย่าได้หลงไหลไปกับอบายมุขและเครื่องปรุงเเต่งลวงหลอกยั่วยวนต่างๆ ขอให้ข้าพเจ้าพึงระลึกรู้ถึงสิ่งที่ชอบเเละไม่ชอบ ควรทำเเละไม่ควรทำเเละขอให้ข้าพเจ้าเลือกเเละมีคติตั้งอยู่ในสิ่งที่ถูกต้องเเละสุจริตสืบต่อไป

    ลองจำไปใช้ไปทำกันดู ผมเชื่ออย่างยิ่งว่า ไม่มีเทพยดาที่ไหนจะช่วยสงเคราะห์เราได้ตลอดหากเรามีกรรมหนักถ่วงเราไว้อยู่ มีเพียงเเต่ศีลที่เราประพฤติจะเป็นเกราะคุ้มกายเรา เเละสติที่จะตรึกตรองเหตุการณ์ต่างๆเพื่อที่จะตัดสินใจในทางที่ถูกที่ควรให้ผ่านพ้นเรื่องเลวร้ายไปได้

    ก็เป็นข้อคิดดีๆอีกอย่างหนึ่งของพ่ออาจารย์ที่มักจะสอนลูกศิษย์เสมอจนจำได้ เเละเราเวลาไปกราบไหว้พระก็จะติดอธิษฐานแบบนี้จริงๆ
     
  9. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,528
    ข้อคิด สำหรับคนที่ท้อหมดความหวัง เราดีกว่าต้นไม้เเล้วรึยัง (ทำเองนะ)

    หลายๆคนมาตั้งคำถามกับพ่ออาจารย์ว่าพระนิพพานอยู่ไหน พระนิพพานไปอย่างไร ต้องทำอะไรแบบไหน ซึ่งท่านจะตอบสั้นๆว่า เธอยังจะเอาอะไร ก็ในเมื่อนิพพานนั้นไม่มีอะไร ก็เป็นคำตอบที่เเฝงนัยยะให้เก็บกลับไปคิดทบทวนกันเเบบง่ายๆ

    พอๆกันกับเรื่องปวดสมอง เรื่องกลุ้มๆเครียดๆสารพัดรูปแบบ ทั้งการงาน การเงิน ผัวมีกิ้กแฟนมีชู้ อยากได้นั่นต้องการนี่ ซึ่งทุกปัญหา พ่ออาจารย์จะเชิญให้เขาไปหาต้นไม้ทั้งหมด(งงมั้ย)

    ท่านจะให้หาเวลาว่างๆ ไปนั่งมองต้นไม้ต้นหนึ่ง ต้นใหญ่ๆต้นไหนก็ได้ ไปนั่งอยู่อย่างนั้นมองต้นไม้ไป บางคนต้องใช้เวลาถึง3-4ชั่วโมงเลยก็มีถึงจะคิดได้ และที่เหมือนกันทุกคนคือ ทุกคนใจเย็นเเละสงบขึ้น

    พ่ออาจารย์ท่านว่า ธรรมชาตินั้นได้ให้ของขวัญเเก่เราเเล้ว ซ้ำยังเป็นแบบอย่างให้แก่เราด้วยขึ้นอยู่ที่ว่า ใครจะฉุกคิดขึ้นมารึเปล่า

    เช่นต้นไม้นั้น กว่าจะยืนต้นขึ้นมาได้สูงใหญ่ ต้องผ่านฤดูกาลหมุนเวียนมามากมายซ้ำไปซ้ำมาอยู่เสมอ ต้องตากเเดดแม้ในวันที่ร้อนจัดต้องตากลมแม้ในวันที่หนาวเหน็บ เเต่ต้นไม้ก็ไม่เคยเดินหนีไปไหน ยังคงยืนต้นสู้กับธรรมชาติทั้งหลายอยู่อย่างนั้นและยังเติบโตจนสง่างาม

    เหนือสิ่งอื่นใด ต้นไม้ยังเป็นที่พักพิงอาศัยเเก่ฝูงสัตว์เเละสรรพชีวิต แม้เเต่กับมนุษย์เองก็ยังคอยให้ร่มเงา แผ่กิ่งก้านสาขาให้นกทำรัง ให้ผึ้งให้ต่อทำรัง เเละยังอีกมากมายอธิบายไม่ได้หมด

    ท่านว่าคนถ้าจะมองชีวิตกันจริงๆในช่วงอายุขัยหนึ่งก็เปรียบได้กับต้นไม้ต้นหนึ่งที่ต้องเจอกับสิ่งต่างๆมากมาย ซึ่งทุกสิ่งล้วนมีทางออกในตัวเองหลายๆทางอยู่ที่เราจะเลือกทำในสิ่งที่ถูกหรือผิด หากเราชั่งใจให้ดีเเล้วไม่ต้องไปถามใครหาเจ้าหาหมอดูที่ไหน เพียงเราชั่งใจตนเองให้หนักให้คติความยึดมั่นถือมั่นของเราอยู่ในความสุจริตยุติธรรม ทุกปัญหาเรารู้อยู่เเก่ใจว่าจะต้องเเก้ไขอย่างไร ถึงตอนนั้นเราก็จะรู้เองว่าเราทำตัวได้ดีกว่าต้นไม้เเล้วรึยัง

    อันนี้ก็เเปลก นึกถึงคำพูดพ่ออาจารย์แบบนี้ทุกทีจนชินหู เวลามีปัญหากับแฟนทะเลาะกับคนที่บ้านหรือเจอเรื่องร้ายแรง ผมมักจะเปิดหน้าต่างยืนมองต้นไม้ซักพัก มันก็เหมือนจะยิ้มได้จริงๆเเม้เเต่ในเวลาที่เครียดสุดๆรู้สึกเหมือนมีธรรมชาติเป็นเพื่อน และทุกปัญหาที่เเก้ไม่ตกมันก็มักจะออกมาดีเสมอ เอาไว้ลองทำกันดูนะครับ ถ้าไม่คิดว่าพ่ออาจารย์ท่านเพ้อเจ้อหรือพูดอะไรลอยๆ คำพูดท่านก็เป็นสิ่งที่น่าลองคิดลองทำเหมือนกัน
     
  10. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,528
    ว่าด้วยเรื่องของเสน่ห์

    ยุคปัจจุบันนี้เป็นยุคที่มีการทำเครื่องรางทางเสน่ห์เมตตาออกมามาก เเต่ละอย่างก็วิจิตรพิศดารกันไปเพื่อตอบรับความต้องการของคนที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ

    เหตุผลก็เพื่อที่จะใช้สนองตัณหาเเละกามารมย์ของคนเช่าบูชาทั้งหลาย ซึ่งในเรื่องเหล่านี้พ่ออาจารย์ก็ได้ให้เเง่คิดเเละทัศนคติมาอย่างดีเลยทีเดียว

    คนเราทุกคนเกิดมาล้วนมีเสน่ห์อยู่ในตัวเอง เเละเจ้าตัวเสน่ห์นี้ก็เป็นสิ่งที่เราๆสร้างกันได้ คนสมัยก่อนเขาเป็นคนจริงถือวิชาขึ้นมีศีลสัตย์ ครูบาอาจารย์บางคนมีเมียเป็นสิบเป็นร้อย ท่านไม่ทิ้งได้เเล้วท่านรับเลี้ยงหมด ทีนี้ลองมามองย้อนตัวเราว่าที่เราหาของเสน่ห์ไปนั้นเพื่ออะไร เด็ดดอกฟ้า ปัญหาทางด้านสภาพครอบครัวก็จะตามมา ถึงได้เค้าเเต่เราก็ไม่สามารถรับผิดชอบได้ เพื่อเสเพลเที่ยวสนุกฟันเเล้วทิ้ง สิ่งนี้เเหละน่ากลัวที่จะต้องพึงสังวรณ์ระวังเอาไว้ให้มาก ว่าเราเองมีซักกี่ชีวิตกันที่จะไปตามเกิดตามชดใช้ให้เขากับสิ่งที่เราทำลงไป คิดว่าไหวรึเปล่า

    คนเราเกิดมาชาตินี้ไม่ใช่ชาติเดียวชาติสุดท้าย เรามีกรรมเป็นสิ่งปรุงเเต่ง มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ของตัวเอง มีกรรมเป็นสถานที่เกิด ทำกรรมอะไรไว้มันก็จะจัดสรรให้เราไปเป็นอย่างนั้น ถ้าเเค่ทำชัวครั้งเดียวใช้กรรมครั้งเดียวนั้นยังไม่เท่าไหร่ เเต่ทำซักครั้งต้องตามใช้เป็นหมื่นเป็นเเสนชาติบางอย่างต้องชั่วกัปชั่วกัลป์ก็มีกว่าจะได้เป็นคนอีกครั้งยังยากถึงมาเป็นคนเศษกรรมมันก็สนองไม่ได้เป็นคนปกติเเบบทั่วไปอีก เราชั่งใจเรารึยัง คิดว่าตนเองมีสติไตร่ตรองละเอียดรอบคอบดีหรือเปล่า ความสุขกับเรื่องพรรค์นั้นเพียงเเค่ชั่วคืนก็หมดไป หากมีไปเรื่อยๆก็เบื่อหน่าย คิดว่ามันคุ้มกันหรือไม่กับผลที่จะเกิดในอนาคต ไปพรากลูกพรากเมียเขา ไปนอนกับเขาพ่อแม่เขาอนุญาติรึยัง บุตรเป็นสิ่งที่รักยิ่งของบิดามารดา มันจะกลายเป็นว่าเราไม่ได้ก่อเวรขึ้นมากับเค้าเเค่คนเดียว ในเเต่ละครั้งนั้นมันรวมไปถึงคนที่รักเเละเป็นห่วงเค้าด้วย

    หากเราตระหนักดีเเล้ว เราคิดว่ารับผิดชอบไหวก็ทำไป เธอจงจำไว้คนเราไม่ต้องหล่อเท่ดูดีก็มีเสน่ห์ได้ เสน่ห์ไม่ต้องพึ่งเครื่องรางของขลัง พกพระเเสนเเพงที่ไหนมาหน่วงคอ เเต่เป็นเสน่ห์ที่เราสร้างขึ้นเอง

    เสน่ห์เเบบนี้ต่างหากจะเป็นสง่าราศีกับตัวเรา ติดตัวเราไปไม่หมดซ้ำยังช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพของเราด้วย พูดง่ายๆคือความกรุณาเเละปราณีต่อมวลมนุษย์ต่อเพื่อนร่วมโลก ต่อสรรพชีวิตนั่นเอง มีความกรุณาปราณีกับเค้าไปที่ไหนก็เป็นที่รักเป็นที่สรรเสริญไม่มีวันหมดหรือจบสิ้น

    เราต้องหมั่นสร้างความรู้สึกแบบนี้ไว้ในตัวในกายเราสร้างอารมณ์ให้มันเกิดเป็นพื้นฐานนั่นคือฐานเเห่งความกรุณาปราณีต่อผู้อื่นหลังจากนั้นเราก็ช่วยเหลือผู้อื่นเท่าที่เเขนสองข้างของเราจะมีเเรงทำเพื่อเค้าได้ กล่าวง่ายๆคือมีสัมพันธไมตรีอันดีกับบุคคลโดยรอบ ไม่ใช่เพียงคนสองคน เเต่ทำให้เสมอภาคเเละเท่าเทียมกับทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตเรา

    เพียงเท่านี้พื้นฐานจิตใจเราก็จะสูงเข้าใกล้ความเป็นมนุษย์มากขึ้น อย่าลืมเรื่องวาจาทำดีเเล้วก็คิดดีเเละพูดดี พูดเเต่สิ่งที่่ดีงดเว้นคำหยาบคายเป็นสิริมงคลแก่ปากตัวเอง ไม่ด่าไม่เเช่งไม่ว่าร้ายคนอื่น

    เรื่องคำพูดนี่สำคัญ ไปจีบผู้หญิงถ้าทะเลาะกันก็ด่าเค้า ด่าพ่อด่าเเม่เค้าอีกต่อให้พกเครื่องรางเเสนเเพงที่ไหนก็คงจะช่วยไม่ได้ ควรฝึกเรื่องการพูดจาให้ดีให้นุ่มนวลอ่อนหวาน

    เรื่องพวกนี้พอมาประมวลรวมกันหากใครทำได้มันจะเปลี่ยนลักษณะนิสัยของเราจากหน้ามือเป็นหลังมือเปลี่ยนเป็นคนละคนทันที ไม่ต้องใช้ของเสน่ห์ก็มีเสนห์ได้ ถ้าใช้ก็ยิ่งเหมือนกับเสือติดปีก

