พบพระองค์ที่ ๑๐

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย phataravudh, 20 เมษายน 2013.

  1. phataravudh

    phataravudh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +2,440
    พบพระองค์ที่ ๑๐

    [​IMG]
    พระองค์ที่ ๑๐ เป็นใคร...? มาจากไหน...? มีความสำคัญอย่างไร...? หลวงพ่อท่านเล่าให้พวกเราฟังว่า...
    ครั้งหนึ่ง...มีโยมนิมนต์ท่านไปงานทำบุญบ้านที่จังหวัดราชบุรี พระที่ได้รับนิมนต์มีอยู่ด้วยกัน ๙ องค์ มีท่านเจ้าคณะจังหวัดเป็นประธาน แต่พอไปถึงบ้านงาน ปรากฏว่ามีพระอีก ๑ องค์ ไปนั่งรออยู่ก่อนแล้ว...
    พระองค์นั้นเป็นพระหนุ่ม ดูแล้วอายุคงจะไม่เกิน ๓๐ ปี รูปร่างหน้าตาดีมาก ผิวขาวอมเหลือง ดูผ่องใสอย่างประหลาด ท่านนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน แม้พระองค์อื่นมากันครบแล้ว ท่านก็ไม่มีทีท่าว่าจะลุกจากที่ ท่านเจ้าคณะจังหวัดจึงนั่งถัดมาเป็นคอสอง ตามลำดับไป จนถึงหลวงพ่อ ที่นั่งปิดท้ายอยู่...
    พอพระองค์นั้นให้ศีล หลวงพ่อเล่าว่า ได้ยินแล้วทึ่งมาก เสียงท่านแจ่มใสกังวาน ฟังไพเราะรื่นหู ชื่นใจจนบอกไม่ถูก อักขระทุกตัวถูกต้องชัดเจน เสียงอย่างนี้ในตำราเรียกว่า “โฆสัปปมาณิกา” คือ มีเสียงไพเราะเป็นที่ชอบใจ ของบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย...
    เมื่อกำลังฉันอยู่ ท่านเจ้าคณะจังหวัดถามว่า บวชมากี่พรรษาแล้ว...? พระองค์นั้นส่งหนังสือสุทธิให้ดู ปรากฏว่า ท่านบวชมากว่า ๓๐๐ ปีแล้ว...! ท่านเจ้าคณะจังหวัดราชบุรีถึงกับพูดไม่ออก เรื่องอื่นที่คิดจะถามเลยไม่กล้าถามต่อ...!
    พอให้พรญาติโยมเสร็จท่านก็ลากลับ หลวงพ่อถามเจ้าของบ้านว่านิมนต์พระองค์นี้มาจากไหน...? เจ้าของบ้านตอบว่า ผมคิดว่ามาด้วยกันกับท่านซะอีก...! เอาละซี...มีเรื่องจนได้แล้วไหมล่ะ... หลวงพ่อบอกให้เจ้าของบ้าน วิ่งลงไปดูซิว่าท่านไปทางไหน...?
    เพิ่งคล้อยหลังลงบันไดไปแท้ ๆ บ้านก็อยู่กลางทุ่งโล่ง ไม่มีที่ให้หลบมุมซักหน่อย แต่พระองค์นั้นหายไปทางไหนไม่มีใครรู้ อย่างกับท่านเหาะเหินเดินอากาศ หรือว่าดำดินได้อย่างนั้นแหละ เนื่องจากเจ้าของบ้านนิมนต์พระ ๙ องค์ แล้วท่านมาเพิ่มเป็นองค์ที่ ๑๐ หลวงพ่อจึงเรียกท่านว่า พระองค์ที่ ๑๐ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา...
    หลวงพ่อเล่าเรื่องนี้ให้พวกเราฟังนานมากแล้ว จนชักจะลืม ๆ กันหมด อยู่ ๆ ก่อน งานประจำปีของวัดท่าซุง ปี ๒๕๒๘ หลวงพ่อก็บอกกับลูก ๆ ทั้งหลายว่า งานนี้พระองค์ที่ ๑๐ จะมาโปรด พร้อมกับบรรยายรูปร่างลักษณะให้พวกเราได้ทราบเอาไว้ อาตมาตื่นเต้นมาก ที่จะได้พบกับพระพิเศษอย่างนี้ ชวนพรรคพวกไปวัดก่อนงานตั้ง ๓ วันแน่ะ...!
    หลวงพ่อให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า จะมีพระดีมาเป็นจำนวนมาก “หลวงตาลา” กับ “หลวงตาบุตร” ก็มาด้วย หลวงตาลารูปร่างสูงใหญ่ผมหงอกประปราย หลวงตาบุตรผอมเล็ก ผิวดำ อาตมากับพรรคพวกยิ่งตื่นเต้นใหญ่...
    วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๒๘ เวลาเช้ามืด...มาตมาตื่นตั้งแต่ตีสาม อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ตั้งใจเจริญกรรมฐานตามปกติ แต่วันนี้อารมณ์มันแกว่ง ๆ พิกล นั่งกรรมฐานไม่ได้เอาเลย จึงนั่งแกล้งพรรคพวกจนตื่นนอนไปตาม ๆ กัน พร้อมกับร้องเพลงงึมงำอยู่คนเดียว...
    ธรรมนูญ(อาจารย์ธรรมนูญ นาคส่องแสง) ร้องว่า “โอ้โฮพี่ร้องเพลงเชียวหรือ?” แมมมี (ร.ท.หญิงรมณีย์ พยุงเวช) ที่นอนอยู่ใกล้ ๆ หัวเราะคิก เพราะอาตมาถือศีล ๘ จนผอมกะหร่อง อยู่ ๆ ยอมศีลขาดร้องเพลงเล่น นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก...!
    ทำอย่างไรใจก็ไม่ยอมสงบ อาตมาจึงทิ้งเพื่อน ๆ ให้นอนต่อ เปิดประตูออกไปเพื่อจะเดินเล่น ก็พบกับ สามเณรบุญชุ่ม ทาแกง ยืนจ้องเป๋งอยู่หน้าห้อง...อาตมาถามว่า “หลวงพี่เณรมีธุระอะไรกับผมหรือครับ...?” ท่านไม่ตอบ หันหลังเดินจากไปเฉย ๆ...
    สำหรับเณรองค์นี้ (ปัจจุบันคือ ครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร วัดพระธาตุดอนเรือง) อาตมาเลื่อมใสท่านมานานแล้ว ทราบว่าท่านเก่งแน่ แต่มาจ้องอยู่ที่หน้าห้องแต่เช้ามืดแบบนี้ ท่านมีอะไรจะบอกใบ้หรือเปล่าหนอ...? อาตมาคิดว่า “วันนี้ต้องมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นกับเราอย่างแน่นอน” มันรู้สึกสังหรณ์ใจผิดปกติ ตั้งแต่ตอนที่นั่งกรรมฐานไม่ได้แล้ว...
    ประมาณ ๑๗.๓๐ น. เลิกจากการงานของวัดแล้ว พออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยอาตมาก็ชวนพรรคพวก ประกอบด้วย ธรรมนูญ แมมมี ติ๋ว (ร.ท.หญิงสิริพร จอมผา ยศในขณะนั้น) ตุ้ม (จำชื่อจริงไม่ได้) นัน (นันฑิญา เหลือถาวรกุล) แข (ดวงแข คชภูมิ) นิพพา (นิพพา สืบสิงห์) คิ้ม (จงกล แจ่มแจ้ง) ออกลาดตระเวนกัน...
    จุดมุ่งหมายคือ ตามหาพระที่หลวงพ่อบอกไว้ ตอนนี้พระอาคันตุกะมาเป็นร้อยองค์แล้ว ลองสำรวจเผื่อจะโชคดี ได้พบองค์ที่เหมือนกับที่หลวงพ่อบอก จะได้ทำบุญกับท่านก่อนคนอื่น (ขนาดเรื่องทำความดีนะเนี่ย ยังไม่ยอมให้คืนอื่นเกินหน้าเล้ย...ตูละหน่าย...)
    จากพระจุฬามณี เดินลัดเลาะเรื่อยมา พบพระหลายองค์แต่ไม่เข้าเค้า บางองค์โดนหมากัดซะเหวอะ ต้องเข้าไปช่วยทำแผลให้กับท่าน (ติ๋วกับแมมมีเป็นพยาบาลทหารอากาศ) จนข้ามมาฝั่งวัดเก่า ซึ่งตอนนั้นยังเป็นป่าอยู่ (ปัจจุบันคือบริเวณที่ตั้งตึกรับแขกทั้งหมด)
    ขึ้นไปปฏิสันถารกับพระหลายองค์ ที่กางกลดอยู่บนศาลาไม้สัก (ปีถัดมาศาลาหลังนี้ถูกไฟเผาซะเรียบเลย) พอสมควรแก่เวลาก็กราบลาท่าน ลงจากศาลาเพื่อไปหาพระที่ตั้งใจไว้ พอเดินมาถึงหน้าโบสถ์เก่า อาตมาก็เห็น...
    พระหนุ่มองค์หนึ่ง ลักษณะท่าทางดีมาก อายุประมาณ ๓๐ ปี นั่งตัวตรงอยู่บนตอไม้ ที่ซึ่งท่านนั่งอยู่เป็นที่เด่นมาก อยู่ห่างจากศาลาไม้สักไม่ถึง ๑๐ เมตร อาตมาเป็นคนสายตาดีเป็นพิเศษ (พวกมือปืนต้องสายตาดีกันทุกคน) แต่เชื่อหรือไม่...? อาตมาเดินมาจนเกือบถึงองค์ท่านแล้ว ถึงได้มองเห็นท่านนั่งอยู่กับลูกศิษย์ ๓ คน...!
    ในสายตาอาตมา พระที่จะขลังต้องแก่ ๆ หน่อย (แบบนี้มีหวังถูกต้มทั้งชาติ) เมื่อเห็นเป็นพระหนุ่ม อาตมาก็จะเดินหลีกไป แต่เกิดเรื่องมหัศจรรย์ขึ้น...คือ เท้ามันไม่ยอมเชื่อฟัง สั่งให้มันเดินหนี แต่มันกลับพาเลี้ยวเข้าไปหาท่าน โดยที่อาตมาฝืนอย่างไรก็ฝืนไม่ได้...!
    อาตมานั่งลงกราบท่านอย่างเสียไม่ได้ ท่านก็โอภาปราศรัยด้วย ประโยคแรกซึ่งท่านถามอาตมาคือ “เธอมาจากไหน...?” พรรคพวกทุกคนฟังแล้ว สะดุ้งกันแปดตลบ เพราะไปเหมือนกับที่พระพุทธเจ้าตรัสถามเปสการีธิดาเปี๊ยบเลย...!
    อาตมาตอนนั้นทั้งมืดทั้งบอดอย่างสนิท ไพล่ไปตอบท่านว่า “หลวงพี่ต้องการแบบไหนละครับ...? ถ้าจากวัดผมมาจากจุฬามณี ถ้าจากบ้านผมมาจากพระโขนง...” ท่านยิ้มน้อย ๆ พลางว่า “นี่เธอรวนฉันก่อนนะ ขอถามอีกที เธอจะไปไหน...?”
    เพื่อนพ้องทุกคนเหงื่อแตกพลั่ก...แต่อาตมาไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ตอบท่านว่า “ผมมาหาพระดีครับ” “แล้วเจอไหมเล่า...?” อาตมาตอบเป็นเชิงกระทบกลาย ๆ ว่า “ยังครับ” ความหมายคือ พระดีที่ตามหา ไม่ใช่ท่านอย่างแน่นอน...!
    เพราะอะไรจึงมั่นใจอย่างนั้น...? ก็ทันทีที่กราบท่าน อาตมาใช้วิธีดูใจแบบที่หลวงพ่อสอนเอาไว้แล้ว มืดสนิทอย่างนี้เป็นพระดีก็เกินไปละ...(ภายหลังหลวงท่านชมว่าโง่ดีมาก คนที่เราจะดูใจได้ คือคนที่เสมอกันหรือต่ำกว่าเท่านั้น คนที่มีคุณธรรมสูงกว่าถ้าตั้งใจปกปิด เราจะไม่มีวันได้รู้กำลังใจที่แท้จริงของท่านเลย)
    เมื่ออาตมาประกาศสงคราม ท่านก็ลงสนามรบด้วย ลีลาของท่านแม้จะนุ่มนวล แต่ก็สง่างาม เหมือนราชันย์สู่สงคราม ถึงลูกถึงคน เปี่ยมไหวพริบปฏิภาณ มีทั้งลูกล่อลูกชน หากว่าอาตมาไม่มีไม้ตาย คือยามคับขันอ้างว่า “หลวงพ่อยังไม่ได้สอน” มีหวังจอดตั้งแต่ยกแรก ท่านต้อนจนฉิว บ่นว่า “ไอ้ลูกลิงนี่เหลือเกิน ติดมุมแล้วมุดดินหนีก็ยังเอา...!”
    ลูกเล่นลูกฮาของท่านก็เหลือเกิน พรรคพวกส่งเสียงเฮชอบอกชอบใจ นาน ๆ ถึงจะมีพระยอมเล่นด้วยซักที ความเกรงท่านแต่แรกหายไปหมด เหลือแต่ความปีติอิ่มเอิบใจ จึงนั่งเชียร์พระโต้ธรรมะกับฆราวาสอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน...
    จนเกือบสองทุ่ม ฝนเริ่มลงเม็ดเปาะแปะ ท่านก็ขอตัวไปพักผ่อน อาตมาพาพรรคพวกกลับที่พัก ทุกคนแจ่มใสเบิกบานโดยทั่วหน้ากัน อารมณ์ขุ่นมัวแต่เมื่อเช้า หายขาดเป็นปลิดทิ้ง ยังข้องใจกับคำพูดประหลาด ๆ บางประโยคของท่านที่ว่า...
    “ฉันมาจากวัดที่มีพระ” “ฉันมาที่นี่บ่อย แต่เธอไม่ได้เห็นฉันหรอก ฉันมาหาฤๅษีเขา” “ฉันเป็นผู้ปรารถนาพระโพธิญาณ ทุกวันนี้ก็ยังทำหน้าที่พระโพธิสัตว์อยู่” “ฉันคิดว่าคงจะช่วยใครให้พ้นนรกไม่ได้ ฉันมีหน้าที่บอกทางให้เท่านั้น”...ฯลฯ
    รุ่งเช้า... วันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๒๘ เป็นวันงานประจำปี พระเถรานุเถระทยอยกันมาตั้งแต่เมื่อคืน บางองค์ เช่น พระพรหมคุณาภรณ์ วัดสระเกศ ถึงกับลงไปฉันก๋วยเตี๋ยว ร่วมกับพระทุกองค์ในวัด อย่างไม่ถือองค์เลย...
    อาตมาทำหน้าที่ประเคนอาหารพระ พอครบถ้วนดีแล้ว นึกถึงหลวงพี่องค์เมื่อคืนขึ้นมา จึงบอกพี่ประทุม (แม่ครัวกองทุน) ว่ามีพระอาคันตุกะกับลูกศิษย์ อยู่ทางฝั่งวัดเก่า ไม่เห็นท่านมาฉันที่นี่ ขออาหารไปถวายท่าน และขอเผื่อลูกศิษย์ท่านด้วย...
    พี่ประทุม (เสียชีวิตไปประมาณ ๓-๔ ปีแล้ว) ก็แสนดี รีบจัดอาหารให้โดยเร็ว เป็นเกาเหลาแห้ง ๘ ชาม อาตมาก็ไม่ทราบว่า ขนไปได้เรียบร้อยในเที่ยวเดียวได้อย่างไร ? (แต่ก็เอาไปแล้วล่ะ) ไม่เห็นท่านบนศาลา จึงชะโงกไปดูข้างนอก แล้วก็ได้เห็น...
    ข้างศาลาที่อาตมาเพิ่งเดินผ่านมานั่นแหละ ท่านกำลังเดินจงกรมอยู่...อะไรกันวะ? เมื่อกี้เดินมาเราไม่เห็นใครเลยนี่หว่า...รอบศาลาก็ว่างโล่งไม่มีอะไรบัง เราผ่านท่านมาโดยไม่เห็นเลยได้อย่างไรกัน ? ตาถั่วแล้วมั้งตู...?!?
    แต่ว่างานกำลังยุ่ง กระทั่งเวลาสงสัยยังไม่มี กราบเรียนท่านว่า “อาหารวางไว้บนอาสน์สงฆ์ จะฉันเมื่อไรหลวงพี่หาคนประเคนด้วยนะครับ” ท่านตอบยิ้ม ๆ ว่า “เดี๋ยวก็มีคนมาประเคนให้เองแหละ...” อาตมาจึงโกยแน่บไปช่วยงานที่ศาลา ๒ ไร่...
    บนศาลานั้น หลวงปู่มหาอำพัน วัดเทพศิรินทราวาส หลวงปู่ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวง หลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม หลวงพ่อบุญรัตน์ วัดโขงขาว กำลังช่วยหลวงพ่อรับแขกอยู่ อาตมากราบท่านทุกองค์ แล้วไปช่วยงานที่ข้างองค์หลวงพ่อ...
    หลวงพ่อกำลังคุยกับ พล.ท.พิจิตร กุลละวณิชย์ และพล.ท.เทียบ กรมสุริยศักดิ์ สองแม่ทัพภาคอยู่ อาตมาแจกหนังสือของขวัญวันรับสมณศักดิ์ แก่ญาติโยมที่มาทำบุญกัน ผู้คนมากันแน่นขนัดไปทั้งวัด ศาลา ๒ ไร่เล็กเกินไปซะแล้ว...!
    พระเถรานุเถระมี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นประธาน กำลังจะเริ่มเจริญพระพุทธมนต์ พี่สุนันท์ (คุณสุนันท์ เจียรกูล) มากระตุกแขนเสื้อกระซิบว่า “พระองค์ที่ ๑๐ มาถึงแล้ว อยู่ที่ฝั่งวัดเก่าแน่ะ...!”
    อาตมาขนลุกด้วยความดีใจ รีบถามว่าท่านมีลักษณะอย่างไร ? อยู่ตรงไหน ? พอได้รับคำอธิบาย อาตมาก็งงเป็นกำลัง ลักษณะที่บอกมา มันตรงกับหลวงพี่องค์นั้นนี่นา...! ถามด้วยความไม่มั่นใจว่า “แน่ใจแล้วหรือพี่...?”
    “แน่ซิน่า...เมื่อคืนหลวงพี่วัชรชัย (พระวัชรชัย อินทวํโส) เห็นท่านเดินจงกรม เท้าลอยพ้นพื้นตั้งสูง...แล้วตาใหญ่ (คุณอรรถวุฒิ ภาณุพินทุ) ขอถ่ายรูปท่าน เห็นรัศมีออกมาเป็นประกายรุ้งเลย...!” พี่สุนันท์ยืนยันขันแข็ง ขณะที่อาตมายังลังเลใจอยู่...
    เรื่องของเรื่องก็ต้องพิสูจน์กันหน่อย อาตมาลากพี่น้องฝาแฝดมาทำหน้าที่แทน เหลียวมองหาพรรคพวก เห็นแต่ติ๋วกับแมมมีสองคนเท่านั้น คว้าแขนได้ก็ลากวิ่งลิ่วไปเลย อธิบายให้ทราบคร่าว ๆ ว่า พระองค์ที่ ๑๐ มาแล้ว มีคนพบท่านที่ฝั่งวัดเก่า...
    ที่หอกลองข้างศาลาการเปรียญ ซึ่งอยู่ติดกับหอฉันหลังใหม่นั่นเอง “หลวงพี่” นั่งเด่นเป็นสง่าอยู่ มีญาติโยมเข้าแถวยาวเหยียด เพื่อเข้าไปทำบุญกับท่าน อาตมาขี้เกียจเข้าคิวจึงทิ้งเพื่อนทั้งสองเอาไว้ข้างล่าง ตัวเองปีนต้นมะม่วง ขึ้นไปนั่งแปะอยู่ข้างองค์ท่านเลย...
    ท่านเหลือบมาดูนิดเดียว แล้วกล่าวคำพูด ที่อาตมาเข้าใจคนเดียวว่า “มาแล้วรึ...? ตอนนี้ไม่เล่นด้วยแล้วนะ...!” อาตมากราบท่านแล้วมองไปรอบข้าง เห็นท่านเจ้ากรมเสริม (พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์) พี่ปี๊ด (คุณกัลยาณี ไชยะโท) และใครต่อใครมากันจนแน่นหอกลอง ติ๋วกับแมมมีก็แสดงปาฏิหาริย์ เหาะขึ้นมานั่งอยู่ข้าง ๆ เมื่อไรก็ไม่รู้...!
    ตรงหน้าท่านมีถุงใบใหญ่ ญาติโยมที่ทำบุญกับท่าน ต่างเอาปัจจัยหย่อนใส่ถุงจนแทบล้น อาตมาหมายมั่นปั้นมือว่า ถ้าท่านไม่เอาไปถวายหลวงพ่อ แบบหลวงปู่หลวงพ่อองค์อื่น ๆ ทำละก็ อาตมาจะ “อัด” ท่านให้หนัก ท่านหันมาพูดยิ้ม ๆ ว่า “ไม่มีทางหรอก...!”
    อาตมาถึงกับสะดุ้ง ท่านรู้วาระจิตผู้อื่นจริง ๆ หรือนี่...? เห็นพี่ปี๊ดถือกล้องถ่ายรูปอยู่ อาตมาเลยอาสาถ่ายรูปท่านให้ รับกล้องมาแล้ว อธิษฐานขออนุญาตในใจ ท่านหันมาบอกว่า “ขอให้คนอื่นเขาได้ยินด้วยซิ...!” อาตมาสะดุ้งกล้องแทบหลุดมือ...!
    พอถ่ายรูปท่านเรียบร้อย อาตมาก็กราบขอบารมีองค์สมเด็จพระบรมครู ขอ “ดู” ท่านอีกวาระหนึ่ง คราวนี้เห็นแสงสีทองเป็นกรวยสามเหลี่ยม พุ่งจากข้างบนมายังศีรษะของท่าน มันชักจะยังไง ๆ ซะแล้ว ก็เมื่อคืนไม่เห็นแบบนี้นี่นา...
    อาตมามองเห็นใต้สังฆาฏิของท่าน มีลูกประคำโผล่ออกมาจึงตั้งจิตอธิษฐานว่า “ถ้าท่านคือพระองค์ที่ ๑๐ จริง ๆ และวาสนาบารมีของลูกสามารถเข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้จริง ๆ ขอให้ท่านแสดงออก ด้วยการมอบลูกประคำให้แก่ลูกด้วยเถิด...”
    ท่านยิ้มพลางกล่าวเบา ๆ พอได้ยินว่า “ได้ซิ...แต่ไม่ใช่ตอนนี้นะ...คนเยอะ...” ได้ยินแล้วอาตมาหัวใจพองคับอก เป็นท่านจริง ๆ ด้วย ไม่น่าเชื่อเลย...ท่านมาโปรดลูกหลาน ตามที่สัญญาไว้กับหลวงพ่อจริง ๆ อาตมานั่งดูท่านรับแขกอย่างเพลิดเพลิน รู้ตัวอีกทีตอนท่านสั่งให้กันคนออกไปก่อน แล้วยกอาหารมาประเคนด้วย ท่านจะได้ฉันซะที...!
    อาตมารีบขอร้องทุกคน ให้ถอยออกไปชั่วคราว แล้วยกอาหารมาจะประเคนท่าน คนอื่นเห็นอาตมาได้ถวายอาหารท่าน ต่างก็เอาอาหารที่ตนมีอยู่ใส่ถาดร่วมถวายด้วย...ท่านดูถาดที่พะรุงพะรังด้วยอาหารแล้ว ถามยิ้ม ๆ ว่า “นั่นเธอจะเลี้ยงลิงหรือ...?!”
    อาตมาตีหน้าไม่ถูก ท่านรับประเคนแล้ว ไล่อาตมาไปเฝ้าทางขึ้นเอาไว้ อย่าให้ใครขึ้นมารบกวนตอนนี้ อาตมา ติ๋ว แมมมี นั่งเรียงหน้ากระดาน ขวางอยู่ตรงทางขึ้น สับสนไปหมด เหมือนฝันไปทั้งกำลังตื่นอยู่ (ลองกัดลิ้นตัวเองซักทีซิ...จะได้รู้ว่าไม่ได้ฝัน)
    กำลังคิดเพลินอยู่ ก็มีหลวงตาร่างผอมบางองค์หนึ่ง เดินหลีกคนขึ้นมาข้าง ๆ อาตมา แล้วกราบพระองค์ที่ ๑๐ อย่างนอบน้อม อาตมามีคำถาม ๑๐๘ อยู่เต็มสมอง แต่หลุดปากไปแบบโง่สุดขีดว่า “หลวงตาชื่ออะไรครับ...?”
    “อาตมาคือ โหรอรุณ เทศถมทรัพย์” อาตมาได้ยินแทบหงายผลึ่ง สุดยอดหมอดูของเมืองไทยท่านนี้ ที่แท้เป็นพระหรือนี่ หลงเข้าใจว่าเป็นฆราวาสมานาน อาตมาถามท่านด้วยปริศนาว่า “องค์นี้ท่าน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์แน่นะครับ...”
    “ยิ่งกว่า ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ซะอีก” หลวงตาอรุณตอบอย่างหนักแน่น อาตมาเหงื่อแตกพลั่ก...นรกกินหัวแน่กู...! เมื่อคืนล่วงเกินท่านไว้ขนาดหนักเลย พอดีท่านฉันเสร็จ เตรียมให้พร อาตมาคิดว่า ถ้าให้พรไม่ถึงนิพพานละสวยแน่ (เป็นซะอย่างนี้แหละ ไอ้ควาย...!)
    ท่านให้พรเป็นภาษาไทย ไพเราะกลมกลืน รื่นหูเป็นอย่างยิ่ง แต่เชื่อหรือไม่ อาตมาเองจัดเป็นคนที่มีความจำเป็นเลิศคนหนึ่ง ฟังอะไรครั้งแรกจะจำได้เกือบครึ่ง ถ้าสามครั้งแปลว่าชาตินี้ไม่มีวันลืม แต่จำคำให้พรของท่าน ไม่ได้แม้แต่คำเดียว...!
    ท่านบอกว่า “จำไม่ได้ก็ช่างมันเถอะ ถึงเวลาจะได้เอง” อาตมายกถาดอาหารออกมา ไม่ทราบว่าท่านฉันอย่างไร ไม่ยุบเลยแม้แต่น้อย ส่งแอ๊ปเปิ้ลให้ติ๋วกับแมมมีคนละ ๑ ลูก ตัวเองเก็บลูกที่ท่านฉันแหว่งไปลงกระเป๋า...(คอยคลำอยู่เรื่อย กลัวรอยแหว่งจะหาย...!)
    มีผลไม้ประหลาดลูกหนึ่ง ลักษณะคล้ายผลทับทิม แต่ดูเนื้อคล้ายสาลี่ คล้ายแอ๊ปเปิ้ล ผิวเป็นสีน้ำตาลอ่อน ไม่ทราบว่ามือลึกลับที่ไหนถวายมา...อาตมาตัดสินใจถวายหลวงตาอรุณไป ท่านรับได้ก็หันหลังไปแน่วเลย เหมือนกับตั้งใจมารอรับผลไม้ลูกนี้เพียงอย่างเดียว...!
    พอไม่มีหลวงตาขวางทาง มือน้อยร้อยก็ยื่นมาทุกทิศทุกทาง คนละหมุบคนละหมับพริบตาเดียวหมดเกลี้ยง แม้แต่ที่ตกลงบนพื้นก็กวาดเรียบ...อาตมายืนงง ดูถาดเปล่า ๆ ในมือซึ่งเมื่อกี้ยังมีอาหารเต็มถาด ตอนนี้หายวับไปกับตา ยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ซะอีก...!
    ท่านบอกให้ทุกคนเปิดทาง ท่านจะไปนั่งที่ศาลาการเปรียญ เงินในถุงท่านให้รวบรวมเอาไปถวายหลวงพ่อ พวกรูป-เหรียญของหลวงพ่อที่ญาติโยมถวายท่าน ท่านสั่งให้อาตมาแจกแก่ญาติโยมจนหมด อาตมาขอผ้าขนหนูผืนเล็กจากท่าน ไว้เป็นที่ระลึก ๑ ผืน...
    พอท่านออกเดินก็มีคนปูผ้าเป็นทางตลอดแนว เพื่อเก็บรอยเท้าท่านไว้บูชา อาตมารีบปูผ้าขนหนูผืนเล็กลง ก้มกราบขณะที่ท่านเหยียบผ้าพอดี จึงได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์อีกวาระหนึ่ง ผ้าผืนนั้นกว้าง ๑ ฟุต ยาว ๒ ฟุต เท้าของท่านโตเต็มผ้าพอดี...!
    มัวแต่ตกละลึงอยู่ จนท่านเรียกให้อาตมาปูอาสนะ ๒ วาระ จึงได้สติ ปูอาสนะที่มุมศาลา...คลื่นมนุษย์รายล้อมเข้ามา แย่งกันถวายปัจจัยท่าน พรรคพวกของอาตมาก็มากันครบ ธรรมนูญขึ้นมาช่วยอาตมานับเงินอีกคน...
    นับเงินไปฟังท่านให้พรญาติโยมไป ตาก็ชำเลืองคอยดู ไม่เห็นจะต่างกับคนทั่วไปเลย เสียงท่านบอกว่า “อย่าดูเลย...ไม่ได้เห็นหรอก” อาตมาหลบตามานับเงินต่อ ท่านพูดอีกว่า “ไม่เชื่อรึ...? ลองคลำดูก็ได้นะ...” ไม่ว่าจะคิดอะไร ท่านเป็นรู้ล่วงหน้าไปซะหมด...!
    พี่วิไล (คุณวิไลวรรณ ภูมิธเนศ) ติดเครื่องบันทึกเสียงมาพอดี อาตมาขอยืมมาเพื่อบันทึกเสียงของท่าน แต่กดปุ่มเรคคอร์ดไม่ลง ต้องอธิษฐานขอเสียงท่านไว้เป็นหลักฐาน ทีนี้กดลง แต่เทปเดินแค่ ๑๐ นาที แล้วหยุดเอง...!