    เอาโอวาทของพ่ออาจารย์มาพิมพ์แบบนี้ ไม่รู้พี่ๆอ่านจะเบื่อกันมั้ย
     
  11. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,528
    ว่านยา

    ตัวอย่างของว่านต่างๆเล็กน้อย ที่พ่ออาจารย์ออกหาเดินเก็บเองนำมาตากแดด ท่านไม่อนุญาติให้ถ่ายรูปทั้งหมด

    ยอมรับว่าเก็บกู้ลำบากจริงๆ ลูกศิษย์บางคนถึงกับบอกว่าหาซื้อแถวจตุจักรเอาก็ได้ไม่เห็นต้องลำบากขนาดนี้ พ่ออาจารย์บอกว่าไม่ได้ ต้องกู้ต้องเก็บตามวิธีแบบโบราณเท่านั้น

    มีทั้งไม้อาถรรพ์ต่างๆที่ท่านตัดไว้ ที่เป็นไม้ทะลุกลางบ้านคนมีรุกขเทวีอยู่เฮี้ยนจนคนอยู่ไม่ได้ ท่านก็ไปขออนุญาตินำมาสร้างวัตถุมงคล รวมถึงรังต่อร้างรังใหญ่ๆอีก3รังที่พ่ออาจารย์หามาเก็บไว้เตรียมบดเป็นผงเพิ่มเติมเเละอื่นๆอีกมากมาย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SAM_3728.JPG
      SAM_3728.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.4 MB
      เปิดดู:
      523
  12. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,528
    ท้าวเวสสุวรรณ

    วันนี้ เรามาทำความรู้จักกับเทพเจ้าพระองค์นี้กันดีกว่า เนื่องจากมีคนพูดถึงบ่อย และพระยันต์ เครื่องราง วัตถุมงคล พิธีกรรมทั้งหลาย ล้วนเกี่ยวข้องกับท่าน

    ....แต่แผ่นดินเราอยู่นี้ขึ้นไปเบื้องบนได้ 336,000,000 วา ผิจะนับด้วยโยชน์ได้ 46,000 โยชน้ไส้ ว่าจึงเถิงชั้นฟ้าอันชื่อว่าจาตุมหาราชิกาภูมิ อันตั้งอยู่เหนือจอมเขายุคุนธร....

    จาตุมหาราชิกา เป็นแดนสวรรค์ชั้นที่1 ในกามสุคติภูมิ ตามชื่อหมายถึงสวรรค์ที่อยู่ภายใต้การปกครองของท้าวจาตุมหาราชทั้ง4 ซึ่งนิยมเรียกอีกนามว่าท้าวจตุโลกบาล เป็นเทพเจ้าผู้คุ้มครองดูแลโลกของมนุษย์ด้วย

    อายุเฉลี่ยของชาวจาตุมหาราชิกาสวรรค์นี้คือ 500 ปีทิพย์ ซึ่งเท่ากับ 9,000,000 ปีในโลกมนุษย์ เทียบ1วัน1คืนทิพย์ของสวรรค์ชั้นนี้เท่ากับ50ปี ในโลกมนุษย์ เมื่อเทียบเวลากับโลกแล้วจาตุมหาราชิก่สวรรค์จัดเป็นเวลาที่มีขนาดใหญ่ ชาวจาตุมหาราชิกาจึงมีรุปร่างที่สูงใหญ่ตามไปด้วย นั่นคือ
    "องค์พระญาเทวดานั้นโดยสูงได้ 6,000 วา องค์เทวดาทั้งหลายที่เป็นบริวารสูงได้ 4,000 วา"

    ท้าวมหาราชผู้เป็นจอมเทพประจำดินแดนทั้ง4ทิศ ของอาณาจักรจาตุมหาราชิกาสวรรค์นั้นเป็นตำแหน่งที่ถูกแต่งตั้งโดยพระอินทร์หรือท้าวสักกะเทวราชจอมเทพแห่งดาวดึงส์ที่อยู่สูงถัดขึ้นไป

    จาตุมหาราชิกาฝ่่ายเหนือ
    ......แลเทพยดาผู้เป็นพระญาฝ่ายอุดรชื่อท้าวไพศพมหาราช(เวสสุวรรณ) เป็นพระญาแก่หมู่ยักษ์ทั้งหลายแลเทพยดาฝ่ายอุดรทิศเขาพระสิเนรุราช รวดไปเถิงกำแพงจักรวาฬฝ่ายอุดรทิศนั้นแล....

    ท้าวไพศพ เทวราชอันดับสุดท้ายของจอมเทพจตุโลกบาล มีชื่อเรียกที่นิยมอีก2ชื่อคือ ท้าวกุเวร กับท้าวเวสสุวรรณ เทพเจ้าแห่่งยักษ์พระองค์นี้ในฏีกามาลัยเทวสูตรและตำนานชาวพุทธตันตระเล่าว่า ทรงมีเทพอาวุธวิเศษ เป็น1ใน4ของเทพอาวุธที่อานุภาพร้ายแรงที่สุดในโลก คือคทาหรือกระบองของท้าวเวสสุวัณจอมเทพนี้ หากพระองค์ทรงพิโรธแล้วขว้างใส่หมู่ยักษ์เหล่ากุมภัณฑ์หรือมนุษย์แล้วไซร้ จะเกิดการตายดาษดื่นนับจำนวนสิบล้านร้อยล้านชีวิตโดยทันที(อาวุธที่ปาทีเดียวฆ่ายักษ์ได้ร้อยล้านตน คิดเอานะครับว่าน่ากลัวขนาดไหน)

    ในหัวข้อ(137) ในมหานิทานสูตร หมู่มหาวรรค หมวดทีฆนิกาย พระไตรปิฏกฉบับสยามรัฐ แล่มที่10/45 บอกไว้ว่า ดินแดนที่ประทับของท้าวเวสสุวรรณ ชื่อว่า อาลกมันทาราชธานี เป็นนครแห่งเทพเจ้าที่งดงามรุ่งเรืองมาก และตำแหน่งของอาลกมันทาราชธานีที่ประทับของท้าวเวสสุวรรณนี้ ดูจะทับซ้อนอยู่กับภพภูมิของมนุษย์ที่มีชื่อว่าอุตตรกุรุทวีป ดินแดนของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีอายุยืนยาวแน่นอนถึง 1,000 ปีด้วย

    เวลาที่มนุษย์นอนหลับและหากฝันไปว่าถูกพวกยักษ์จับตัวไปใช้งานเยี่ยงทาส โดยอาจจะบังคับให้เป็นคนแบกหามแคร่ที่นั่งของยักษ์ และเมื่อตื่นขึ้นมาเหน็ดเหนื่อยจริง ท่านว่าฝันของมนุษย์คนนั้นเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในอีกมิติหนึ่ง เพราะยักษ์เหล่านั้นเป็นชาวอาลกมันทาราชธานี มีนิสัยชอบนำมนุษย์ที่พลั้งเผลอขาดสติไปใช้เป็นทาสเสมอๆ

    ในอาฏานาฏิยสูตร พระไตรปิฏกสยามรัฐเล่มที่11-45 บันทึกว่าท้าวเทวราชทั้ง4องค์ เคยปรากฏกายพร้อมกับบริวารส่วนหนึ่งเข้าเฝ้าเบื้องพระพักตร์พระบรมศาสดาและท้าวเวสสุวรรณนี้ได้กราบทูลพระบรมศาสดาว่า ยักษ์ที่เลื่อมใสในพระบรมศาสดาก็มี ไม่เลื่อมใสก็มี แต่ที่ไม่เลื่อมใสมีมากกว่า เพื่อป้องกันยักษ์ที่ไม่เลื่อมใสไม่ให้มาเบียดเบียนสาวกเเละพุทธบริษัททั้งหลาย จึงขอถวายพระคาถารักษาชื่อ "อาฏานิฏิยา" เพื่อพระบรมศาสดาจะได้ประทานแก่สาวกพุทธบริษัททั้งหลายไม่ให้ถูกยักษ์เบียดเบียน ซึ่งพระบรมศาสดาก็รับความปรารถนาดีของท้าวเวสสุวรรณนี้ แล้วแสดงพุทธานุญาตให้สาวกเเละพุทธบริษัททั้งหลายเรียนคาถารักษาบทนี้

    ตามหลักฐานชาวพุทธโบราณยืนยันกันมาว่า ท้าวเวสสุวรรณเทวราชโลกบาลพระองค์นี้เป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน ครั้งเมื่อจุลสุภัททะปริพาชก เกิดความสงสัยในความเป็นมาของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก็ได้ปรากฏองค์แสดงธรรมคลี่คลายความสงสัยให้ และเมื่อพระมหาโมคคัลลานะเดินทางขึ้นมาเยี่ยมเยือนพระอินทร์ ท้าวเวสสุวรรณพระองค์นี้ก็ได้เสด็จเข้าร่วมให้การต้อนรับด้วย

    มีความเชื่อกันว่า พระเจ้าพิมพิสารราชาเเห่งเเคว้นมคธ หลังจากเสด็จสวรรคตเนื่องจากการทารุณกรรมของพระเจ้าอชาตศัตรูผู้เป็นโอรสที่เข้ายึดอำนาจ พระองค์นึกถึงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาสถานที่ ที่เคยอยู่มาก่อนจึงได้มาอุบัติในสวรรค์ชั้นนี้ เนื่องจากความเป็นอริยบุคคลของท่านที่ควรจะขึ้นไปได้ถึงชั้นพรหมเเต่ท่านก็ตั้งความปรารถนาในสวรรค์ชั้นนี้ไว้ ทำให้ได้มาเป็นพญายักษ์เสนาบดีตนหนึ่งของท้าวเวสสุวรรณและภายหลังก็ได้เเทนตำเเหน่งของท้าวเวสสุวรรณนั่นเอง

    ตามตำนานชาวพุทธตันตระฝ่ายธิเบต ท้าวเวสสุวรรณหรือท้าวไพศพนี้ทรงมีพระวรกายเป็นสีเหลืองทอง หัตถ์ขวาถือธง หัตถ์ซ้ายถือพังพอน แต่พุทธตันตระฝ่ายสยามกำหนดให้ถือคทาหรือกระบอง แต่ที่ตรงกันคือความเชื่อที่ว่า รูปของท้าวโลกบาลพระองค์นี้เป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งไพบูลย์ เป็นรูปมงคลที่นำความดีงามมาสู่บ้านเรือนทั้งยังป้องกันเสนียดจัญไรตลอดจนภัยพิบัติต่างๆนานาได้อีกด้วย

    ท้าวเวสสุวรรณเทวราชทรงมีพระมเหสีชื่อมหาเทวีภุญชตี มีเทวโอรส90พระองค์ ใช้พระนามว่า อินทร์ ร่วมกัน เช่านเดียวกับโอรสท้าวมหาราชอีก3พระองค์ และทรงมีพระธิดาชื่อ ลดา ปวรา อัจฉิมตี และสตา กับมีหลานชายชื่อปุณณกเทวบุตร ยักษ์ที่เป็นบริวารคือชาวอาลกมันทาราชธานีมีจำนวนหนึ่งพันล้านตน ทรงยานทิพย์ชื่อว่านาริวาหนะ ซึ่งมีความกว้างได้ถึง12โยชน์ ประกอบด้วยแท่นประทับเป็นแก้วประพาฬ

    ความเป็นท้าวเทวราชตามตำนานชาวพุทธถือเป็นตำแหน่ง เมื่อใดที่หมดหรือสิ้นบุญที่จะต้องจุติจากเทวโลก ท้าวสักกะหรือพระอินทร์ก็จะทรงเเต่งตั้งหรือรอการมาอุบัติของท้าวเทวราชองค์ใหม่อีกต่อๆไปเช่นในกรณีของพระเจ้าพิมพิสารนั่นเอง

    ท้าวเวสพระองค์เดิม เข้าใจว่าเกิดเป็นมนุษย์อยู่ในยุคพุทธันดรกัปที่แล้ว คือยุคของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน เป็นเจ้าของโรงน้ำตาลขนาดใหญ่ถึง7โรงงาน ตอนแรกได้ยกผลกำไรทั้งหมดของ1โรงงาน สร้างสาธารณสถานและให้ทานทั่วไปแก่มหาชน แต่เกิดผลมหัศจรรย์ทันตาเห็น ก็เลยยกผลกำไรหมดทั้ง7โรงงาน สร้างทานและกุศลตลอดชีวิต 20,000ปี ตามอายุขัยของมนุษย์ยุคนั้น จึงได้มาอุบัติเป็นจอมเทพชื่อท้าวเวสสุวรรณและเป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบันด้วย

    อ่านเรื่องเเนวนี้ไม่รู้จะเบื่อกันมั้ย ถ้าชอบจะพิมพ์มาให้อ่านประดับความรู้กันครับ

    ยืมรูปเขานะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • _1_~1.JPG
      _1_~1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      129.4 KB
      เปิดดู:
      934
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ตุลาคม 2014
  13. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,528
    พญานาคราช

    เห็นพูดกันฮิตติดปาก เเละเป็นที่นิยมมากเหลือเกินในสมัยนี้กับเรื่องราวของพญานาคราช มีทั้งไข่ทั้งหนังทั้งเนื้อมาทำวัตถุมงคลบางที่ มีแก้วมณีมีสมบัตินาคสารพัด วันนี้เราลองมาเรียนรู้เรื่องพญานาคกันนะครับ

    หลายๆท่านที่บูชาพญานาคราชเเล้วกลัวครุฑ ไม่ต้องกลัวนะครับ องค์พญานาคไม่ได้กลัวครุฑและโดนครุฑจับกินเสมอไป ต้องทำความเข้าใจกันใหม่ ครุฑจะจับนาคกินได้นั้นก็มีเเต่นาคที่มีกำเนิดต่ำกว่า มีฤทธิ์น้อยกว่า นาคที่มีกำเนิดใหญ่กว่ามีฤทธิ์มากกว่าครุฑก็ยังมีอยู่มากมาย

    จากบันทึกชื่อจุลลวัคค์ในพระไตรปิฏก กล่าวว่านาคมีอยู่4ราชตระกูลด้วยกัน
    - วิรูปักขนาคราช
    - เอราปถนาคราช
    - ฉัพยาปุตตนาคราช
    - กัณหาโคตมนาคราช
    นาคทั้ง4ตระกูลใหณ่นี้ ได้กระจายขยายเผ่าพรธุ์เป็น2สาย เรียกว่านาคบก(ถลชะ) กับนาคน้ำ(ชลชะ)

    นาคนั้นเมื่ออยู่ในทิพยภาวะจะมีลักษณะเหมือนเทวบุตรและเทพธิดาทุกประการหรือจะอยู่ในสภาพของงูใหญ่ก็ได้ แต่เมื่อออกหากินต้องแปลงสภาพเป็นงูหมดทุกตน ตามบันทึกในไตรภูมิพระร่วงว่า
    ......ผิเมื่อนาคนั้นจะไปล่าหากินแลเป็นสิ่งใดอันหาเหยื่อกินได้ง่ายนั้นไซร้ เขาก็ย่อมนฤมิตตนเขาเป็นสิ่งนั้นแล แล้วเขาจึงเที่ยวขึ้นมาล่าหากินในแผ่นดินนี้ ลางคาบเขาเป็นงูไซ ลางคาบเขาเป็นงูกระสา ลางคาบเขาเป็นงูเห่า ลางคาบเขาเป็นงูเขียว ลางคาบเขาเป็นงูอื่น ลางคาบเขาเป็นสัตว์อื่น แลเขาล่าหากินแล เหตุว่าเขานั้นชาติติรัจฉานแล......

    จากคำบอกเล่าในไตรภูมิพระร่วง งูทั้งหลายส่วนใหญ่ที่อยู่บนโลกมนุษย์เรานี้ก็คือนาคแปลงนั่นเอง ซึ่งเมื่อพ้นจากพิภพที่เขาอยู่ฤทธิ์ก็จะถูกจำกัดไปด้วย สถานที่อยู่ของนาคนั้น ไตรภูมิพระร่วงบอกไว้ชัดเจนดังนี้
    .....แต่ก่อนมีที่เปล่า ยังมีลางแห่งเปล่าโดยกว้างโดยสูงได้แล300โยชน์ ก็ยังมีลางแห่งโดยกว้างโดยสูงได้แล500โยชน์ก็มี ลางคาบลางแห่งโดยกว้างโดยสูงได้แล700โยชน์ก็มี แลที่นั้นกลายเป็นแผ่นดินเสมอกันทุกแห่ง เลื่อมขาวงามดังแผ่นดินเงินยวงมีหญ้าแพรกเขียวมันเหมือนตามกันโดยสูง4นิ้วมือ เขียวงาม3นิ้วมือ ดังแผ่นแก้วไพฑูรย์ฉันนั้นแล ดูรุ่งเรืองทั่วแผ่นดินเหมือนดังนั้นทุกแห่ง และมีสระหลายอันเทียรย่อมดาษไปด้วยดอกบัว5สิ่งแลดูงามนักหนา มีฝูงต้นไม้ทั้งหลายเป็นต้นเป็นลำงามแลมิได้เป็นด้วงเป็นแลง แลเป็นลูกเป็นดอกดูตระการงามนักหนา แลมีเชือกเขาเถาวัลย์ ลางสิ่งเป็นดอกแดง ลางสิ่งเป็นดอกขาว ลางสิ่งเป็นดอกเหลือง ดูรุ่งเรืองงามแต่ที่นั่นทุกแห่งดังท่านแสร้งแต่งไว้แล แห่งนั้นเรียกชื่อว่านาคพิภพแลเป็นที่อยู่แก่ฝูงนาคทั้งหลายแล แลมีปราสาทแก้ว แลมีปราสาทเงินแลมีปราสาททองงามนักหนา แลมีอันเปล่าอยู่นั้นลางแห่งหาสิ่งอันจะอยู่บ่มิได้ หากเป็นที่กลวงอยู้เปล่าไส้ในใต้เขาพระหิมพานต์กว้างได้500โยชน์ เป็นเมืองแห่งนาคราชจำพวก1อยู่นั้นแล.........

    ในบันทึกไตรภูมิบอกไว้ชัดเจนว่า นาคพิภพนั้นมีทั้งที่อยูใต้ป่าหิมพานต์(นาคบก-ถลชะ) และอยู่ในมหาสมุทร(นาคน้ำ-ชลชะ) ซึ่งหิมพานต์นั้นเป็นป่าเขาที่มีเฉพาะเเต่ในชมพูทวีปเท่านั้น ไม่ปรากฏว่ามีในบุรพวิเทหทวีป อมรโคยานทวีปและอุตตรกุรุทวีป อันเป็นทวีปที่อยู่อาศัยของมนุษย์เหมือนกัน ฉะนั้นเมื่อนาคเป็นชาวสวรรค์ภาคตะวันตกของจาตุมหาราชิกาสวรรค์ซ้อนทับอยู่กับชมพูทวีปอันเป็นทวีปมนุษย์ฝากตะวันตกของจักรวาลเช่นกันนี่เอง ดังนั้นจึงไม่เเปลกที่มนุษย์จะมีเรื่องราวผูกพันธ์กับนาคชาวสวรรค์ภาคตะวันตกของจาตุมหาราชิกาอย่างมากมาย

    มาดูพญานาคที่ยิ่งใหญ่กันบ้าง

    ท้าวมหากาลนาคราช
    ราชาแห่งนาคพิภพที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับชาวพุทธโบราณองค์แรกก็คือมหากาลนาคราชแห่งมัญเชริกภาวัน ท้าวนาคราชพระองค์นี้ได้ชื่อว่ามหากาล เพราะมีอายุยืนยาวมากกว่าปกติของชาวจาตุมหาราชิกาสวรรค์ทั่วไป โดยมีอายุขัยเท่ากับอายุของจักรวาลทั้งแสนโกฏิ(ภัทรกัปป์) เท่าๆกับมหาพรหมเลยทีเดียว

    เมื่อครั้งพระบรมโพธิสัตว์หยุดบำเพ็ญทุกกรกิริยาและได้เสวยข้าวมธุปายาสที่นางสุชาดาถวายด้วถาดทองคำแล้วได้ทรงลอยถาดอธิษฐาน ถาดทองคำนั้นได้ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไปแล้วจมดิ่งสู่มัญเชริกนาคพิภพ เข้าซ้อนกับถาดในอดีตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสามพระองค์ก่อน เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว ท้าวมหากาลนาคราชทรงรู้ล่วงหน้าแน่นอนก่อนผู้ใด จึงพร้อมด้วยเหล่าสุรางค์นางอัปสรสวรรค์พากันเข้าเฝ้าเฉลิมฉลองสมโภชเทิดพระเกียรติถวายแด่พระพุทธองค์

    เมื่อครั้งพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน กษัตริย์ราชวงศ์โกลิยะแห่งเมืองรามคามได้พระบรมสารีริกธาตุส่วนหนึ่งไปบูชา หลายร้อยปีต่อมาสถูปที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำของเมืองรามคามได้ถูกกระเเสน้ำเซาาะพังทลาย พระบรมสารีริกธาตุหลุดออกจากพระสถูปเลื่อนลอยไปตามกระแสน้ำ ท้าวมหากาลนาคราชทรงทราบเข้าจึงอัญเชิญไปบรรจุไว้ยังมัญเชริกภาวันสถานที่ประทับของพระองค์

    ภายหลังท่านพระโสนุตระเถระทราบข่าว จึงใช้อำนาจฤทธิ์แห่งความเป็นพระอรหันต์ติดตามลงไปถึงนาคพิภพทูลขอพระบรมสารีริกธาตุคืนแก่ชาวมนุษย์ ซึ่งแน่นอนว่าท้าวมหากาลนาคราชก็มิได้ยินยอมอนุญาติให้มาไม่

    ท้าวมุจจลินทนาคราช(ที่มาพระพุทธรูปปางนาคปรก)
    เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ ได้เสวยวิมุติสุขในสัปดาห์ที่6อยูใต้ควงไม้จิก เยื้องกับต้นโพธิ์ที่ตรัสรู้ไปทางทิศตะวันออก ฝนได้ตั้งเค้าและตกลงมาอย่างหนัก

    ท้าวนาคราชผู้ประทับเป็นเจ้าอยู่ในสระบัวใกล้ควงไม้จิก ก็ได้ปรากฏองค์ขึ้น ดังคำบรรยายในพระปฐมสมโพธิกถาดังนี้

    .......ลำดับนั้น ยังมีพระยานาคตนหนึ่ง มีนามว่ามุจจลินทนาคราช มีอานุภาพมาก บังเกิดอยู่ในสระโบกขรณี อันมีในที่ใกล้มุจจลินทพฤกษ์นั้น เบื้องว่าพระยาอหินาคได้เห็นซึ่งพระพุทธมหานาคดังนั้น ก็มิอาจอยู่ในพิภพแห่งตนได้ ขึ้นมาจากมหาสระ จินตนาการว่า ท่านผู้นี้มีสิริวิลาสเลิศครอบงำเสียซึ่งหมู่มฤคา แต่บรรดาที่สถิตย์ในพนสณฑ์นี้
    ชะรอยจะเป็นเทพยดาพิเศษประดับด้วยฉัพพิธเภทพรรณรังสีโอภาส พิจารณาไปแล้วก็แจ้งว่าเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธโลกนาถอันประเสริฐบังเกิดในโลก เสด็จมาสู่นิวาสถานแห่งอาตมา ด้วยทรงพระมหากรุณาอนุเคราะห์เป็นมหาลาภอันใหญ่ยิ่ง ผิฉะนั้น อาตมาจะกระทำซึ่งกายป้องกันเสียซึ่งมูลมลทินอย่าให้ถูกพระกรัชกาย จึงขดเข้าซึ่งขนดกายเป็น7รอบแวดวงองค์พระศาสดาจารย์แล้วก็แผ่พังพานอันใหญ่ป้องปกเบื้องพระอุตมังคสิโรตม์ หวังประโยชน์จะมิให้เย็นและร้อนถูกต้องแดดลมและฝนเหลือบยุงและสรรพสัปปชาติต่างๆมาสัมผัสพระกรัชกาย เมื่อล่วง7วันไปแล้วฝนก็หายหยุด และพระยาภุชงค์นั้นก็คลายออกซึ่งขนดกายแห่งอาตมาแปลงกายาเป็นมนุษย์มาณพถวายอภิวันทชลี อยู่ในที่เฉพาะพระพักตร์สมเด็จพระสัพพัญญู สมเด็จพระบรมครูก็ออกจากที่สมาบัติอันนั้น จึงเปล่งพุทธอุทานโดยสารพระคาถาว่า สุโข วิเวโก ตุฏฐสส....