    อาตมาต้องขอท่านว่าให้ได้หมดทั้งม้วน เทปก็เดินต่อเอง เอากับท่านซิ...เห็นผู้คนมากันมืดฟ้ามัวดิน อาตมาห่วงงานที่ ๒ ไร่ก็ห่วง ห่วงลูกประคำที่ท่านจะให้ตามคำขอก็ห่วง จนท่านต้องหันมาบอกเองว่า “ร้อนตัวได้ แต่อย่าร้อนใจ”...
    อาตมาอายท่านแทบแย่ มีอะไรอยู่ในใจท่านขุดออกมาซะหมด จึงเอ่ยปากบอกท่านไปตรง ๆ ว่า “ขอลูกประคำของหลวงปู่เถิดครับ ผมจะได้นำญาติโยม กราบขอขมาหลวงปู่ซะทีเดียว” ท่านบอกให้ขอขมาก่อน อาตมาจึงนำญาติโยมกราบพระ และกล่าวคำขอขมาดังนี้
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    ภันเต ภะคะวา ข้าแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า กรรมอันใดที่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ล่วงเกินไปแล้วต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะด้วยกาย วาจา หรือใจ ก็ดี จะโดยต่อหน้าหรือลับหลัง รู้หรือไม่รู้ เห็นหรือไม่เห็น ทราบหรือไม่ทราบ เจตนาหรือไม่เจตนา จะโดยต่อหน้าหรือลับหลังก็ดี...
    ลูกทั้งหลายขอกราบขอขมากรรมนั้น ต่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า โปรดเมตตาอดโทษนั้นแก่ลูกตั้งแต่บัดนี้ ตราบท้าวเข้าสู่พระนิพพานด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า...
    อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ
    สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ
    สุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ
    พอกราบพระเรียบร้อย ท่านก็กล่าวตอบว่า “ขอบใจ...ขอบใจ เทวดาลิงน้อย ๆ ทั้งหลาย ที่มีแก่ใจขอขมาต่อเรา...” ท่านยินดีอโหสิกรรมทุกประการ ขอให้ทุกคนตั้งใจปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานของตนเถิด...
    ตลอดเวลาที่ปฏิสันถารกับญาติโยม เสียงของท่านแจ่มใสกังวาน ลีลานุ่มนวลชวนมอง แต่แฝงด้วยธรรมะอันลึกซึ้ง...ใครกราบขอพรท่านก็ให้ ใครจะ “ดูใจ” ท่านก็ปราม ทุกคนต่างอัศจรรย์ใจเหลือที่จะกล่าว ที่ท่านรู้วาระจิตไปเสียทุกอย่าง...
    “พรใดในหล้าว่าประเสริฐ จงบังเกิดแก่เธอทั้งหลาย”... “รักษาศีลให้ประเสริฐ ทำสมาธิให้เลิศ ทำปัญญาให้บริสุทธิ์”... “คำว่าบารมีแปลว่ากำลังใจ จะมาขอบารมีฉันทำไม? ทำให้มีให้เกิดขึ้นกับตัวเองซิ ถ้าบารมีขอกันได้ ฉันก็กลายเป็นบารจนเท่านั้นเอง...”
    “นิพพานไม่ใช่ภาษาพูด ไม่ใช่ภาษาเขียน เป็นภาษาใจ ถ้าอยากไปนิพพานให้เร่งปฏิบัติ เร่งขวนขวาย เร่งหาธรรม ใครทำใครได้ไม่มีใครทำแทนกันได้”... “พวกที่คิดว่าตัวเอง “แว่นตา” ดีน่ะ อย่าพยายามดูเลย เดี๋ยว “แว่นแตก” แบบเมื่อคืนนี้อีก...”
    “เธอกับฉันมีธรรมเสมอกัน คือมีความตายเหมือนกัน มันต่างกันตรงไหนล่ะ...?” ที่ได้ยินทุก ๓-๕ นาทีคือท่านบอกว่า ปัจจัยทั้งหมดที่ถวายมา ท่านจะมอบให้หลวงพ่อไปทำอะไรบ้าง ขอให้ทุกคนโมทนา ท่านเน้นเรื่อง ปัตตานุโมทนามัย มาก...
    ผู้ที่ขอถ่ายรูป ท่านถามว่า “ถ่ายไปทำไม...? ถ่ายไปแล้วเธอไม่ตายรึ...?” เลยไม่มีผู้ใดกล้าขออีก จนกระทั่งถึงน้องเพิร์ล (สรัญญา แสงหิรัญ) อาตมาจึงตอบแทนว่า “ขอไว้เพื่อเป็นอนุสติครับ...” นั่นแหละ...ท่านจึงยอมให้ถ่ายได้...
    จนเวลาใกล้เที่ยงเต็มที ท่านจึงมอบหมายให้อาตมากับธรรมนูญนำปัจจัยและสิ่งของทั้งหมดไปถวายหลวงพ่อ ขึ้นไปบนศาลา ๒ ไร่ งานเขาเลิกกันแล้ว แต่หลวงพ่อยังนั่งรออยู่ พอเห็นหน้าท่านก็ถามว่า “ไอ้หนูเอ๊ย...เอามาจากไหนหว่า...?”
    “หลวงปู่ที่ฝั่งวัดเก่าริมน้ำ ให้นำมาถวายหลวงพ่อครับ...” “เออ..ใช่... ใช่...องค์นั้นแหละ...” หลวงพ่อตอบเหมือนรับรอง ว่าเป็นท่านแน่นอน อาตมากราบลาออกมาหาอาหารรองท้อง มันหิวจนไส้กิ่ว พรรคพวกก็แยกย้ายกันไป ตอนนี้เล่นบทตัวใครตัวมัน...
    ว่าจะพักผ่อนแต่ใจหนึ่งก็ห่วง เลยกลับไปฝั่งวัดเก่าอีก พบพระองค์ที่ ๑๐ ท่านย้ายไปนั่งที่โคนโพธิ์ มีญาติโยมล้อมแน่นเช่นเดิม อาตมาสังเกตท่าทีอยู่ห่าง ๆ ดูท่านแปลกไปมาก บางทีก็ดูเป็นองค์ท่าน บางทีก็ไม่ใช่ท่าน ไม่ทราบว่าอุปาทานไปหรือเปล่า...?!
    จนประมาณบ่ายสามโมง ท่านไล่ทุกคนให้หลีกไป แล้วไปนั่งพักที่ริมศาลาการเปรียญด้านติดกับแม่น้ำ อาตมาตามไปทวงประคำ ท่านล้วงพวงลูกประคำออกมา พลางกล่าวว่า “นี่เป็นของโบราณ ฉันทำด้วยมือของฉันเอง ฉันจะให้เม็ดที่ ๑๐๙ แก่เธอ...”
    ท่านดึงลูกประคำเม็ดที่ ๑๐๙ ออกจากสาย แต่ดึงไม่ออก นายตี๋แว่น (ปัจจุบันนี้ท่านคือ พระนิติ สุธมฺมสุนฺทโร) ใช้กรรไกรตัดฉับเข้าให้ ลูกประคำทั้งสายเลยขาดกระจาย หล่นลงเกลื่อนพื้น ผู้คนกรูกันเข้ามาเก็บ ธรรมนูญร้องห้าม แต่ท่านบอกว่า...
    “ช่างเขาเถอะ...ใครมีบุญเขาก็ได้ไปเอง...” ไม่น่าเชื่อที่ลูกประคำมากมายปานนั้น มีน้องเป้ (รังสิมา แสงหิรัญ) เก็บได้ ๒ เม็ด หลวงพี่ชัยวัฒน์ (พระชัยวัฒน์ อชิโต) เก็บได้ ๑ เม็ด นอกนั้นอัตรธานไปไหนหมดก็ไม่รู้...!
    พอส่งเม็ดประคำให้อาตมาแล้ว ท่านก็ออกเดินตรงไปยังโบสถ์ใหม่ อิริยาบถการเดินดูแผ่วพริ้วนุ่มนวล เหมือนกับท่านลอยไปอย่างนั้นแหละ ผู้คนปูผ้าให้ท่านเหยียบเป็นทาง บางคนหาผ้าไม่ทัน ถึงกับถอดเสื้อลงปูให้ท่านก็มี...!
    ท่านไว้พระประธานที่หน้าโบสถ์ แล้วหันหน้าไปทั้งสี่ทิศ ยืนสงบนิ่งอยู่ทิศละอึดใจหนึ่ง ก่อนจะหันมาถามอาตมาว่า “เธอรู้ไหม ฉันทำอย่างนี้เพื่ออะไร...?” “ขอความกรุณาอธิบายเพื่อความกระจ่างด้วยครับ...” ท่านตอบว่า...
    “ฉันทำอย่างนี้เพราะปรารถนาให้สัตว์โลกในทิศทั้งสี่ มีความสุขเสมอหน้ากัน” อาตมาถามว่า “ทิศสุดท้ายหมายถึงองค์หลวงปู่ใช่ไหมครับ...?” ทิศเหนือคือทิศอุดร อาตมาหมายความว่า ท่านคือ หลวงปู่ใหญ่โลกอุดร ท่านตอบว่า “เธอเข้าใจผิดแล้ว...”
    อาจารย์ประเสริฐ เกษตรเอี่ยม ขออนุญาตไปส่งท่าน ท่านถามว่า “เธอแน่ใจแล้วหรือว่า จะไปส่งฉันได้ตลอด...?” “ผมส่งหลวงปู่ยันนิพพานเลยครับ...!” ตอบได้เด็ดขาดมาก น่าเสียดาย ที่ไปแค่กลางทาง ท่านก็เล่นกล หายไปต่อหน้าต่อตาซะอย่างนั้นแหละ...!
    หลวงพ่อเมตตาให้ความกระจ่างว่า “ฉันยืนยันองค์เดียวนะ องค์ที่ใต้ต้นโพธิ์ริมน้ำ คือพระองค์ที่ ๑๐ องค์อื่นฉันไม่รับรอง” อาตมาเชื่อ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ตอนนี้เอง แต่ท่านไปถึงฟากฟ้าป่าหิมพานต์ไหนแล้วก็ไม่รู้ ...? อีกนานไหมหนอ...กว่าจะได้พบท่านอีก...!?
    ภายหลังหลวงพ่อได้สร้างศาลาประดิษฐานรูปปั้นของท่าน ไว้ที่โคนโพธิ์ริมน้ำเพื่อให้ญาติโยมได้กราบไหว้บูชา เท่านั้นยังไม่พอ ยังสร้าง มณฑปแก้ว เป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อของท่าน และพระองค์ที่ ๑๑ อีกหลังหนึ่ง งานหล่อรูปของท่าน ผู้คนแห่กันมามืดฟ้ามัวดิน บริจาคทองคำช่วยหล่อรูปของท่านได้ถึง ๒๒ กิโลกรัม...!
    ผ้าพิมพ์รอยเท้าของท่าน อาตมามอบให้น้องแสงชัย (แสงชัย เพชรชื่นสกุล) ไปบูชา เมื่อคราวเดินทางไปทำงานที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย ส่วนลูกประคำนั้น อาตมามอบให้กับ ติ๋ว (ปัจจุบันคือ น.ต.หญิง อิศรา กิติธีระกุล) เป็นของขวัญแก่ลูกในท้องของเธอ...
    หลังจากนั้นไม่นาน เถ้าแก่สุวิทย์ (คุณสุวิทย์ สวรรค์กสิกร) ไปพบพระองค์หนึ่ง ที่รูปร่างหน้าตา คล้ายพระองค์ที่ ๑๐ มาก พระองค์นั้นท่านก็รับสมอ้างด้วย หลวงพ่อท่านบอกว่าไม่ใช่ แต่อาตมาชอบพิสูจน์ทราบ จึงเดินทางไปดูด้วยตาตนเอง...
    เห็นปุ๊บก็รู้ว่าไม่ใช่ เพราะลีลาไปกันคนละโลกเลย แต่การพิสูจน์ครั้งนั้นเป็นเหตุให้อาตมาถูกเข้าใจผิด หาว่าสมรู้ร่วมคิดกับพระองค์นั้นหลอกเอาทรัพย์สินเงินทองจากลูกศิษย์หลวงพ่อ ทั้งที่พวกเขาไปทำบุญกันเอง อาตมาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวด้วยแม้แต่นิดเดียว...!
    สู้ทนให้เขาเข้าใจผิดไป เพราะจำลีลาหลวงพ่อได้ “ใครว่าร้ายท่านไม่เคยโต้ตอบ ไม่แก้ข่าว ปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์” ในที่สุด บรรดาผู้ที่ด่วนลงความเห็น ต่างพากันยิ้มแหย ๆ เวลาเห็นหน้าอาตมา แต่ยังไว้ท่า จะขอโทษสักคำก็ไม่มี นี่แหละมนุษย์...!
    ลูกกราบขอบารมีองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โปรดช่วยสงเคราะห์ให้ทุกท่านที่ได้พบกับพระองค์ที่ ๑๐ ก็ดี หรือ อ่านพบและเลื่อมใสในองค์ท่านก็ดี จงเป็นผู้มีจิตอันเข้าถึงธรรมโดยถ้วนหน้ากัน ธรรมอันใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรรลุแล้ว ขอทุกท่านจงเป็นผู้มีส่วนเห็นธรรมนั้นในชาติปัจจุบันนี้เทอญ...
    องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน
    ตัดมูลกิเลสมาร บ่มิหม่นมิหมองมัว
    หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว
    ราคีบ่พันพัว สุวคนธกำจร
    องค์ใดประกอบด้วย พระกรุณาดังสาคร
    โปรดหมู่ประชากร มละโอฆกันดาร
    ชี้ทางบรรเทาทุกข์ และชี้สุขเกษมศานติ์
    ชี้ทางพระนฤพาน อันพ้นโศกวิโยคภัย....ฯ
    นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ พุทฺโธ เม สรณํ วรํ
    นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ ธมฺโม เม สรณํ วรํ
    นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ สงฺโฆ เม สรณํ วรํ
    เอเตน สจฺจ วชฺเชน โหตุ เม ชยมงฺคลํ...ฯ
    ๖ มีนาคม ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ


    บันทึกเพิ่มเติม ภายหลังพระรูปที่รับสมอ้างว่าเป็นพระองค์ที่ ๑๐ ไปสร้างวัดอ้อน้อยธรรมอิสระ ที่อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม แล้วหลวงพี่ชัยวัฒน์ยังไปรับรองกับบรรดาลูกศิษย์หลวงพ่อ “องค์นั้นแหละ พระองค์ที่ ๑๐...”
    เมื่อเป็นดังนั้นจึงมีลูกศิษย์ลูกหาของหลวงพ่อจำนวนมากแห่กันไปหา ท่านเองก็พลอยรับสมอ้างกันใหญ่โต จนท้ายสุด ท่านสะดุดคำพูดตัวเอง เลยต้องลาสิกขาบท แล้วบวชใหม่เพื่อให้พ้นจากข้อหาโกงพรรษา ปัจจุบันนี้ท่านมีชื่อเสียงมากทีเดียว แต่ผู้ที่ไปหาต้องทำใจกับจริยาบางอย่างที่เป็นเฉพาะตัวของท่าน ถ้าคิดจะหาประสบการณ์ก็ทดลองไปดูได้
    ๘ กรกฎาคม ๒๕๔๙
    ๘ กรกฎาคม ๒๕๔๙ พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ


    ที่มา
    ʹյ
     
  2. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    สรุปแล้วพระองค์ที่10 ท่านเป็นใครครับ มีนามว่าอะไร และท่านประจำอยู่ที่ไหนครับ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ หรือพระอริยะเจ้าเหล่าใดครับ
     
  3. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    มีใครบอกหรือท่านบอกครับ พระองค์ที่10คือพระพุทธเจ้า พระสมณโคดมครับ หลวงพ่อฤาษีท่านบอกไว้หรือเปล่าครับ
     
  4. phataravudh

    phataravudh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +2,440
    ผมก็ไม่ทราบครับ อ่านตามบทความเอาครับ ผมก็ไม่เคยเห็นเหมือนกันครับ เห็นน่าอ่าน ก็เลยนำมาให้อ่าน แต่หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ท่านเรียกอย่างนี้ก็เรียกตามท่าน ครับ
     
  5. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    ฉันเป็นผู้ปรารถนาพระโพธิญาณ ทุกวันนี้ก็ยังทำหน้าที่พระโพธิสัตว์อยู่” “ฉันคิดว่าคงจะช่วยใครให้พ้นนรกไม่ได้ ฉันมีหน้าที่บอกทางให้เท่านั้น”...ฯลฯ

    จากข้อความนี้ ท่านน่าจะเป็นพระโพธิสัตว์ อายุไขท่านตอนนั้นสามร้อยกว่าพรรษา ท่านเกิดในสมัยอยุธยาตอนปลาย หากไม่มีใครตอบ ผมจะหาคำตอบเองครับ สาธุครับ
     
  6. phataravudh

    phataravudh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +2,440
    เออไม่ใช่สิ หลวงพี่เล็ก วัดท่าขนุน ท่านเป็นคนเห็นนิกระผมก็ไม่ทราบต้องถามทางศิษย์ผู้ใกล้ชิด ไอ้กระผมเป็นศิษย์ปลายแถว ชะด้วย เกิดทีหลัง
     
  7. phataravudh

    phataravudh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +2,440
    อันนี้ ช่วยสืบๆ ให้ด้วยแล้วกันครับ เผื่อว่าจะมีใครอยู๋ในเหตุการณ์มาช่วยชี้แจง ด้วย ก็เป็นการดี
     
  8. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    ผมก็ไม่สนิทกับสหายธรรมทางสายนั้น แต่ก็จะลองพยายามดู จะลองเจริญสมาธิดูครับ ไม่รู้ท่านจะเมตตาสื่อจิตได้หรือเปล่าครับ จะลองดูครับ
     
  9. tanaong2011

    tanaong2011 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    6,232
    ค่าพลัง:
    +7,421
    ขอบารมีพระผู้ทรงคุณทุกท่าน
    เป็นพลปัจจัยให้ข้าสว่างในธรรมทั้งปวงด้วยเทอญ

    สาธุ สาธุ สาธุ ครับ.........
     
  10. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814


    :cool:ผมตอบอีกก็ได้ครับแสดงว่าคุณนั้นอ่านไม่จบ จึงถามเช่นนี้ และ ไปอ่านได้ ในหัวข้อ (ถึงลุงบุญทรงพระเครื่องครับ ) คนเราบางเรื่องต้องอ่านให้จบ ในหัวข้อ และภาพบนนี้ แหละ ผมได้ฟังธรรมจาก ท่านแล้ว และได้กราบท่านแล้ว และผม ขัด องค์ อยู่เกือบ ๓ วัน ถึงจะเสร็จ ช่างให้ค่าแรง แค่ ๕๐ บาทในสมัยนั้น คือ ช่างประเสริฐ พ.ศ.๒๘ ในสมัยนั้นค่าแรงช่างก็วันละ ๓๐ กว่าบาทเท่านั้น แต่ผมไม่เอา บอกช่างประเสริฐ ผมเอาบุญครับ :cool:


    พระองค์ที่ ๑๐ ก็คือ พระพุทธเจ้า องค์ ปัจจุบันครับ ท่านมาโปรดในลักษณะ ของพระสงฆ์ อายุในราว ๓๐ เห็นจะได้ คนที่ได้ ทิพยจักษุ ญาณ ในประเทศไทย เป็นแสนเป็นล้าน ที่ทำกันได้ เขาไปกราบกันเป็นปรกติครับ แล้วแต่บุญของใคร หรือใครทำถึงครับ และข้อสำคัญ ท่านจะโปรด เป็นเรื่องบุญ ของคนๆนั้นครับ


    ขอแถมอีกนิดครับ แสดงว่า คุณนี่ก็ ไม่ได้ดูชัด ชื่อป้ายอยู่ที่ ขาพระองค์ท่านนั่นไง ภาพด้านบน อยู่ที่ มณฑปแก้ว ทางวัดเก่า วัดท่าซุง แม่น้ำสะแกกรัง มีประวัติ ไปศึกษาได้ วัดท่าซุง คนที่เข้าใจ จะอยู่สายไหน หรือเข้าถึงธรรม จะเข้าใจ และถึงกันเสมอๆครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2013
  11. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814

    :cool:ท่านอยู่ที่พระนิพพาน เคยไปหรือเปล่าครับ และท่านจะโปรดผู้ใด ก็อยู่ที่ท่านครับ จะไปลักษณะไหน ก็ทำได้อยู่แล้ว แค่คนได้ฌาณ โลกียยังทำได้ แต่ท่าน อยู่เหนือโลกทั้งสาม อยู่แดนไกล ท่านจะสงเคราะคนทั้งโลกยังได้เลย แต่คนที่อยู่ บนโลกนี้ จะเหมาะ ให้ท่านสงเคราะ ได้แค่ไหน และ ทำใจได้แค่ไหน พระพุทธเจ้าไม่ได้ โปรด คนที่ไม่มีศรัทธานะครับ และพระพุทธเจ้า ไม่สามารถ ขนคนไปนิพพานได้หมดนะครับ ท่านยังบอก พระพุทธเจ้า ที่จะมาตรัสรู้ ในอนาคต เปรียบเทียบ เมล็ดทรายในมหาสมุทร ทั้ง ๔ ก็ไม่เท่าครับ
     
  12. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814

    :cool:แหมท่าน เอาแค่พระอริยเจ้า ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป จนถึงพระอรหันต์ ถ้าเราอารมย์ต่ำกว่าท่าน มันก็หมดสิทธิ ครับถ้าท่านไม่สงเคราะ แล้วนับประสาอะไร ที่สูงกว่านั้นครับ แล้วยิ่ง พวก พระโพธิสัตว์ ที่ยังไม่ได้ กรรมฐาน ทั้ง ๔๐ กอง มหาสติ ปัฏฐาน ๔ และเรียนรู้ อารมย์ พระอริยเจ้า ตั้งแต่ พระโสดาบันจนถึง อารมย์ พระอรหันต์ แล้วละก็ ยังเข้าใจยาก ถ้าไม่รู้ จากครูบาอาจารย์ น่ะครับ พระโพธิสัตว์ ยังไม่ลาพุทธภูมิ มันต้องเรียนรู้ หมด อารมย์เทียบเท่า ของพระอริยเจ้า ไม่มีสิทธิ์ได้มรรคผล ถ้าไม่ลา จนกว่าบารมีคุณจะเต็ม


    พวกพุทธภูมินี่ หัวดื้อ อยู่แล้ว ไม่เชื่ออะไร ง่ายๆหรอกครับ ต้องเรียนรู้เอง เรียนถูกผิด ต้องประสบเอง ใครบอกไม่เชื่อ แต่ก็มีหลายระดับ ไม่ว่าหรอกครับ แต่ก็ต้อง ใช้เหตุและผล พวกนี้ มีเหตุผล แต่พวกนี้ ไม่มีเหตุผล ก็มีนะครับ ไม่งั้นพวกบารมี ต้นกับกลาง จะยังตกนรก อยู่ครับ ขนาดพระเทวทัต ได้แค่พระปัจเจกระพุทธเจ้า แต่ท่านมีคติ แน่นอนแล้วครับ :cool:
     
  13. five304

    five304 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +1,274
    วันนั้นมีผู้ที่ขอท่านถ่ายรูปได้ด้วย ไม่ทราบภาพนั้นได้ไปปรากฎที่ไหนมั้ยครับ
     
  14. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,030
    [​IMG]
     