    ท้าวเอรกปตตนาคราช
    นาคราชตนนี้ประทับอยู่ในแม่น้ำคงคา มีอดีตชาติเป็นภิกษุสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากัสสปะในพุทธันดรกัปป์ที่3 ของมหากัปป์นี้ บำเพ็ญสมณธรรมตลอดอายุขัยในยุคนั้นที่มนุษย์มีอายุได้ 20,000 ปี สูง20ศอก

    แต่ด้วยวิตกว่ามีศีลวิบัติอยู่ข้อหนึ่ง(แค่คิดไปเองเกรงว่าจะผิดศีลข้อเดียวนะครับ)เป็นความผิดที่เกิดขึ้นในขณะขึ้นเรือเร็วเเล้วมือไปยึดได้ตะไคร่น้ำขาด(คนสมัยนี้ก่อกรรมไม่กลัวเวรเลย นี่เเค่มือดึงตะไคร่น้ำขาดนะครับ) หาภิกษุผู้ฉลาดที่อยู่ใกล้เคียงเพื่อปลงอาบัติอันเป็นความผิดเล็กน้อยนี้มิได้ เลยเกิดความกังวลในอาบัติเล็กน้อยเหมือนมีใบตะไคร่น้ำผูกคอกระทั่งมรณภาพ

    จึงได้มาอุบัติเป็นพระยานาคราชอยู่อาศัยในดินแดนที่เป็นต้นเหตุแห่งความกังวลนั้น ด้วยความเศร้าเสียใจตลอดระยะเวลาพุทธันดรกัปป์ที่ผ่านมา

    เมื่อมีราชธิดาและนาคีผุ้เป็นราชธิดาเติบโตรุ่นสาว จึงได้สอนบทเพลงบทหนึ่งให้พระธิดายืนขับร้องอยู่บนพังพานแห่งตน โดยปรากฏแหวกว่ายอยู่ในแม่น้ำคงคาทุกวันอุโบสถ15ค่ำ

    บทเพลงนั้นเป็นปริศนาธรรม พราหมณ์หนุ่มชื่อุตตระจำได้ไปขับร้อง และพระพุทธองค์ได้สดับจึงรับสั่งประทานบทคาถาเฉลยให้พราหมณ์หนุ่มอุตตระไปร้องแก้ในวันอุโบสถ15ค่ำ ต่อมาพราหมณ์หนุ่มก็ได้ไปร้องแก้ต่อนาคกัลยาพระธิดาท้าวเอรกปัตตนาคราช

    ท้าวเอรกปัตตนาคราชจึงทราบว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ได้อุบัติขึ้นมาเเล้ว ด้วยความยินดีจึงพลิกร่างดีน้ำ ทำให้สองฟากฝั่งแม่น้ำพระคงคาบริเวณนั้นพังทลาย มหาชนเป็นอันมากหล่นลงไปในแม่น้ำ พระยานาคจึงสำแดงฤทธิ์ใช้พังพานของตนยกมหาชนทั้งหมดขึ้นเหนือน้ำ และให้พราหมณ์หนุ่มอุตตระนำทางมาเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา

    เมื่อมาถึงเบื้องพระพักตร์พระบรมศาสดาก็แปลงกายเป็นกษัตริย์ถวายบังคมพระบรมศาสดาแล้วก็ทรงยืนกรรแสง พระบรมศาสดาจึงทรงปลอบโยนแล้วเทศนาโปรด แต่ท้้าวเอรกปัตตนาคราชก็ไม่อาจบรรลุพระโสดาบันได้ในวันนั้นเนื่องจากติดด้วยชาติกำเนิดที่เป็นสัตว์ดิรัจฉาน แต่ก็ได้อิทธิฤทธิ์และความเป็นอิสระเพิ่มขึ้นเหนือสัญชาตญาณแห่งพระยานาคราชทั้งหลาย

    ท้าวนันโทปนันทนาคราช
    กล่าวถึงพระยานาคมาหลายองค์ หากลืมองค์นี้ ก็คงจะไม่สมบูรณ์

    เรียกได้ว่าพระยานาคราชตนนี้มีฤทธิ์มากและโด่งดัง ถึงกับปรากฏอยู่ในบทสวดมนต์ที่เราสวดทุกวันคือพาหุงทีเดียว

    พระพุทธเจ้าผู้ทรงชำนะนันโทปนันทนาคราชผู้มีฤทธิ์มาก
    โดยโปรดให้พระมหานาคคือพระมหาโมคคัลลาน์ผู้ชิโนรสสำแดงฤทธิ์ทรมาน
    ด้วยเดชแห่งชัยชำนะของพระพุทธเจ้านี้
    ขอชัยมงคลจงมี แก่ท่านทั้งหลาย เทอญ


    การปราบความอหังการของท้าวนันโทปนันทนาคราช เป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นภายหลังจากที่พระบรมศาสดาและสาวก 500 องค์ จำพรรษาอยู่บนดาวดึงส์สวรรค์แล้วออกพรรษา ขณะเดินทางกลับสู่โลกมนุษย์โดยทางอากาศ

    ท้าวนันโทปนันทนาคราช สำคัญว่า เหล่าพระอรหันต์อันนำมาโดยพระศาสดาเหาะข้ามศรีษะตน จึงเกิดพิโรธ เลยแสดงอานุภาพแห่งนาคราช โดยนิรมิตร่างกายให้ใหญ่โต พันขนดรอบเขาพระสุเมรุและสวรรค์ชั้นดาวดึงษ์ไว้ทั้งหมด(ต้องมีฤทธิ์มากจริงๆ) พร้อมกับบันดาลให้เกิดควันมืดครึ้มไปทั่วภายใน

    ท่านพระรัฐปาลเถระเห็นบรรยากาศผิดปกติดังนั้น จึงกราบทูลถามพระผู้มีพระภาคผู้บรมศาสดา ก็ได้รับคำตอบว่าเกิดจากอานุภาพของนาคราช ชื่อนันโทปนันท

    บรรดามหาเถระทั้งหลาย จึงกราบทูลขันอาสาปราบพยศของนาคราชตนนี้ แต่พระบรมศาสดาไม่ทรงอนุญาติ โปรดให้แต่พระมหาโมคคัลลานเท่านั้น

    ท่านพระมหาโมคคัลลานน้อมรับพระพุทธานุญาตแล้วก็ใช้อานุภาพแห่งพระอรหันต์ จำแลงกายเป็นพระยานาคราชใหญ่ยิ่งกว่าท้าวนันโทปนันท ขนดกายเข้ารัดท้าวนันโทปนันทไว้ถึง14รอบ ท้าวนันโทปนันทจึงพลิกพังพานพ่นไฟพิษและบังหวนควันเข้าใส่นาคราชเถระ

    แต่นาคราชเถระก็แผ่พังพานพ้นไฟพิษบังหวนควันกลับคืน ท้าวนาคราชตัวจริงสู้พิษไฟของนาคราชแปลงไม่ไหวก็ขอร้อง ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระแม้จะกรุณาแต่ก็ยังไม่ไว้ใจ ท่านได้คืนสู่อัตภาพพระมหาเถระดังเก่าแต่ยังใช้ฤทธิ์อยู่ โดยชำแรกเข้าโสตและช่องนาสิกของท้าวนาคราชอย่างรวดเร็ว(เล่นวิ่งเข้าหูออกจมูกสับไปสับมา)เดี๋ยวก็ออกทางซ้าย เดี๋ยวก็ออกทางขวา เดี๋ยวก็ทะลุออกปาก

    ท้าวนาคราชรอจังหวะ พยายามขบเคี้ยวพระมหาเถระให้แหลกก้ไม่สามารถทำได้ กระทั่งท่านชำแรกกายเข้าไปเดินจงกรมอยู่ในท้องกลับไปกลับมาจนท้าวนาคราชอ่อนกำลังก็ขอร้องอีก พระมหาเถระจึงออกมาภายนอก ท้าวนาคราชได้ทีพลิกกายจะเลื้อยหนี ท่านพระมหาเถระจึงแปลงเป็นพระยาครุฑตามจับกลับคืนมา

    ท้าวนันโทปนันทนาคราชจึงแปลงกายเป็นกษัตริย์หนุ่มนมัสการขอยอมแพ้ แต่ท่านพระมหาโมคคัลลานไม่รับ นำมาเฝ้าทูลต่อเบื้องพระพักตร์พระบรมศาสดา พระบรมศาสดาจึงแสดงธรรมโปรด นันโทปนันทเลื่อมใสยอมรับและประกาศตนถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต

    จบเรื่องพระยานาคราชเเต่เท่านี้ ต่อไปจะไล่เรื่องยักษ์กันบ้าง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1353993131.jpg
      1353993131.jpg
      ขนาดไฟล์:
      80.6 KB
      เปิดดู:
      388
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ตุลาคม 2014
  14. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,528
    ร่างทรง

    ร่างทรงคืออะไร ผมไม่เข้าใจ เเม้จะเอาตัวเองเข้าไปคลุกคลีมาพักนึงผมก็ยังไม่เข้าใจพอๆกับการสักยันต์เเล้วของขึ้น คือถ้าไม่เจอกับตัวให้ดิ้นตายเราก็ไม่เชื่อ

    รับขันธ์ลงองค์ อืมมม ถ้าพูดถึงองค์ย่อมเป็นคติเทพทางฮินดูที่เห็นมาลงเต้นยิกๆ เราเคยเเปลกใจมั้ย ศาสนาเขาประชากรมากมายปานนั้น แต่มนุษย์ซึ่งเกิดขึ้นมาเป็นตัวเเทนของพระเจ้า เป็นสื่อของเทพนั้นๆ100-1,000ปี ถึงจะมีปรากฏมาซักคน แล้วประเทศไทยตอนนี้คืออะไร

    อะไรที่ทำให้เทพเจ้าโปรดปรานคนไทยมากขนาดนั้น ขนาดที่ลงมากันเต็มไปหมด เพื่อสร้างบารมีเเค่คนเดียวยังไม่พอหรือ มันไหลไปไหลมาเวลาผมคิดเพื่อหาคำตอบว่าทำไม ทำไมเวลาเจ้าเข้าทรงภาษาเทพของเค้าแม้เเต่พราหมณ์ฮินดูก็ฟังไม่ออก และทำไมเทพฮินดูถึงเก่งภาษาไทยจัง แบบนี้ศาสนาพราหมณ์ที่อินเดียทำไมไม่เปลี่ยนมนต์สรรเสริญเทพเจ้าเป็นภาษาไทยไปเลย

    พอๆกับเรื่องการสักยันต์ ที่ของขึ้นลงองค์สั่นสะท้าน ผมเก็บความสงสัยนี้ไว้ในสมองพร้อมกับพยายามหาคำตอบเรื่อยๆ ส่วนเรื่ององค์เทพผมเชื่อว่ามีเพราะผมเคยสัมผัสมากับตาแต่ผมไม่เชื่อว่าจะมาลงในร่างมนุษย์

    จนวันนึงได้พบกับหลวงปู่กาหลง วัดเขาแหลม ไปบีบนวดท่านที่วัดเขาเเหลมตอนท่านยังไม่ดัง วัดสุทัศน์เพิ่งสร้างวัตถุมงคลให้ท่านครั้งเดียว เหมือนท่านจะรู้วาระจิตเรา อยู่ดีๆท่านก็พูดว่า เอ็งรู้มั้ยไอ้เรื่องเจ้าเข้าทรงหรือไอ้ที่ของขึ้นเวลาครอบครู มันไม่มีจริงซักคนหรอก(เห้ย หลวงปู่กำลังไขปริศนาให้เรานี่หว่า ฟังๆ) ข้าไปครอบครูเห็นมันของขึ้น เอ็งเชื่อมั้ยหัวครูยังไม่ทันถึงหัวมันก็ดิ้นกันเเล้ว ครอบ100คนขึ้น100คน ข้าลองนั่งดูจริงๆมันมีขึ้นจริงไม่ถึง1-2คนเลย แบบนี้มันอุปทานหมู่ (ถึงบางอ้อ) เจ้าบางที่ที่ว่าเเม่นก็ไปเรียนวิชาดูดวงดูหมอหรือมีวิชาโสฬสสรตะทำนายทายทักแม่นแบบจับวาง ก็จะเพิ่มความน่าเชื่อถือให้เเก่ตนเองสูงขึ้นไปอีก ที่ได้สมาธิพื้นฐานเเล้วเอามาหากินก็มี ดังนั้นเรื่องนี้ผมเชื่อหลวงปู่กาหลงตั้งเเต่ ณเวลานั้น

    จนมาถึงพ่ออาจารย์พล ผมได้ถามเรื่องเจ้าเข้าทรงกับท่าน ท่านบอกคิดดูเอาเทวดาที่ไหนจะลดตัวลงมาอยู่ในร่างมนุษย์ได้ ร่างมนุษย์นี้สำหรับเค้าก็ไม่ต่างจากสิ่งปฏิกูล เเค่เข้าใกล้เขายังไม่พึงประสงค์เลยหากไม่จำเป็น เราก็เลยสวนไปว่าเทวดานางฟ้านี่เขาก็หล่อ เพราะที่เคยเห็นมา2ครั้งหล่อจริงๆเเต่อาจารย์ครับเทียบกับคนที่สวยงามสะอาดๆเเล้วเขาจะไม่สนใจเลยรึไง พ่ออาจารย์ตอบน่าคิดว่า สำหรับมนุษย์ในสมัยนี้ เธอเอานางงาม ไม่เอาเเค่ระดับนางสาวไทยนะ เอานางงามจักรวาลเลย เอามาขัดสีฉวีวรรณอาบน้ำแร่เเช่น้ำนมซัก7วัน7คืน แล้วเชิญเทวดาท่านมามองท่านยังไม่ใคร่อยากจะมองเลย นางฟ้าที่อยู่สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาที่มีทิพย์สภาวะต่ำสุดหากเทียบกับนางงามจักรวาลยังเหนือกว่าเหมือนฟ้ากับก้นเหว แล้วทวยเทพเขาจะมาพึงใจอะไรในร่างกายมนุษย์เล่า

    ไหนๆได้โอกาสถาม มันอัดอั้นมานานก็เลยซักต่อว่า ผมเห็นคนกระเสือกกระสนมากมายอยากรับขันธ์ลงองค์พ่ออาจารย์คิดว่ายังไงมีความเห็นกับเรื่องนี้มั้ย ถามเรื่องนี้ท่านย้อนเรากลับว่า เธอคิดว่าขันธ์คืออะไร เเล้วทำไมถึงไปรับกับเจ้า รับขันธ์5ก็รักษาศีล5ข้อ ไปรับขันธ์8ขันธ์9มาศีล5ยังรักษาไม่ได้ไปรับมาเพื่ออะไรบางตำหนักมีเป็นโปรโมชั่นให้รักษาเฉพาะได้บางวันเสียอีก กฏเทวโลกกฏของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปรับมาเเล้ว เขามีผ่อนปรนให้เราด้วยหรือ

    ขันธ์5น่ะเธอไม่ต้องไปรับที่ไหนหรอก พึงระลึกไว้เสมอ ว่ามนุษย์ทุกคนก่อนจะมาเกิดก็รับขันธ์5ลงมาจากพระอินทร์เเล้ว ดังนั้นมนุษย์ทุกคนถึงมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวรักษา ขอแค่ตั้งมั่นรักษาศีล5ไปเถิด ถ้ากลัวศีลไม่บริสุทธิ์ก็ไปขอศีลจากพระสงฆ์องค์เณรก็ได้ ขอกับพระพุทธรูปที่บ้านยังได้ อย่าไปขอจากเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย รักษาขันธ์5คือศีล5ที่อยู่ในกายรักษากิริยาหมั่นมองตรวจสอบจิตใจเราให้ดีเเค่นี้ขันธ์5ของเราก็จะบริบูรณ์แล้วไม่ต้องไปรับจากใครที่ไหนมาเสริม หากรักษาขันธ์5ตัวเองบริบูรณ์ประพฤติปฏิบัติธรรมเเบบนี้เทพยดาก็รักษาเทพยดาก็อยากมาอยู่ด้วย ทีนี้เขาไม่เหม็นเเล้วเเต่เขาหอม ร่างกายของเธอจะหอมไปด้วยคุณแห่งศีล คุณแห่งความดีคุณแห่งพระกรรมฐานจะหอมฟุ้งเวลาเดินไปไหนเขาก็จะตกใจต้องรีบออกมาดูกันว่าใครเดินมา เพราะเรามีศีลมีคุณธรรมที่เราปฏิบัติ ซึ่งเเนวทางก็อ่านๆกันอยู่ทุกวัน พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้แบบง่ายๆทั้งนั้น ลองเอามาใช้มาทำกัน ไม่ต้องเดือดร้อนไปถึงที่ไหน

    พระในบ้านกราบพ่อเเม่ เสร็จเเล้วกราบพระพุทธเจ้าเเละครูบาอาจารย์ อย่ารักครูบาอาจารย์เกินพ่อแม่ เพราะโลกนี้นอกจากพ่อแม่เเล้วไม่มีใครรักเราได้เท่านี้อีกจะลูกหรือภรรยาความรักก็ไม่ประเสริฐเหมือนของคนเป็นพ่อเป็นเเม่ เอาเวลาไปขอพรเจ้าซื้อมาลัยมาไหว้พ่อแม่ดีกว่า ให้ท่านอารมณ์ดีพูดเรื่องดีๆให้พรออกจากปากเธอเชื่อมั้ยพรนั้นยิ่งใหญ่กว่าพรเทวดา พรเจ้าที่ไหนๆเสียอีก

    ก็เอามาให้อ่านกันเล็กๆน้อย ที่เรียบเรียงจากการสนทนากับพ่ออาจารย์พล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ตุลาคม 2014
  15. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,528
    พระเครื่องเครื่องราง กับสมาธิเเละกรรมฐาน

    เรื่องนี้ก็เกิดจากความสงสัยเราอีก เคยอ่านเจอบทความบางบทความเขาว่ากำพระบางอย่างนั่งสมาธิเเล้วสงบใจได้ไวใช้นั่งสมาธิได้ เเต่ก็มีผู้ตอบกลับว่าไม่จริงเป็นเรื่องโกหกไร้สาระ ก็เลยลองถามพ่ออาจารย์ซักหน่อยซึ่งคำตอบก็ตรงไปตรงมาเช่นเดิม

    ถามเรื่องพระเครื่องตะกรุดพวกนี้ใช้เป็นเครื่องยึดอารมณ์สมาธิทำกรรมฐานได้ด้วยมั้ย ท่านตอบคร่าวๆว่าได้ เป็นพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ เทวานุสติ เราก็ถามว่าเป็นยังไงตะกรุดเหรียญเทพเจ้านี่เป็นด้วยหรอ ท่านก็ตอบว่าขึ้นอยู่กับตัวเธอรู้ความหมายของเครื่องรางนั้นๆหรือเปล่า พระเครื่องที่เป็นรูปพระพุทธกับพระสงฆ์อันนั้นใช้ได้อยู่เเล้ว รูปเทพยดาก็ถือเป็นเทวานุสติอย่างหนึ่งใช้ยึดหน่วงอารมณ์เราได้ มาว่าที่ตะกรุดเครื่องรางซึ่งคนจะสงสัยกันมากกว่า ตะกรุดนี้ข้างในจารอะไร ผมตอบว่าตัวขอมครับ ท่านว่าใช่ ตัวขอมเเต่เป็นตัวขอมที่แปลมาจากพระบาลี เป็นอักขระที่ใช้ย่อหมวดหมู่พระสูตรพระวินัยพระธรรมบทต่างๆของพระพุทธเจ้าก่อนที่จะมาผูกกันเป็นยันต์เเต่ละแบบให้คุณไปตามความเชื่อเเต่ละทาง ทีนี้พอเข้าใจรึยังว่าทำไมถึงใช้ได้

    ซึ่งเราก็รับว่าเข้าใจเเละตอบท่านว่าเป็นธัมมานุสติอย่างหนึ่ง ท่านว่าหากเรารู้ความหมายมันก็ใช่ถือเป็นธัมมานุสติที่เราเอาพระพุทธพจน์เอาพระสูตรพระพุทธคุณต่างๆเป็นที่พึ่งที่ระลึก แต่หากไม่เข้าใจเลยก็คิดซะว่าพึ่งท่อนตะกั่วทองแดงเปล่าๆอันนี้กำลังใจหาย ต่างกันโดยสิ้นเชิง

    ถามท่านต่อว่าแล้วจริงๆถ้าเป็นตามที่พ่ออาจารย์พูดตะกรุดเเต่ละดอกพระยันต์เเต่ละเเบบเป็นการจัดหมวดหมู่ของพระสูตรพระพุทธคุณต่างๆบันทึกไว้ในรูปแบบต่างๆกัน พระพุทธพจน์พระสูตรเหล่านี้เป็นของสูงเอามาคาดเอวได้ด้วยหรือ
    ท่านตอบว่าก็อยู่ที่ความเข้าใจของคน ถ้าเขาถือได้มันก็ดีกับเขา ถ้าเขารู้ว่าในตะกรุดมีรูปองค์พระมากมายอักขระเเต่ละตัวเเทนพระพุทธเจ้าเเต่ละพระองค์เเทนพ่อเเทนเเม่เขาเเทนครูบาอาจารย์ต่างๆถ้าเขารู้เขาไม่กล้าเอาลงต่ำเเน่นอนแต่ถ้าไม่รู้ก็ไม่ผิด เเต่ยังไงก็ไม่ควรห้อยต่ำกว่าเอว


    อย่างที่เคยบอกเธออดีตพวกตะกรุดนี้เป็นเครื่องคาดเป็นสายสังวาลย์สำหรับกษัตริย์ คนธรรมดาไม่มีหวังที่จะได้ใส่ ดังนั้นถ้าจะให้ดีสะพายเเล่งเเละเลื่อนสูงๆไว้จะดีที่สุด ถ้าเรารู้เเละระลึกได้ว่าพระยันต์ข้างในคืออะไร เเต่ถ้าไม่รู้ก็อย่าให้ต่ำกว่าเอว

    มาถึงเรื่องการใช้เจริญพระกรรมฐาน ท่านว่าเธอไม่ต้องรู้คาถาในตะกรุดทั้งหมดแม้ตัวสองตัวก็ยังใช้ได้จับไว้เเละคิดว่านี่คือแผ่นที่จารึกหลักธรรมหัวใจคำสอนหัวใจพระสูตรต่างๆเเล้วก็ภาวนาไป เธอเชื่อมั๊ยแม้คำที่ไม่มีความหมาย เเต่เธอตั้งใจมีกำลังใจในการภาวนาก็ทำให้พระธรรมดากลายเป็นพระอรหันต์ได้ในสมัยพุทธกาล ขนาดพระรูปนั้นไม่รู้ความหมายคำที่ภาวนาด้วยก็ยังทำได้

    หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างเล็กๆน้อยๆกับคนที่ชอบเครื่องรางของขลัง
     
  16. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,528
    เทวาสุรสงคราม

    เป็นเรื่องน่าสนใจเเละมีเหตุการณ์เชื่อมโยงไปถึงพระพุทธเจ้า อ่านไว้ประดับความรู้เล่นๆกันนะครับ ว่าเรื่องพวกนี้ก็มีอยู่จริง

    เมื่อเทวดากับอสูรทำสงครามกัน มนุษย์เราเรียกว่าเทวาสุรสงคราม เป็นสงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุด และไม่มีวันแพ้หรือชนะกันได้อย่างแตกหักเด็ดขาด เพราะเมื่อกองทัพอสูรหักด่านครุฑ นาค กุมภัณฑ์ ยักษ์และเทพคนธรรพ์ขึ้นมาจนถึงดาวดึงสพิภพ ต่อตีอย่างไรก็มิอาจยึดเอาเทพนครได้และหากกองทัพอสูรพลาดท่าเสียที ต้องถอยร่นกลับไปจนถึงอสูรพิภพที่อยู่ใต้รากเขาพระสิเนรุราชใต้มหาสมุทรสีทันดร กองทัพเทพก็ไม่อาจหักเอาอสูรนครได้เช่นกัน

    ตำนานเล่าว่าเทศกาลทำสงครามเป็นเวลาที่ดอกแคฝอย(จิตตปาฏลี)แห่งอสูรพิภพเบ่งบาน ทำให้อสูรคิดถึงภูมิลำเนาเดิมที่ต้องจากมานานเพราะถูกพวกเทพเจ้ายึดครองคิดอยากเห็นดอกทองหลางสวรรค์ที่ชื่อปาริชาติ ซึ่งกำลังเบ่งบานพร้อมกับดอกแคฟอยนั้น

    มีเรื่องราวในปฏิบัติการโยคะอยู่เหตุการณ์หนึ่งลักษณะคล้ายๆกันกับเทวสุรสงครามยิ่งนัก คือ บาปอกุศลย่อมต้องมาก่อนบุญกุศลเสมอ และตัณหาย่อมต้องมีมาก่อนนิพพาน อสูรนั้นก็ไม่ได้เเตกต่างไปจากบาปอกุศลและตัณหา และเทวะเองก็ไม่ได้แตกต่างไปจากบุญกุศล เพราะดาวดึงสพิภพแต่เดิมเป็นที่อยู่อาศัยของอสูร มีพระนครเป็นป่าชัฏ เรียกว่าสุทัสนะ