  15. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ๓๔. พบพระองค์ที่ ๑๐


    พระองค์ที่ ๑๐ เป็นใคร...? มาจากไหน...? มีความสำคัญอย่างไร...? หลวงพ่อท่านเล่าให้พวกเราฟังว่า...
    ครั้งหนึ่ง...มีโยมนิมนต์ท่านไปงานทำบุญบ้านที่จังหวัดราชบุรี พระที่ได้รับนิมนต์มีอยู่ด้วยกัน ๙ องค์ มีท่านเจ้าคณะจังหวัดเป็นประธาน แต่พอไปถึงบ้านงาน ปรากฏว่ามีพระอีก ๑ องค์ ไปนั่งรออยู่ก่อนแล้ว...
    พระองค์นั้นเป็นพระหนุ่ม ดูแล้วอายุคงจะไม่เกิน ๓๐ ปี รูปร่างหน้าตาดีมาก ผิวขาวอมเหลือง ดูผ่องใสอย่างประหลาด ท่านนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน แม้พระองค์อื่นมากันครบแล้ว ท่านก็ไม่มีทีท่าว่าจะลุกจากที่ ท่านเจ้าคณะจังหวัดจึงนั่งถัดมาเป็นคอสอง ตามลำดับไป จนถึงหลวงพ่อ ที่นั่งปิดท้ายอยู่...
    พอพระองค์นั้นให้ศีล หลวงพ่อเล่าว่า ได้ยินแล้วทึ่งมาก เสียงท่านแจ่มใสกังวาน ฟังไพเราะรื่นหู ชื่นใจจนบอกไม่ถูก อักขระทุกตัวถูกต้องชัดเจน เสียงอย่างนี้ในตำราเรียกว่า “โฆสัปปมาณิกา” คือ มีเสียงไพเราะเป็นที่ชอบใจ ของบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย...
    เมื่อกำลังฉันอยู่ ท่านเจ้าคณะจังหวัดถามว่า บวชมากี่พรรษาแล้ว...? พระองค์นั้นส่งหนังสือสุทธิให้ดู ปรากฏว่า ท่านบวชมากว่า ๓๐๐ ปีแล้ว...! ท่านเจ้าคณะจังหวัดราชบุรีถึงกับพูดไม่ออก เรื่องอื่นที่คิดจะถามเลยไม่กล้าถามต่อ...!
    พอให้พรญาติโยมเสร็จท่านก็ลากลับ หลวงพ่อถามเจ้าของบ้านว่านิมนต์พระองค์นี้มาจากไหน...? เจ้าของบ้านตอบว่า ผมคิดว่ามาด้วยกันกับท่านซะอีก...! เอาละซี...มีเรื่องจนได้แล้วไหมล่ะ... หลวงพ่อบอกให้เจ้าของบ้าน วิ่งลงไปดูซิว่าท่านไปทางไหน...?
    เพิ่งคล้อยหลังลงบันไดไปแท้ ๆ บ้านก็อยู่กลางทุ่งโล่ง ไม่มีที่ให้หลบมุมซักหน่อย แต่พระองค์นั้นหายไปทางไหนไม่มีใครรู้ อย่างกับท่านเหาะเหินเดินอากาศ หรือว่าดำดินได้อย่างนั้นแหละ เนื่องจากเจ้าของบ้านนิมนต์พระ ๙ องค์ แล้วท่านมาเพิ่มเป็นองค์ที่ ๑๐ หลวงพ่อจึงเรียกท่านว่า พระองค์ที่ ๑๐ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา...
    หลวงพ่อเล่าเรื่องนี้ให้พวกเราฟังนานมากแล้ว จนชักจะลืม ๆ กันหมด อยู่ ๆ ก่อน งานประจำปีของวัดท่าซุง ปี ๒๕๒๘ หลวงพ่อก็บอกกับลูก ๆ ทั้งหลายว่า งานนี้พระองค์ที่ ๑๐ จะมาโปรด พร้อมกับบรรยายรูปร่างลักษณะให้พวกเราได้ทราบเอาไว้ อาตมาตื่นเต้นมาก ที่จะได้พบกับพระพิเศษอย่างนี้ ชวนพรรคพวกไปวัดก่อนงานตั้ง ๓ วันแน่ะ...!
    หลวงพ่อให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า จะมีพระดีมาเป็นจำนวนมาก “หลวงตาลา” กับ “หลวงตาบุตร” ก็มาด้วย หลวงตาลารูปร่างสูงใหญ่ผมหงอกประปราย หลวงตาบุตรผอมเล็ก ผิวดำ อาตมากับพรรคพวกยิ่งตื่นเต้นใหญ่...
    วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๒๘ เวลาเช้ามืด...มาตมาตื่นตั้งแต่ตีสาม อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ตั้งใจเจริญกรรมฐานตามปกติ แต่วันนี้อารมณ์มันแกว่ง ๆ พิกล นั่งกรรมฐานไม่ได้เอาเลย จึงนั่งแกล้งพรรคพวกจนตื่นนอนไปตาม ๆ กัน พร้อมกับร้องเพลงงึมงำอยู่คนเดียว...
    ธรรมนูญ(อาจารย์ธรรมนูญ นาคส่องแสง) ร้องว่า “โอ้โฮพี่ร้องเพลงเชียวหรือ?” แมมมี (ร.ท.หญิงรมณีย์ พยุงเวช) ที่นอนอยู่ใกล้ ๆ หัวเราะคิก เพราะอาตมาถือศีล ๘ จนผอมกะหร่อง อยู่ ๆ ยอมศีลขาดร้องเพลงเล่น นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก...!
    ทำอย่างไรใจก็ไม่ยอมสงบ อาตมาจึงทิ้งเพื่อน ๆ ให้นอนต่อ เปิดประตูออกไปเพื่อจะเดินเล่น ก็พบกับ สามเณรบุญชุ่ม ทาแกง ยืนจ้องเป๋งอยู่หน้าห้อง...อาตมาถามว่า “หลวงพี่เณรมีธุระอะไรกับผมหรือครับ...?” ท่านไม่ตอบ หันหลังเดินจากไปเฉย ๆ...
    สำหรับเณรองค์นี้ (ปัจจุบันคือ ครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร วัดพระธาตุดอนเรือง) อาตมาเลื่อมใสท่านมานานแล้ว ทราบว่าท่านเก่งแน่ แต่มาจ้องอยู่ที่หน้าห้องแต่เช้ามืดแบบนี้ ท่านมีอะไรจะบอกใบ้หรือเปล่าหนอ...? อาตมาคิดว่า “วันนี้ต้องมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นกับเราอย่างแน่นอน” มันรู้สึกสังหรณ์ใจผิดปกติ ตั้งแต่ตอนที่นั่งกรรมฐานไม่ได้แล้ว...
    ประมาณ ๑๗.๓๐ น. เลิกจากการงานของวัดแล้ว พออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยอาตมาก็ชวนพรรคพวก ประกอบด้วย ธรรมนูญ แมมมี ติ๋ว (ร.ท.หญิงสิริพร จอมผา ยศในขณะนั้น) ตุ้ม (จำชื่อจริงไม่ได้) นัน (นันฑิญา เหลือถาวรกุล) แข (ดวงแข คชภูมิ) นิพพา (นิพพา สืบสิงห์) คิ้ม (จงกล แจ่มแจ้ง) ออกลาดตระเวนกัน...
    จุดมุ่งหมายคือ ตามหาพระที่หลวงพ่อบอกไว้ ตอนนี้พระอาคันตุกะมาเป็นร้อยองค์แล้ว ลองสำรวจเผื่อจะโชคดี ได้พบองค์ที่เหมือนกับที่หลวงพ่อบอก จะได้ทำบุญกับท่านก่อนคนอื่น (ขนาดเรื่องทำความดีนะเนี่ย ยังไม่ยอมให้คืนอื่นเกินหน้าเล้ย...ตูละหน่าย...)
    จากพระจุฬามณี เดินลัดเลาะเรื่อยมา พบพระหลายองค์แต่ไม่เข้าเค้า บางองค์โดนหมากัดซะเหวอะ ต้องเข้าไปช่วยทำแผลให้กับท่าน (ติ๋วกับแมมมีเป็นพยาบาลทหารอากาศ) จนข้ามมาฝั่งวัดเก่า ซึ่งตอนนั้นยังเป็นป่าอยู่ (ปัจจุบันคือบริเวณที่ตั้งตึกรับแขกทั้งหมด)
    ขึ้นไปปฏิสันถารกับพระหลายองค์ ที่กางกลดอยู่บนศาลาไม้สัก (ปีถัดมาศาลาหลังนี้ถูกไฟเผาซะเรียบเลย) พอสมควรแก่เวลาก็กราบลาท่าน ลงจากศาลาเพื่อไปหาพระที่ตั้งใจไว้ พอเดินมาถึงหน้าโบสถ์เก่า อาตมาก็เห็น...
    พระหนุ่มองค์หนึ่ง ลักษณะท่าทางดีมาก อายุประมาณ ๓๐ ปี นั่งตัวตรงอยู่บนตอไม้ ที่ซึ่งท่านนั่งอยู่เป็นที่เด่นมาก อยู่ห่างจากศาลาไม้สักไม่ถึง ๑๐ เมตร อาตมาเป็นคนสายตาดีเป็นพิเศษ (พวกมือปืนต้องสายตาดีกันทุกคน) แต่เชื่อหรือไม่...? อาตมาเดินมาจนเกือบถึงองค์ท่านแล้ว ถึงได้มองเห็นท่านนั่งอยู่กับลูกศิษย์ ๓ คน...!
    ในสายตาอาตมา พระที่จะขลังต้องแก่ ๆ หน่อย (แบบนี้มีหวังถูกต้มทั้งชาติ) เมื่อเห็นเป็นพระหนุ่ม อาตมาก็จะเดินหลีกไป แต่เกิดเรื่องมหัศจรรย์ขึ้น...คือ เท้ามันไม่ยอมเชื่อฟัง สั่งให้มันเดินหนี แต่มันกลับพาเลี้ยวเข้าไปหาท่าน โดยที่อาตมาฝืนอย่างไรก็ฝืนไม่ได้...!
    อาตมานั่งลงกราบท่านอย่างเสียไม่ได้ ท่านก็โอภาปราศรัยด้วย ประโยคแรกซึ่งท่านถามอาตมาคือ “เธอมาจากไหน...?” พรรคพวกทุกคนฟังแล้ว สะดุ้งกันแปดตลบ เพราะไปเหมือนกับที่พระพุทธเจ้าตรัสถามเปสการีธิดาเปี๊ยบเลย...!
    อาตมาตอนนั้นทั้งมืดทั้งบอดอย่างสนิท ไพล่ไปตอบท่านว่า “หลวงพี่ต้องการแบบไหนละครับ...? ถ้าจากวัดผมมาจากจุฬามณี ถ้าจากบ้านผมมาจากพระโขนง...” ท่านยิ้มน้อย ๆ พลางว่า “นี่เธอรวนฉันก่อนนะ ขอถามอีกที เธอจะไปไหน...?”
    เพื่อนพ้องทุกคนเหงื่อแตกพลั่ก...แต่อาตมาไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ตอบท่านว่า “ผมมาหาพระดีครับ” “แล้วเจอไหมเล่า...?” อาตมาตอบเป็นเชิงกระทบกลาย ๆ ว่า “ยังครับ” ความหมายคือ พระดีที่ตามหา ไม่ใช่ท่านอย่างแน่นอน...!
    เพราะอะไรจึงมั่นใจอย่างนั้น...? ก็ทันทีที่กราบท่าน อาตมาใช้วิธีดูใจแบบที่หลวงพ่อสอนเอาไว้แล้ว มืดสนิทอย่างนี้เป็นพระดีก็เกินไปละ...(ภายหลังหลวงท่านชมว่าโง่ดีมาก คนที่เราจะดูใจได้ คือคนที่เสมอกันหรือต่ำกว่าเท่านั้น คนที่มีคุณธรรมสูงกว่าถ้าตั้งใจปกปิด เราจะไม่มีวันได้รู้กำลังใจที่แท้จริงของท่านเลย)
    เมื่ออาตมาประกาศสงคราม ท่านก็ลงสนามรบด้วย ลีลาของท่านแม้จะนุ่มนวล แต่ก็สง่างาม เหมือนราชันย์สู่สงคราม ถึงลูกถึงคน เปี่ยมไหวพริบปฏิภาณ มีทั้งลูกล่อลูกชน หากว่าอาตมาไม่มีไม้ตาย คือยามคับขันอ้างว่า “หลวงพ่อยังไม่ได้สอน” มีหวังจอดตั้งแต่ยกแรก ท่านต้อนจนฉิว บ่นว่า “ไอ้ลูกลิงนี่เหลือเกิน ติดมุมแล้วมุดดินหนีก็ยังเอา...!”
    ลูกเล่นลูกฮาของท่านก็เหลือเกิน พรรคพวกส่งเสียงเฮชอบอกชอบใจ นาน ๆ ถึงจะมีพระยอมเล่นด้วยซักที ความเกรงท่านแต่แรกหายไปหมด เหลือแต่ความปีติอิ่มเอิบใจ จึงนั่งเชียร์พระโต้ธรรมะกับฆราวาสอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน...
    จนเกือบสองทุ่ม ฝนเริ่มลงเม็ดเปาะแปะ ท่านก็ขอตัวไปพักผ่อน อาตมาพาพรรคพวกกลับที่พัก ทุกคนแจ่มใสเบิกบานโดยทั่วหน้ากัน อารมณ์ขุ่นมัวแต่เมื่อเช้า หายขาดเป็นปลิดทิ้ง ยังข้องใจกับคำพูดประหลาด ๆ บางประโยคของท่านที่ว่า...
    “ฉันมาจากวัดที่มีพระ” “ฉันมาที่นี่บ่อย แต่เธอไม่ได้เห็นฉันหรอก ฉันมาหาฤๅษีเขา” “ฉันเป็นผู้ปรารถนาพระโพธิญาณ ทุกวันนี้ก็ยังทำหน้าที่พระโพธิสัตว์อยู่” “ฉันคิดว่าคงจะช่วยใครให้พ้นนรกไม่ได้ ฉันมีหน้าที่บอกทางให้เท่านั้น”...ฯลฯ
    รุ่งเช้า... วันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๒๘ เป็นวันงานประจำปี พระเถรานุเถระทยอยกันมาตั้งแต่เมื่อคืน บางองค์ เช่น พระพรหมคุณาภรณ์ วัดสระเกศ ถึงกับลงไปฉันก๋วยเตี๋ยว ร่วมกับพระทุกองค์ในวัด อย่างไม่ถือองค์เลย...
    อาตมาทำหน้าที่ประเคนอาหารพระ พอครบถ้วนดีแล้ว นึกถึงหลวงพี่องค์เมื่อคืนขึ้นมา จึงบอกพี่ประทุม (แม่ครัวกองทุน) ว่ามีพระอาคันตุกะกับลูกศิษย์ อยู่ทางฝั่งวัดเก่า ไม่เห็นท่านมาฉันที่นี่ ขออาหารไปถวายท่าน และขอเผื่อลูกศิษย์ท่านด้วย...
    พี่ประทุม (เสียชีวิตไปประมาณ ๓-๔ ปีแล้ว) ก็แสนดี รีบจัดอาหารให้โดยเร็ว เป็นเกาเหลาแห้ง ๘ ชาม อาตมาก็ไม่ทราบว่า ขนไปได้เรียบร้อยในเที่ยวเดียวได้อย่างไร ? (แต่ก็เอาไปแล้วล่ะ) ไม่เห็นท่านบนศาลา จึงชะโงกไปดูข้างนอก แล้วก็ได้เห็น...
    ข้างศาลาที่อาตมาเพิ่งเดินผ่านมานั่นแหละ ท่านกำลังเดินจงกรมอยู่...อะไรกันวะ? เมื่อกี้เดินมาเราไม่เห็นใครเลยนี่หว่า...รอบศาลาก็ว่างโล่งไม่มีอะไรบัง เราผ่านท่านมาโดยไม่เห็นเลยได้อย่างไรกัน ? ตาถั่วแล้วมั้งตู...?!?
    แต่ว่างานกำลังยุ่ง กระทั่งเวลาสงสัยยังไม่มี กราบเรียนท่านว่า “อาหารวางไว้บนอาสน์สงฆ์ จะฉันเมื่อไรหลวงพี่หาคนประเคนด้วยนะครับ” ท่านตอบยิ้ม ๆ ว่า “เดี๋ยวก็มีคนมาประเคนให้เองแหละ...” อาตมาจึงโกยแน่บไปช่วยงานที่ศาลา ๒ ไร่...
    บนศาลานั้น หลวงปู่มหาอำพัน วัดเทพศิรินทราวาส หลวงปู่ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวง หลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม หลวงพ่อบุญรัตน์ วัดโขงขาว กำลังช่วยหลวงพ่อรับแขกอยู่ อาตมากราบท่านทุกองค์ แล้วไปช่วยงานที่ข้างองค์หลวงพ่อ...
    หลวงพ่อกำลังคุยกับ พล.ท.พิจิตร กุลละวณิชย์ และพล.ท.เทียบ กรมสุริยศักดิ์ สองแม่ทัพภาคอยู่ อาตมาแจกหนังสือของขวัญวันรับสมณศักดิ์ แก่ญาติโยมที่มาทำบุญกัน ผู้คนมากันแน่นขนัดไปทั้งวัด ศาลา ๒ ไร่เล็กเกินไปซะแล้ว...!
    พระเถรานุเถระมี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นประธาน กำลังจะเริ่มเจริญพระพุทธมนต์ พี่สุนันท์ (คุณสุนันท์ เจียรกูล) มากระตุกแขนเสื้อกระซิบว่า “พระองค์ที่ ๑๐ มาถึงแล้ว อยู่ที่ฝั่งวัดเก่าแน่ะ...!”
    อาตมาขนลุกด้วยความดีใจ รีบถามว่าท่านมีลักษณะอย่างไร ? อยู่ตรงไหน ? พอได้รับคำอธิบาย อาตมาก็งงเป็นกำลัง ลักษณะที่บอกมา มันตรงกับหลวงพี่องค์นั้นนี่นา...! ถามด้วยความไม่มั่นใจว่า “แน่ใจแล้วหรือพี่...?”
    “แน่ซิน่า...เมื่อคืนหลวงพี่วัชรชัย (พระวัชรชัย อินทวํโส) เห็นท่านเดินจงกรม เท้าลอยพ้นพื้นตั้งสูง...แล้วตาใหญ่ (คุณอรรถวุฒิ ภาณุพินทุ) ขอถ่ายรูปท่าน เห็นรัศมีออกมาเป็นประกายรุ้งเลย...!” พี่สุนันท์ยืนยันขันแข็ง ขณะที่อาตมายังลังเลใจอยู่...
    เรื่องของเรื่องก็ต้องพิสูจน์กันหน่อย อาตมาลากพี่น้องฝาแฝดมาทำหน้าที่แทน เหลียวมองหาพรรคพวก เห็นแต่ติ๋วกับแมมมีสองคนเท่านั้น คว้าแขนได้ก็ลากวิ่งลิ่วไปเลย อธิบายให้ทราบคร่าว ๆ ว่า พระองค์ที่ ๑๐ มาแล้ว มีคนพบท่านที่ฝั่งวัดเก่า...
    ที่หอกลองข้างศาลาการเปรียญ ซึ่งอยู่ติดกับหอฉันหลังใหม่นั่นเอง “หลวงพี่” นั่งเด่นเป็นสง่าอยู่ มีญาติโยมเข้าแถวยาวเหยียด เพื่อเข้าไปทำบุญกับท่าน อาตมาขี้เกียจเข้าคิวจึงทิ้งเพื่อนทั้งสองเอาไว้ข้างล่าง ตัวเองปีนต้นมะม่วง ขึ้นไปนั่งแปะอยู่ข้างองค์ท่านเลย...
    ท่านเหลือบมาดูนิดเดียว แล้วกล่าวคำพูด ที่อาตมาเข้าใจคนเดียวว่า “มาแล้วรึ...? ตอนนี้ไม่เล่นด้วยแล้วนะ...!” อาตมากราบท่านแล้วมองไปรอบข้าง เห็นท่านเจ้ากรมเสริม (พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์) พี่ปี๊ด (คุณกัลยาณี ไชยะโท) และใครต่อใครมากันจนแน่นหอกลอง ติ๋วกับแมมมีก็แสดงปาฏิหาริย์ เหาะขึ้นมานั่งอยู่ข้าง ๆ เมื่อไรก็ไม่รู้...!
    ตรงหน้าท่านมีถุงใบใหญ่ ญาติโยมที่ทำบุญกับท่าน ต่างเอาปัจจัยหย่อนใส่ถุงจนแทบล้น อาตมาหมายมั่นปั้นมือว่า ถ้าท่านไม่เอาไปถวายหลวงพ่อ แบบหลวงปู่หลวงพ่อองค์อื่น ๆ ทำละก็ อาตมาจะ “อัด” ท่านให้หนัก ท่านหันมาพูดยิ้ม ๆ ว่า “ไม่มีทางหรอก...!”
    อาตมาถึงกับสะดุ้ง ท่านรู้วาระจิตผู้อื่นจริง ๆ หรือนี่...? เห็นพี่ปี๊ดถือกล้องถ่ายรูปอยู่ อาตมาเลยอาสาถ่ายรูปท่านให้ รับกล้องมาแล้ว อธิษฐานขออนุญาตในใจ ท่านหันมาบอกว่า “ขอให้คนอื่นเขาได้ยินด้วยซิ...!” อาตมาสะดุ้งกล้องแทบหลุดมือ...!
    พอถ่ายรูปท่านเรียบร้อย อาตมาก็กราบขอบารมีองค์สมเด็จพระบรมครู ขอ “ดู” ท่านอีกวาระหนึ่ง คราวนี้เห็นแสงสีทองเป็นกรวยสามเหลี่ยม พุ่งจากข้างบนมายังศีรษะของท่าน มันชักจะยังไง ๆ ซะแล้ว ก็เมื่อคืนไม่เห็นแบบนี้นี่นา...
    อาตมามองเห็นใต้สังฆาฏิของท่าน มีลูกประคำโผล่ออกมาจึงตั้งจิตอธิษฐานว่า “ถ้าท่านคือพระองค์ที่ ๑๐ จริง ๆ และวาสนาบารมีของลูกสามารถเข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้จริง ๆ ขอให้ท่านแสดงออก ด้วยการมอบลูกประคำให้แก่ลูกด้วยเถิด...”
    ท่านยิ้มพลางกล่าวเบา ๆ พอได้ยินว่า “ได้ซิ...แต่ไม่ใช่ตอนนี้นะ...คนเยอะ...” ได้ยินแล้วอาตมาหัวใจพองคับอก เป็นท่านจริง ๆ ด้วย ไม่น่าเชื่อเลย...ท่านมาโปรดลูกหลาน ตามที่สัญญาไว้กับหลวงพ่อจริง ๆ อาตมานั่งดูท่านรับแขกอย่างเพลิดเพลิน รู้ตัวอีกทีตอนท่านสั่งให้กันคนออกไปก่อน แล้วยกอาหารมาประเคนด้วย ท่านจะได้ฉันซะที...!
    อาตมารีบขอร้องทุกคน ให้ถอยออกไปชั่วคราว แล้วยกอาหารมาจะประเคนท่าน คนอื่นเห็นอาตมาได้ถวายอาหารท่าน ต่างก็เอาอาหารที่ตนมีอยู่ใส่ถาดร่วมถวายด้วย...ท่านดูถาดที่พะรุงพะรังด้วยอาหารแล้ว ถามยิ้ม ๆ ว่า “นั่นเธอจะเลี้ยงลิงหรือ...?!”
    อาตมาตีหน้าไม่ถูก ท่านรับประเคนแล้ว ไล่อาตมาไปเฝ้าทางขึ้นเอาไว้ อย่าให้ใครขึ้นมารบกวนตอนนี้ อาตมา ติ๋ว แมมมี นั่งเรียงหน้ากระดาน ขวางอยู่ตรงทางขึ้น สับสนไปหมด เหมือนฝันไปทั้งกำลังตื่นอยู่ (ลองกัดลิ้นตัวเองซักทีซิ...จะได้รู้ว่าไม่ได้ฝัน)
    กำลังคิดเพลินอยู่ ก็มีหลวงตาร่างผอมบางองค์หนึ่ง เดินหลีกคนขึ้นมาข้าง ๆ อาตมา แล้วกราบพระองค์ที่ ๑๐ อย่างนอบน้อม อาตมามีคำถาม ๑๐๘ อยู่เต็มสมอง แต่หลุดปากไปแบบโง่สุดขีดว่า “หลวงตาชื่ออะไรครับ...?”
    “อาตมาคือ โหรอรุณ เทศถมทรัพย์” อาตมาได้ยินแทบหงายผลึ่ง สุดยอดหมอดูของเมืองไทยท่านนี้ ที่แท้เป็นพระหรือนี่ หลงเข้าใจว่าเป็นฆราวาสมานาน อาตมาถามท่านด้วยปริศนาว่า “องค์นี้ท่าน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์แน่นะครับ...”
    “ยิ่งกว่า ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ซะอีก” หลวงตาอรุณตอบอย่างหนักแน่น อาตมาเหงื่อแตกพลั่ก...นรกกินหัวแน่กู...! เมื่อคืนล่วงเกินท่านไว้ขนาดหนักเลย พอดีท่านฉันเสร็จ เตรียมให้พร อาตมาคิดว่า ถ้าให้พรไม่ถึงนิพพานละสวยแน่ (เป็นซะอย่างนี้แหละ ไอ้ควาย...!)
    ท่านให้พรเป็นภาษาไทย ไพเราะกลมกลืน รื่นหูเป็นอย่างยิ่ง แต่เชื่อหรือไม่ อาตมาเองจัดเป็นคนที่มีความจำเป็นเลิศคนหนึ่ง ฟังอะไรครั้งแรกจะจำได้เกือบครึ่ง ถ้าสามครั้งแปลว่าชาตินี้ไม่มีวันลืม แต่จำคำให้พรของท่าน ไม่ได้แม้แต่คำเดียว...!