    ในครั้งพุทธกาล มีมนุษย์คนหนึ่งได้เห็นภาพการสู้รบระหว่างเทวดากับอสูร แล้วอสูรเป็นฝ่ายถอยทัพร่นผ่านมิติเมืองมนุษย์กลับสู่นคร มนุษย์ที่เห็นเรื่องราวที่ไม่มีในโลกคนนี้รีบโพนทะนาตัวเองทันทีเลยว่า เขาเป็นบ้าเห็นในสิ่งที่ไม่มีใครเห็น
    ขออัญเชิญพระสูตรเรื่องนี้มาแสดงทั้งพระสูตรเลย ดังนี้

    จิตตสูตร ปปาตวรรคที่5 มหาวารวรรค สังยุตตนิกาย พระไตรปิฏกฉบับสยามรัฐเล่มที่19/45 ข้อ1725

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ วิหารเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาเเล้วตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว บุรุษคนหนึ่งออกจากเมืองราชคฤห์เข้าไปยังสระโบกขรณีชื่อ สุมาคธา ด้วยประสงค์ว่าจะคิดเรื่องโลก ครั้นแล้วก็นั่งคิดเรื่องโลกอยู่ ณ ขอบสระโบกขรณีชื่อสุมาคธา

    เขาได้เห็นกองทัพประกอบด้วยองค์4 เข้าไปสู่ก้านบัวที่ขอบสระโบกขรณีชื่อสุมาคธา ครั้นเเล้วได้มีความคิดว่า เราชื่อว่าเป็นคนบ้า ชื่อว่าคนมีจิตฟุ้งซ่านเสียแล้ว เราเห็นสิ่งที่ไม่มีในโลก

    ครั้งนั้น บุรุษนั้นเข้าไปยังนคร บอกแก่หมู่มหาชนว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย เราชื่อว่าเป็นคนบ้า ชื่อว่าคนมีจิตฟุ้งซ่านเสียแล้ว เราเห็นสิ่งที่ไม่มีในโลก หมู่มหาชนถามว่า บุรุษผู้เจริญ ท่านเป็นบ้าอย่างไร ท่านมีจิตฟุ้งซ่านได้อย่างไร สิ่งอะไรที่ไม่มีในโลกซึ่งท่านเห็นแล้ว

    บุรุษ. ท่านผู้เจริญทั้งหลาย จะบอกให้ทราบ เราออกจากกรุงราชคฤห์เข้าไปยังสระโบกขรณีชื่อสุมาคธา ด้วยประสงค์ว่าจะคิดเรื่องโลก ครั้นแล้วเรานั่งคิดเรื่องโลกอยู่ ณ ขอบสระโบกขรณีชื่อสุมาคธา เราได้เห็นกองทัพอันประกอบด้วยองค์4 เข้าไปสู่ก้่านบัวที่ขอบสระ.......

    พระพุทธเจ้า. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษนั้นได้เห็นสิ่งที่เป็นจริง ไม่ใช่ได้เห็นสิ่งที่ไม่เป็นจริง
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว สงครามเทวดากับอสูรประชิดกัน ก็ในสงครามนั้นพวกเทวดาชนะ พวกอสูรแพ้ ก็พวกอสูรที่แพ้กลัวแล้ว ยังจิตของพวกเทวดาให้งวยงงอยู่ เข้าไปสู่บุรีอสูรโดยทางก้านบัว เพราะฉะนั้น เธอทั้งหลาย.....

    จากพระสูตรนี้ แสดงว่าก้านบัวที่กองทัพอสูร4เหล่า (ทัพช้าง ทัพม้า ทัพรถ ทัพเดินเท้า) ใช้เป็นประตูเดินทางข้ามมิติในขณะผ่านมิติของมนุษย์ พระบรมศาสดาตรัสเล่าว่าแม้เเต่เทวดาก็ยังงวยงงสงสัย(จะกล่าวไปไยถึงมนุษย์ไม่บ้าก็ดีเเล้ว)

    จากเรื่องที่เล่าคร่าวๆย่อๆนี้ หากจะได้ข้อคิดอะไรบ้างก็คือ ถ้าเราเชื่อพระพุทธเจ้าว่ามีจริงเชื่อคำพูดของพระองค์ท่าน ดังนั้นก็ต้องเชื่อว่า เทวดามี อสูรมี นรกสวรรค์ภพภูมิต่างๆมี ดังนั้นกรรมดีกรรมชั่วเเละกฏแห่งกรรมก็ย่อมต้องมี คนเราตัดสินทุกอย่างด้วยการกระทำของเราเอง ดังนั้นถ้าหากเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์และกฏแห่งกรรมเเล้วก็ประพฤติตัวดีๆ มีสติอยู่กับตัว จะได้ไม่คิดว่าตนเป็นบ้าวิปลาสเเบบบุรุษที่พระพุทธเจ้ากล่าวถึง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ตุลาคม 2014
  17. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,528
    พระศิวะหรือพระอิศวร กับบันทึกในไตรภูมิพระร่วง

    เทพเจ้าหรือพระเป็นเจ้าเเห่งเขาไกรลาสพระองค์นี้ รู้สึกจะมีหลายท่านสับสนเเละหาที่มาไม่ได้ แต่กลับมีชื่อของพระองค์เเละเขาไกรลาสบันทึกไว้เป็นหลักฐานในฏีกามาลัยเทวสูตร เเถมท่านยังมีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับมนุษย์โดยตรงอีกด้วย

    ในคัมภีร์ฏีกามาลัยเทวสูตรกล่าวว่า พระภูมิใหญ่ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบยอดบัญชีกรรมดี-กรรมชั่ว (บัญชีแผ่นทอง-สุวรรณ กับปัญชีหนังหมา-สุวาน)ก่อนนำส่งท้าวสักกะเทวราชหรือพระอินทร์ ประธานเทวสภาเพื่อเปิดประชุมทุกวันอุโบสถ คือ ท้าวปรเมศวร(ชื่อหนึ่งของพระศิวะ) เรียกได้ว่าก่อนจะรายงานสภาชีวิตเราอยู่ในอุ้งมือท่าน555+

    ปรากฏว่าท้าวปรเมศวรนี้ก็ปรากฏอยู่ในบันทึกไตรภูมิพระร่วง คือเทพเจ้าแห่งเหล่ากินนรกินรี ผู้ทรงมีปราสาทวิมานประทับอยู่ในหุบเขาไกรลาส โดยบันทึกอยู่ในกัณฑ์ที่9 (นวมกัณฑ์) แห่งไตรภูมิพระร่วงดังนี้

    ....ในเหมเขาไกรลาสนั้น แลว่ามีเมืองอันหนึ่ง เทียรย่อมเงินแลทองแลมีฝูงกินรีอยู่แห่งนั้น บ้านเมืองแห่งนั้นสนุกนักหนาดั่งเมืองไตรตรึงษาสวรรค์(ดาวดึงษ์) แลเมืองนั้นพระปรเมศวร ธ อยู่นั้นแล.....(ศักดิ์ศรี ความสวยงาม ความสนุกสนานของเมืองท้าวปรเมศวรหรือพระศิวะเทียบได้กับสวรรค์ดาวดึงษ์ของพระอินทร์ทีเดียว)

    ไม่แปลกใจเลยที่จะมีเหล่าฤาษีโยคีที่ได้เดินทางไปเเสวงบุญยังเขาไกลลาสหลงเข้าไปในเมืองที่เปรียบกับสรวงสวรรค์มีเทวดาที่เเต่งเครื่องทรงกษัตริย์อยู่เต็มไปหมด แปลว่าไตรภูมิพระร่วงของไทยเราก็เป็นแหล่งข้อมูลที่ถูกต้องดีๆนี่เอง

    ไตรภูมิพระร่วงเป็นบันทึกของชาวพุทธโบราณ ก็เท่ากับว่ามีสิ่งยืนยันถึงการมีตัวตนอยู่ของเทพเจ้าพระองค์นี้ทั้งชื่อเเละสถานที่อยู่อาศัยก็คงจะไม่บังเอิญพ้องคล้องจองกันขนาดนี้ หลักฐานของชาวพุทธโบราณนี้เป็นเครื่องยืนยันอย่างดีเเละท่านยังเกี่ยวข้องกับมนุษย์โดยตรงมากกว่าเทพองค์อื่นคือเป็นพระภูมิใหญ่ คือเทพที่ดูแลเเผ่นดิน ดูแลจัดการเรื่องของพระภูมิทั้งหมดตามบ้านเราๆท่านๆนั่นเเหละ ความรู้เหล่านี้จะนำเสนอวันละนิด วันนี้ผมขอตัวไปนอนก่อนนะครับ ฝันดีทุกๆท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2015
  18. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,528
    ยักษ์

    วันนี้เรามาทำความรู้จักยักษ์กัน หลายๆท่านเข้าใจยักษ์อสูร รากษสปนกันมั่วๆไปหมด มอลองไล่ทำความเข้าใจกันดูนะครับ

    ยักษ์ เป็นหมู่ทวยเทพภาคเหนือของจาตุมหาราชิกาสวรรค์ มีท้าวเวสสุวัณเป็นราชาบดี ยักษ์ตามตำนานของชาวพุทธเป็นทิพยกายคาบก้ำกึ่ง ระหว่างมนุษยภาวะกับเทวภาวะ สถานที่อาศัยมีทั้งแบบภุมมัฏฐะคือเช่นเดียวกับพระภูมิเจ้าที่ และอากาสัฏฐะ คือเช่นเดียวกับเทวดาที่อาศัยอยู่ในชั้นฟ้า

    แต่ในชั้นหลังๆ ยักษ์ถูกนำไปสับสนกับอสูร ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับหมู่ทวยเทพ อย่างไรก็ตาม ยักษ์ก็เป็นทิพยภาวะที่มีหน้าตาค่อนข้างน่าสะพรึงกลัวกว่าเทวดาอยู่ดี ตามชื่อของยักษ์28ตนที่เป็นเสนาบดีของท้าวสักกะเทวราช(พระอินทร) หรือแม้แต่เสนายักษ์ท้าวเวสสุวัณ

    ในอาฏานาฏิยสูตร จากคำกราบทูลโดยตรงของท้าวโลกบาลผู้เป็นราชาบดีแห่งยักษ์ ก็น่าจะชัดเจนแจ่มแจ้งแล้วว่ายักษ์ส่วนใหญ่มีอุปนิสัยใจคอเยี่ยงใด แม้จะได้เสวยบุญเป็นชาวสวรรค์ก็เถอะ

    ชื่อของยักษ์ที่มีปรากฏในคัมภีร์ เช่น กุวันนะ-น่าสะพรึงกลัว ขระ-หยาบกระด้าง ขรสิมะ-ขนหยาบแข็ง ขรทาฐิกะ-ฟันจอบ จิตตะ-ด่างลาย สิเลสโลมะ-ขนหรือผมเป็นสังกะตังคือเหนียวติดกันเป็นก้อนเล็กก้อนน้อย สุจิโลมะ-ผมหรือขนเหนียมติดกันจับกลุ่มเหมือนแท่งเข็ม

    ที่มีชื่อในฐานะภุมมัฏฐยักษ์หรือยักษ์พระภูมิก็มี ได้แก่ อาฬวกะ ยมโมลี เสริสสกะ พระภูมิที่สิงอยู่กับต้นกุ่มใหญ่ ผู้ใช้อานุภาพโน้มกิ่งลงมาให้พระบรมศาสดายึดเหนี่ยวขึ้นจากสระบัวเมื่อครั้งประทับ ณ อุรุเวลาเสนานิคม ก็ได้ชื่อว่าเป็นยักษ์เหมือนกัน

    ต่อไปเราจะมาทำความรู้จักยักษ์มีชื่อมีระดับกันนะครับ

    สาตาคิรยักษ์กับเหมวตยักษ์
    ในบันทึกชื่อเหมวตสูตร หมวดขุททกนิกาย พระไตรปิฏกสยามรัฐเล่มที่25-45 ได้เล่าเรื่องของยักษ์2ตน มาปรากฏกายเบื้องพระพักตร์พระบรมศาสดาและทูลถามธรรม

    แต่เป็นการทูลถามแบบข่มขู่ตามประสายักษ์อยากรู้ จากชื่อจะเขาใจว่าเป็นยักษ์ระดับเดียวกับพระภูมิ คือมาจากหิมาลัยและเขาที่ชื่อสาตาคิริ

    คำถามที่ยักษ์อยากรู้แล้วทูลถามพระบรมศาสดานั้นคือโลกเกิดขึ้นเพราะอะไร ทำความพอใจในอะไร อาศัยอะไร เดือดร้อนเพราะอะไร เมื่อพระพุทธองค์ตรัสตอบว่า โลกเกิดขึ้นในสิ่ง6สิ่ง พอใจในสิ่ง6สิ่ง อาศัยในสิ่ง6สิ่ง และเดือดร้อนในสิ่งสิ่ง6สิ่ง เมื่อคลายความพอใจในสิ่ง6สิ่งนี้ได้ ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวง(หมายถึง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะและธัมมารมณ์)

    ยักษ์เมื่อฟังคำตอบก็คิดตามและเห็นด้วย จึงสาธุการยอมรับนับถือพระรัตนตรัย

    อาฬาวกยักษ์
    ยักษ์ตนนี้มีอานุภาพยิ่งใหญ่เสมอพระอินทร์และท้าวเวสสุวัณทีเดียว ถึงกับมีชื่อปรากฏอยู่ในพาหุง ลองมาฟังเรื่องราวของท่านกัน

    อาฬาวกยักษ์เป็นยักษ์ที่ปรากฏอยู่ในพระสูตรถัดจากเหมวตยักษ์ เป็นยักษ์ระดับเดียวกับพระภูมิอีกเช่นกัน สิงอาศัยอยู่ในต้นไทรใหญ่ในป่าใกล้เมืองอาฬวี นิยมชมชอบกินมนุษย์เป็นอาหาร ราชาเมืองอาฬวีต้องทำสัญญาส่งนักโทษมาให้กินทุกๆวัน วันละหนึ่งคนจนหมดคุก ต้องใช้ลูกหลานชาวเมืองเป็นบรรณาการแก่ยักษ์ต่อ

    ผ้าโพกศรีษะของอาฬาวกยักษ์นี้ได้ชื่อว่าเป็นอาวุธวิเศษ ที่มีความยิ่งใหญ่เสมอจักรวชิระของพระอินทร์ คทาของท้าวเวสสุวัณ ดวงตาของท้าวยมราชทีเดียว อานุภาพคือเมื่อปาไปสามารถระเบิดน้ำในมหาสมุทรทั้งมหาสมุทรให้ระเหิดหายไปได้ในชั่วพริบตา(แปลว่าอานุภาพแรงและไวมาก) ไม่แปลกที่ชาวเมืองอาฬวีจะกลัว

    เมื่อพระบรมศาสดามาโปรดนั้น เป็นเวลาที่ยักษ์ทั้งหลายเดินทางไปประชุมกันอยูในเทวสภาของพระอินทร์

    สาตาคิรยักษ์กับเหมวตยักษ์ เดินทางมาเพื่อนมัสการพระบรมศาสดาที่พระเชตวันก่อนไปประชุมแต่ไม่พบ เหาะผ่านมาทางวิมานของอาฬาวกยักษ์ที่สถิตย์ซ้อนอยู่กับต้นไทรใหญ่ จึงเห็นพระบรมศาสดากำลังแสดงธรรมให้ยักษ์ คนธรรพ์ บริวารของอาฬาวกยักษ์นั่งฟังกันอยู่สลอน จึงเข้าสดับและไต่ถามธรรมจนได้รับคำตอบที่พอใจ จึงทูลลาและเดินทางไปพบอาฬาวกยักษ์

    เมื่อเพื่อนรักทั้งสองเดินทางมาพบอาฬาวกยักษ์ ก็ได้กล่าวแก่เพื่อนว่า มีแก้วมณีอันวิเศษเกิดแล้วบนบัลลังก์ในวิมานของท่าน(อาฬวกยักษ์ดีใจอยากได้เเก้ว)

    อาฬวกยักษ์รีบเดินทางกลับมาทันที กลับเห็นพระบรมศาสดานั่งประทับอยู่บนบัลลังก์ของตนก็พิโรธ กระชากผ้าโพกศรีษะขว้างใส่พระบรมศาสดา หมายให้เเตกทำลายเป็นจุลมหาวิจุล แต่ด้วยอานุภาพผ้าโพกศรีษะมิได้ทำร้ายพระพุทธเจ้า กลับกลายเป็นดอกไม้ธูปเทียนบูชาพระบรมศาสดาละลานตาฟุ้งกระจายไปหมด

    อาฬาวกยักษ์เห็นเป็นมหัศจรรย์เสียงอ่อน ทูลให้พระบรมศาสดาลุกจากบัลลังก์ของตน ซึ่งพระบรมศาสดาก็ปฏิบัติตาม อาฬาวกยักษ์ยิ่งมหัศจรรย์ใจขึ้นไปอีกที่เห็นพระพุทธเจ้าว่าง่าย ทั้งไม่แสดงอารมณ์โกรธตอบแต่อย่างใด เลยคิดจะตั้งปัญหาถาม

    พระบรมศาสดาก็ตรัสก่อนว่า ปัญหาความจริงไม่ใช่ของท่านหรอกบิดาของท่านจำมาจากปู่ของท่าน ปู่ของท่านฟังมาจากพระโอษฐ์พระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่พุทธันดรกัปป์ก่อนนู้น อาฬาวกยักษ์ก็ยอมรับและทูลถามปัญหาหลายข้อ

    อาฬาวกยักษ์ได้ฟังคำตอบของปัญหาที่ค้างคามาแต่รุ่นปู่แจ่มแจ้งก็เกิดดวงตาเห็นธรรม พร้อมประกาศถวายตัวเป็นอุบาสกตลอดชีวิต

    แม้เเต่ในบทพาหุุงยังสรรเสริญอาฬาวกยักษ์ไว้ว่า ผู้มีฤทธิ์กล้ายิ่งกว่าพญามาร ยักษ์ตนนี้คงเก่งจริงๆมีฤทธิ์กล้ายิ่งกว่าจอมฟ้าพญามารอย่างพญาปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราช ถ้าพระพุทธเจ้าไม่รีบปราบ ไม่รู้จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่มนุษย์อีกเท่าใด

    นอกจากถวายตัวเป็นอุบาสกเสร็จแล้ว อาฬาวกยักษ์ ยังได้ตั้งปณิธานใหญ่เอาไว้ด้วยว่า
    .......เราจักไปสู่หมู่บ้านและเมืองทั้งหลาย เพื่อสรรเสริญคุณและธรรมแห่งองค์พระผู้บรมศาสดา...(ใครอยากเจอก็ลองจุดธูปเชิญท่านกันนะครับ)

    เป็นที่น่าสังเกตุว่า ชาวเทพฝ่ายเหนือของจาตุมหาราชิกาซึ่งเป็นยักษ์ จะปรากฏกายอยู่นอกเขตสวรรค์ โดยเข้ามาอยู่ทางตะวันตกของจักรวาลแทรกซ้อนกับชมพูทวีปอันเป็นทวีปของมนุษย์มีมิใช่น้อย และยักษ์เหล่านี้ดูจะมีอานุภาพไม่ด้อยไปกว่าจอมเทพผู้เป็นเจ้าสวรรค์ เช่น พระอินทร์ และท้าวเวสสุวัณด้วย

    บ้านใดได้พระภูมิเป็นยักษ์ ที่มีฤทธิ์มากก็ถือว่าโชคดีกว่าเขาเพื่อน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ตุลาคม 2014
  19. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,528
    พ่อขุนผาเมือง

    วีรกษัตริย์ผู้มีน้ำพระทัยเด็ดเดี่ยวเอื้อเฟื้อ ผู้กอบกู้เเละร่วมตั้งอาณาจักรสุโขทัย ขับไล่อำนาจขอม ผู้ทรงพระปรีชาสามารถในการรบเเละการสงคราม ซึ่งปัจจุบันหลายๆท่าน อาจจะลืมพระองค์ไปแล้ว

    พ่ออาจารย์ได้รับนิมิตรจากดวงจิตหนึ่งหลายสิบปีมาเเล้ว เป็นดวงจิตที่มาประจำอยู่กับท่าน คอยช่วยเหลือเกื้อกูลท่านมาตลอด แม้ในการปฏิบัติเเรกๆที่ท่านจะหลุดจะเผลอหลับสัปผงก ดวงจิตนี้ก็จะกระทืบเท้าอย่างเเรงทำให้พ่ออาจารย์ได้สติ นอกจากนี้ดวงจิตนี้ยังคอยช่วยเหลือเกื้อกูลท่านด้านต่างๆ แม้เรื่องของวิชาอาคมและการงาน

    พ่ออาจารย์ได้เล่าให้ฟังว่า ท่านเห็นผู้ชายคนหนึ่ง ผิวกายสีขาวสะอาด ไว้ผมขึ้นจุกเเต่เเผ่กระจายไปด้านหลัง เปลือยกายท่อนบนมีรอยสักเป็นสายสังวาลย์คาดอยู่ ส่วนท่อนล่างทรงเครื่องแบบกษัตริย์โบราณ ท่านว่าชายคนนี้หล่อมาก เกิดมาไม่เคยเห็นผู้ชายที่ไหนจะหล่อได้ขนาดนี้ ใบหน้างามปานอิสสตรีเส้นผมดำเงาสลวย ร่างกายใหญ่โต

    ชายผู้นี้ได้เข้ามาหาพ่ออาจารย์เพื่อขออยู่ด้วย ซึ่งท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่หลังๆท่านเริ่มรู้สึกผิดสังเกตุ เนื่องจากท่านรู้สึกว่าดวงจิตที่ตามท่านไปทุกที่นี้ไม่ธรรมดา ซ้ำยังสูงส่งถึงชั้นพรหมและมีอิทธิฤทธิ์บุญฤทธิ์มาก ต้องเป็นบุคคลระดับเจ้าฟ้าเจ้าเเผ่นดินแน่นอน

    พ่ออาจารย์ได้วาดรูปของท่านจำลองไว้ในลักษณะที่ท่านพบกันครั้งเเรก ท่านว่าบุรุษคนนี้มีรัศมีทั้ง7ครอบคลุมร่างกายสวยงามมาก ซ้ำยังหาไม้มาเเกะสลักซึ่งท่านลงมือเเกะด้วยตนเองเอาไว้กราบไหว้เคารพบูชา

    บุรุษผู้นี้ไม่เคยบอกชื่อเสียงเรียงนามกับท่าน แม้ท่านจะถามเท่าไหร่ก็ไม่ยอมบอกกล่าวให้รู้จะนั่งดูหรือก็ถูกปิดไว้ ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเขาคนนั้นคือใคร เเต่พ่ออาจารย์ก็ให้ความเคารพกราบไหว้มาตลอดเพราะเขามาให้คุณโดยเฉพาะจนเวลาผ่านไปเกือบ5ปี ท่านถึงยอมเล่าประวัติองค์ท่านเองให้พ่ออาจารย์ฟังอย่างละเอียด บุรุษผู้มีดวงจิตบริสุทธิ์ถึงขั้นพรหม มีอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์สูงส่ง ทั้งยังมีผิวกายขาวใส มีรูปพรรณสัณฐานสิริวิลาสงดงาม พ่ออาจารย์ท่านว่างามขนาดที่ผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลกนี้ เมื่อยืนเทียบท่านก็ยังไม่เห็นค่าความคู่ควร บุรุษผู้ที่ติดตามพ่ออาจารย์มาตลอดผู้นั้นคือ พ่อขุนผาเมืองนั่นเอง

    เล่าคร่าวๆก่อนนะครับ เรื่องของพ่อขุนท่านที่สื่อกับพ่ออาจารย์ยังมีอีกเยอะ เเละท่านสื่อจิตถึงกันมานานหลายสิบปีเเล้ว

    มาดูรูปที่พ่ออาจารย์วาดไว้เป็นรูปกระดาษใบใหญ่ ซึ่งต้องบอกว่าสีกระดาษทั้งเหลืองทั้งกรอบ ท่านตั้งไว้กับไม้เเกะสลักที่ท่านแกะเป็นรูปของพ่อขุนผาเมือง ซึ่งท่านลงมือเเกะลงมือทำเอง ไว้จุดธูปบูชา เรื่องนี้ผมก็มีประสบการณ์ ถ้ามีคนอยากฟังผมจะเล่าต่อ ชมบารมีพ่อขุนผาเมืองกันนะครับ เรื่องของท่านต้องเล่ากันยาว พ่ออาจารย์ท่านจะเคารพเเละศรัทธาพ่อขุนมาก เตรียมอ่านและเตรียติดตามกันให้ดีๆ

    พ่ออาจารย์ท่านมักพูดเสมอว่า เรื่องคุณไสยมนต์ดำนั้น ที่ไหนว่ายาก ที่ไหนว่าร้าย ถ้าอาศัยบารมีพ่อขุนผาเมืองท่านเป็นเสื่อมเป็นถอนหมด


    นอกจากนั้น ท่านยังมีบารมีพิเศษที่ลูกศิษย์ที่เคารพเเละกราบไหว้ ได้สัมผัสเสมอๆอีกด้วย


    พ่ออาจารย์ท่านว่า สมัยพ่อขุนเจ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ พระสิริโฉมที่งดงามของพระองค์ท่าน ทำให้บรรดาอิสตรีต่างๆหลงไหลหมายจะได้มาเป็นพระสวามี เเม้เมืองขอม ซึ่งกรุงสุโขทัยเป็นเมืองขึ้นอยู่ในขณะนั้น พระธิดาของกษัตริย์ขอมยังทรงหลงท่านจนพระบิดาของนางต้องขอท่านโดยมอบพระเเสงขรรค์ชัยศรีอันเป็นเครื่องสูงของกษัตริย์ พร้อมกับพระราชทานนามอันแฝงนัยยะไว้ว่าท่านจะได้เป็นกษัตริย์ขอมองค์ต่อไป


    แต่หลังเเต่งงาน ทั้งพระเเสงขรรค์เเละชื่อของท่าน ท่านได้มอบให้กับเพื่อนท่านทั้งหมด ทั้งที่สิทธิ์ในราชบัลลังค์เป็นของท่านเเต่พระองค์ท่านกลับไม่ไยดี เพื่อนของท่านจึงขึ้นครองราชย์โดยใช้ชื่อท่านว่าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ พระราชบิดาของพ่อขุนรามคำแหงนั่นเอง


    ท่านเป็นบุคคลที่ทรงเสน่ห์ประโลมโลกอย่างน่าประหลาด ถึงจะเป็นชนชั้นวีรกษัตริย์ชาตินักรบ แต่ตำนานความรักของพระองค์ก็เป็นที่กล่าวขานกันมากเพราะพระองค์เลือกความเป็นเอกราชของประชาชนเเละความเป็นปึกแผ่นของแผ่นดิน มากกว่าความรักฉันชายหญิงกับพระมเหสีที่เป็นคนขอม


    พ่ออาจารย์จะเรียกท่านว่าพ่อขุนเจ้า เพราะหลังจากสถาปนากรุงสุโขทัย พระองค์ทรงหายตัวลึกลับ เเละเดินทางเข้าไปสักการะพระบรมธาตุเจดีย์แห่งหนึ่ง ภายหลังได้เข้ากรรมฐานขั้นอุกฤติและสิ้นพระชนม์ในพระกรรมฐานนั้น ไปบังเกิดเป็นใหญ่ในหมู่พรหมเเห่งสุทธาวาส


    เรื่องภาพเเกะสลักเเละภาพวาดของพ่อขุนเจ้านี้ก็ถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ของพ่ออาจารย์ เพราะว่ามีคนรับลาภก้อนใหญ่ไปหลายคน ที่ได้ดีเพราะมาจุดธูปบนบานขอท่านก็มี ที่มีลูกยากทั้งหมอตรวจทั้งทำสารพัดวิธีก็ยังไม่ได้ มาขอท่านได้ลูกชายจ่ำม่ำก็มี เรื่องแบบนี้ไม่เรียกว่าบารมีและความศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่รู้จะเรียกอะไร

    พ่ออาจารย์บอกกับเราเสมอว่า พ่อขุนเจ้านี้บารมีท่านเยอะ ถือเป็นพ่อองค์หนึ่งของเเผ่นดิน ถ้าไม่มีท่านกรุงสุโขทัยก็ไม่ได้เกิด คนไทยยังต้องเป็นข้าขอมไปอีกไม่รู้กี่ร้อยปี ให้เคารพท่านรักท่านเหมือนพ่อ ท่านไม่ค่อยพูด แต่เวลาท่านจะช่วยก็ช่วยแบบไม่มีข้อแม้ มีพ่อที่ไหนเห็นลูกตกต่ำได้บ้าง เเต่ก็อย่างว่า ต้องคิดว่าท่านเป็นพ่อจริงๆ ไม่ใช่เป็นเฉพาะเวลาเดือดร้อน เป็นเฉพาะวันสองวัน คนแบบนี้มันก็ไม่น่าช่วย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SAM_38132.jpg
      SAM_38132.jpg
      ขนาดไฟล์:
      2.9 MB
      เปิดดู:
      715
    • SAM_38143.jpg
      SAM_38143.jpg
      ขนาดไฟล์:
      3.8 MB
      เปิดดู:
      627
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ตุลาคม 2014
  20. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,528
    ท้าวสักกะเทวราช (องค์อินทร์)

    ตามคำสัญญาครับ วันนี้มาทำความรู้จักองค์อินทร์กันดีกว่า อ่านจากนิทานดูในหนังจักรๆวงๆก็มีท่านเข้ามาเกี่ยวข้องตลอด เข้าเรื่องเลยนะครับ

    เทพบดีผู้ทำหน้าที่พิทักษ์ผลึก แกนแห่งจักรวาล

    พระอินทร์ (ท้าวสักกะเทวราช)
    ท้าวสักกะเทวราช เป็นตำแหน่งผู้เป็นราชาแห่งทวยเทพปกครองพิภพดาวดึงษ์ และเป็นประธานเทวสภาด้วย

    ในบันทึกชื่อ สักกปัญหสูตร หมวดทีฆนิกาย มหาวัคค์แห่งพระไตรปิฏกกล่าวว่า ท้าวสักกะเทวราชพระองค์นี้ ทรงเป็นพระอริยบุคคลระดับ โกลังโกละโสดาบัน คือ เป็นบุคคลผู้ต้องมาเกิดอีก2-3ภพชาติเท่านั้น ก็จะบรรลุอรหัตผล และการเกิดในภพชาติที่เหลือนี้ มีเเต่จะต้องเกิดสูงขึ้นไปด้วยเท่านั้น ไม่มีต่ำลงมาอีกเเล้ว

    แต่ในฏีกามาลัยเทวสูตรกล่าวว่า เหลืออีก7ชาติ คือท่านเป็น สัตตักขัตตุงปรมะโสดาบัน จากทั้ง2ความเชื่อนี้ พ่ออาจารย์รองรับความเชื่อแรกมากกว่า เพราะภพชาติขององค์อินทร์นั้น ท่านว่าแน่นอนแล้ว

    จอมเทพองค์นี้ มีอาวุธวิเศษ2ประการ คือจักรเพชรอันเกิดขึ้นจากอานิสงส์แห่งขันติ กับมหาสังข์ทักขิณาวัฏฏ์ เกิดเเต่อานิสงส์ความเมตตา

    จักรเพชรหรือวชิราวุธ เป็น1ใน4ยอดศาสตราวุธวิเศษที่พระพุทธเจ้าให้การยอมรับ มีอานุภาพระเบิดขุนเขาพระสิเนรุราชซึ่งเป็นแกนผลึกจักรวาลให้เเหลกเป็นจุณได้ในพริบตาที่ปาออกไป และมีรัศมีการทำลายไกลถึงหนึ่งแสนโยชน์ (น่ากลัวกว่าอาวุธนิวเคลียร์เสียอีก)

    ท้าวสักกะเทวราชนี้เป็นผู้นำในการต่อต้านและขับไล่ไม่ให้อสูรเข้ายึดยอดเขาพระสิเนรุราชอันเป็นแกนของจักรวาล ท่านมีชื่อเเละพระนามหลายพระนาม
    - มัฆวาน เพราะในอดีตชาติเกิดเป็นมนุษย์ชื่อมฆะ เป็นผู้นำมนุษย์สร้างสาธารณสถานเอื้ออำนวยประโยชน์สุขแก่ชาวมนุษย์ด้วยกัน
    - ปุรินททะ เพราะในอดีตชาติที่เป็นมนุษย์ เคยเป็นผู้นำในการให้ทานของมนุษย์ทั้งหลาย
    - สักกะ เพราะประพฤติตนอ่อนน้อม เคารพต่อการให้ทานและปฏิบัติธรรมทั้งหลาย
    - วาสพ เพราะอุทิศสร้างสาธารณสถานถวายแก่สมณชีพราหมณ์ผู้ทรงศีล ตลอดจนมนุษย์ทั่วไป
    - สหัสสักขะ หรือสหัสนัย แปลว่าพันตา เพราะเป็นผู้ฉลาดรอบรู้ในการพิจารณาและคิดค้นวิจัยได้อย่างแตกฉานกว้างขวาง สมญานี้บางครั้งก็เรียกเป็นตรีเนตร แปลว่าผูมี3ตา หมายถึงผู้รู้เห็นมามาก
    - สุชัมบดี เพราะเป็นสามีของนางสุชาดาอสูรกัญญา การได้ชื่อว่าเป็นสามีกับบดี เพราะเกื้อกูลชักนำให้ภริยาได้ปฏิบัติธรรมเสมอกับตน
    - เทวานมินทะ ผู้เป็นใหญ่เหนือทวยเทพ เพราะเป็นจอมเทพ ที่มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ เป็นอิสระเหนือเทพเจ้าทั้งหลายในดาวดึงษ์ และพิเศษกว่าเทพเจ้าทั้งหลายในทุกสวรรค์ชั้นฟ้า คือ มีอายุเกิน 1,000ปีทิพย์ ตามขอบเขตอายุขัยของชาวสวรรค์ชั้นดาวดึงษ์แล้ว แต่กลับไม่ต้องจุติ ทั้งยังสามารถอยู่ในสถานภาพจอมเทพตำแหน่งเดิม แถมมีทิพยภาวะรุ่งเรืองยิ่งกว่าเก่า

    ชาวมนุษย์จึงเรียกชื่อพระองค์ว่าอมรินทร์ คือพระอินทร์ผู้ไม่ตาย เหตุผล เพราะว่าพระอินทร์พระองค์นี้ เป็นพระโกลังโกละโสดาบันผู้อริยบุคคล เหลือภพชาติที่จะต้องจุติไม่เกิน3ภพชาติ ภพชาติที่เหลือมีแต่จะต้องไปอุบัติเป็นจอมเทพในสวรรค์ชั้นที่สูงยิ่งๆขึ้นไปกระทั่งเข้าสู่นิพพานในภพชาติสุดท้าย คือต้องไปอุบัติเป็นท้าวมหาพรหมในพรหมโลกชั้นสุทธาวาสเท่านั้น จัดเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่ำแต่ทรงอานุภาพใหญ่มาก ก็เลยสามารถบันดาลให้เกิดเหตุการณ์พิเศษดังที่เล่ามาได้

    ความฉลาดรอบรู้ในบทธรรมของพระอินทร์นี้ เคยทำให้ท่านพระมหาโมคคัลลานเกิดความสนใจ ถึงกับสะกดรอยตามขึ้นไปจนถึงวิมานไพชยนตมหาปราสาทเลยทีเดียว

    แต่เมื่อพระมหาเถระ ได้มาสัมผัสความโอฬารโอ่อ่าของทิพยวิมาน ที่ค่อนข้างจะสวนทางกับบทธรรมความรอบรู้นั้นเข้า ก็เลยต้องแสดงอานุภาพแห่งพระอรหันต์ คือใช้นิ้วหัวแม่เท้าขยี้เบาๆลงบนพื้นวิมาน ผลก็คือสวรรค์ชั้นดาวดึงษ์ทั่วพิภพสั่นสะเทือน เป็นการเตือนสติท้าวสักกะเทวราชไปในตัว

    เหตุการณ์นี้อยู่ในบันทึกชื่อจูฬตัณหสังขยสูตร หมวดมัชฌิมนิกายมูลปัณณาสก์ แห่งพระไตรปิฏก ซึ่งอีกหลายร้อยปีต่อมาก็มีพระอรหันต์เถระอีกท่านหนึ่ง ขึ้นไปเตือนสติท้าวเทวราชพระองค์นี้ ด้วยวิธีเดียวกับที่พระมหาโมคคัลลานเคยกระทำมาก่อนเช่นกัน

    บทบาทของเทพเจ้าผู้รักษาผลึกจักรวาลพระองค์นี้ แน่นอนว่าท่านย่อมผูกขาดที่จะเป็นผู้นำการต่อสู้กับอสูรไปอีกนานแสนนานเลยทีเดียว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • in_4.jpg
      in_4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      79.4 KB
      เปิดดู:
      546

แชร์หน้านี้

Loading...