    ท่านบอกว่า “จำไม่ได้ก็ช่างมันเถอะ ถึงเวลาจะได้เอง” อาตมายกถาดอาหารออกมา ไม่ทราบว่าท่านฉันอย่างไร ไม่ยุบเลยแม้แต่น้อย ส่งแอ๊ปเปิ้ลให้ติ๋วกับแมมมีคนละ ๑ ลูก ตัวเองเก็บลูกที่ท่านฉันแหว่งไปลงกระเป๋า...(คอยคลำอยู่เรื่อย กลัวรอยแหว่งจะหาย...!)
    มีผลไม้ประหลาดลูกหนึ่ง ลักษณะคล้ายผลทับทิม แต่ดูเนื้อคล้ายสาลี่ คล้ายแอ๊ปเปิ้ล ผิวเป็นสีน้ำตาลอ่อน ไม่ทราบว่ามือลึกลับที่ไหนถวายมา...อาตมาตัดสินใจถวายหลวงตาอรุณไป ท่านรับได้ก็หันหลังไปแน่วเลย เหมือนกับตั้งใจมารอรับผลไม้ลูกนี้เพียงอย่างเดียว...!
    พอไม่มีหลวงตาขวางทาง มือน้อยร้อยก็ยื่นมาทุกทิศทุกทาง คนละหมุบคนละหมับพริบตาเดียวหมดเกลี้ยง แม้แต่ที่ตกลงบนพื้นก็กวาดเรียบ...อาตมายืนงง ดูถาดเปล่า ๆ ในมือซึ่งเมื่อกี้ยังมีอาหารเต็มถาด ตอนนี้หายวับไปกับตา ยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ซะอีก...!
    ท่านบอกให้ทุกคนเปิดทาง ท่านจะไปนั่งที่ศาลาการเปรียญ เงินในถุงท่านให้รวบรวมเอาไปถวายหลวงพ่อ พวกรูป-เหรียญของหลวงพ่อที่ญาติโยมถวายท่าน ท่านสั่งให้อาตมาแจกแก่ญาติโยมจนหมด อาตมาขอผ้าขนหนูผืนเล็กจากท่าน ไว้เป็นที่ระลึก ๑ ผืน...
    พอท่านออกเดินก็มีคนปูผ้าเป็นทางตลอดแนว เพื่อเก็บรอยเท้าท่านไว้บูชา อาตมารีบปูผ้าขนหนูผืนเล็กลง ก้มกราบขณะที่ท่านเหยียบผ้าพอดี จึงได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์อีกวาระหนึ่ง ผ้าผืนนั้นกว้าง ๑ ฟุต ยาว ๒ ฟุต เท้าของท่านโตเต็มผ้าพอดี...!
    มัวแต่ตกละลึงอยู่ จนท่านเรียกให้อาตมาปูอาสนะ ๒ วาระ จึงได้สติ ปูอาสนะที่มุมศาลา...คลื่นมนุษย์รายล้อมเข้ามา แย่งกันถวายปัจจัยท่าน พรรคพวกของอาตมาก็มากันครบ ธรรมนูญขึ้นมาช่วยอาตมานับเงินอีกคน...
    นับเงินไปฟังท่านให้พรญาติโยมไป ตาก็ชำเลืองคอยดู ไม่เห็นจะต่างกับคนทั่วไปเลย เสียงท่านบอกว่า “อย่าดูเลย...ไม่ได้เห็นหรอก” อาตมาหลบตามานับเงินต่อ ท่านพูดอีกว่า “ไม่เชื่อรึ...? ลองคลำดูก็ได้นะ...” ไม่ว่าจะคิดอะไร ท่านเป็นรู้ล่วงหน้าไปซะหมด...!
    พี่วิไล (คุณวิไลวรรณ ภูมิธเนศ) ติดเครื่องบันทึกเสียงมาพอดี อาตมาขอยืมมาเพื่อบันทึกเสียงของท่าน แต่กดปุ่มเรคคอร์ดไม่ลง ต้องอธิษฐานขอเสียงท่านไว้เป็นหลักฐาน ทีนี้กดลง แต่เทปเดินแค่ ๑๐ นาที แล้วหยุดเอง...!
    อาตมาต้องขอท่านว่าให้ได้หมดทั้งม้วน เทปก็เดินต่อเอง เอากับท่านซิ...เห็นผู้คนมากันมืดฟ้ามัวดิน อาตมาห่วงงานที่ ๒ ไร่ก็ห่วง ห่วงลูกประคำที่ท่านจะให้ตามคำขอก็ห่วง จนท่านต้องหันมาบอกเองว่า “ร้อนตัวได้ แต่อย่าร้อนใจ”...
    อาตมาอายท่านแทบแย่ มีอะไรอยู่ในใจท่านขุดออกมาซะหมด จึงเอ่ยปากบอกท่านไปตรง ๆ ว่า “ขอลูกประคำของหลวงปู่เถิดครับ ผมจะได้นำญาติโยม กราบขอขมาหลวงปู่ซะทีเดียว” ท่านบอกให้ขอขมาก่อน อาตมาจึงนำญาติโยมกราบพระ และกล่าวคำขอขมาดังนี้
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    ภันเต ภะคะวา ข้าแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า กรรมอันใดที่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ล่วงเกินไปแล้วต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะด้วยกาย วาจา หรือใจ ก็ดี จะโดยต่อหน้าหรือลับหลัง รู้หรือไม่รู้ เห็นหรือไม่เห็น ทราบหรือไม่ทราบ เจตนาหรือไม่เจตนา จะโดยต่อหน้าหรือลับหลังก็ดี...
    ลูกทั้งหลายขอกราบขอขมากรรมนั้น ต่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า โปรดเมตตาอดโทษนั้นแก่ลูกตั้งแต่บัดนี้ ตราบท้าวเข้าสู่พระนิพพานด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า...
    อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ
    สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ
    สุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ
    พอกราบพระเรียบร้อย ท่านก็กล่าวตอบว่า “ขอบใจ...ขอบใจ เทวดาลิงน้อย ๆ ทั้งหลาย ที่มีแก่ใจขอขมาต่อเรา...” ท่านยินดีอโหสิกรรมทุกประการ ขอให้ทุกคนตั้งใจปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานของตนเถิด...
    ตลอดเวลาที่ปฏิสันถารกับญาติโยม เสียงของท่านแจ่มใสกังวาน ลีลานุ่มนวลชวนมอง แต่แฝงด้วยธรรมะอันลึกซึ้ง...ใครกราบขอพรท่านก็ให้ ใครจะ “ดูใจ” ท่านก็ปราม ทุกคนต่างอัศจรรย์ใจเหลือที่จะกล่าว ที่ท่านรู้วาระจิตไปเสียทุกอย่าง...
    “พรใดในหล้าว่าประเสริฐ จงบังเกิดแก่เธอทั้งหลาย”... “รักษาศีลให้ประเสริฐ ทำสมาธิให้เลิศ ทำปัญญาให้บริสุทธิ์”... “คำว่าบารมีแปลว่ากำลังใจ จะมาขอบารมีฉันทำไม? ทำให้มีให้เกิดขึ้นกับตัวเองซิ ถ้าบารมีขอกันได้ ฉันก็กลายเป็นบารจนเท่านั้นเอง...”
    “นิพพานไม่ใช่ภาษาพูด ไม่ใช่ภาษาเขียน เป็นภาษาใจ ถ้าอยากไปนิพพานให้เร่งปฏิบัติ เร่งขวนขวาย เร่งหาธรรม ใครทำใครได้ไม่มีใครทำแทนกันได้”... “พวกที่คิดว่าตัวเอง “แว่นตา” ดีน่ะ อย่าพยายามดูเลย เดี๋ยว “แว่นแตก” แบบเมื่อคืนนี้อีก...”
    “เธอกับฉันมีธรรมเสมอกัน คือมีความตายเหมือนกัน มันต่างกันตรงไหนล่ะ...?” ที่ได้ยินทุก ๓-๕ นาทีคือท่านบอกว่า ปัจจัยทั้งหมดที่ถวายมา ท่านจะมอบให้หลวงพ่อไปทำอะไรบ้าง ขอให้ทุกคนโมทนา ท่านเน้นเรื่อง ปัตตานุโมทนามัย มาก...
    ผู้ที่ขอถ่ายรูป ท่านถามว่า “ถ่ายไปทำไม...? ถ่ายไปแล้วเธอไม่ตายรึ...?” เลยไม่มีผู้ใดกล้าขออีก จนกระทั่งถึงน้องเพิร์ล (สรัญญา แสงหิรัญ) อาตมาจึงตอบแทนว่า “ขอไว้เพื่อเป็นอนุสติครับ...” นั่นแหละ...ท่านจึงยอมให้ถ่ายได้...
    จนเวลาใกล้เที่ยงเต็มที ท่านจึงมอบหมายให้อาตมากับธรรมนูญนำปัจจัยและสิ่งของทั้งหมดไปถวายหลวงพ่อ ขึ้นไปบนศาลา ๒ ไร่ งานเขาเลิกกันแล้ว แต่หลวงพ่อยังนั่งรออยู่ พอเห็นหน้าท่านก็ถามว่า “ไอ้หนูเอ๊ย...เอามาจากไหนหว่า...?”
    “หลวงปู่ที่ฝั่งวัดเก่าริมน้ำ ให้นำมาถวายหลวงพ่อครับ...” “เออ..ใช่... ใช่...องค์นั้นแหละ...” หลวงพ่อตอบเหมือนรับรอง ว่าเป็นท่านแน่นอน อาตมากราบลาออกมาหาอาหารรองท้อง มันหิวจนไส้กิ่ว พรรคพวกก็แยกย้ายกันไป ตอนนี้เล่นบทตัวใครตัวมัน...
    ว่าจะพักผ่อนแต่ใจหนึ่งก็ห่วง เลยกลับไปฝั่งวัดเก่าอีก พบพระองค์ที่ ๑๐ ท่านย้ายไปนั่งที่โคนโพธิ์ มีญาติโยมล้อมแน่นเช่นเดิม อาตมาสังเกตท่าทีอยู่ห่าง ๆ ดูท่านแปลกไปมาก บางทีก็ดูเป็นองค์ท่าน บางทีก็ไม่ใช่ท่าน ไม่ทราบว่าอุปาทานไปหรือเปล่า...?!
    จนประมาณบ่ายสามโมง ท่านไล่ทุกคนให้หลีกไป แล้วไปนั่งพักที่ริมศาลาการเปรียญด้านติดกับแม่น้ำ อาตมาตามไปทวงประคำ ท่านล้วงพวงลูกประคำออกมา พลางกล่าวว่า “นี่เป็นของโบราณ ฉันทำด้วยมือของฉันเอง ฉันจะให้เม็ดที่ ๑๐๙ แก่เธอ...”
    ท่านดึงลูกประคำเม็ดที่ ๑๐๙ ออกจากสาย แต่ดึงไม่ออก นายตี๋แว่น (ปัจจุบันนี้ท่านคือ พระนิติ สุธมฺมสุนฺทโร) ใช้กรรไกรตัดฉับเข้าให้ ลูกประคำทั้งสายเลยขาดกระจาย หล่นลงเกลื่อนพื้น ผู้คนกรูกันเข้ามาเก็บ ธรรมนูญร้องห้าม แต่ท่านบอกว่า...
    “ช่างเขาเถอะ...ใครมีบุญเขาก็ได้ไปเอง...” ไม่น่าเชื่อที่ลูกประคำมากมายปานนั้น มีน้องเป้ (รังสิมา แสงหิรัญ) เก็บได้ ๒ เม็ด หลวงพี่ชัยวัฒน์ (พระชัยวัฒน์ อชิโต) เก็บได้ ๑ เม็ด นอกนั้นอัตรธานไปไหนหมดก็ไม่รู้...!
    พอส่งเม็ดประคำให้อาตมาแล้ว ท่านก็ออกเดินตรงไปยังโบสถ์ใหม่ อิริยาบถการเดินดูแผ่วพริ้วนุ่มนวล เหมือนกับท่านลอยไปอย่างนั้นแหละ ผู้คนปูผ้าให้ท่านเหยียบเป็นทาง บางคนหาผ้าไม่ทัน ถึงกับถอดเสื้อลงปูให้ท่านก็มี...!
    ท่านไว้พระประธานที่หน้าโบสถ์ แล้วหันหน้าไปทั้งสี่ทิศ ยืนสงบนิ่งอยู่ทิศละอึดใจหนึ่ง ก่อนจะหันมาถามอาตมาว่า “เธอรู้ไหม ฉันทำอย่างนี้เพื่ออะไร...?” “ขอความกรุณาอธิบายเพื่อความกระจ่างด้วยครับ...” ท่านตอบว่า...
    “ฉันทำอย่างนี้เพราะปรารถนาให้สัตว์โลกในทิศทั้งสี่ มีความสุขเสมอหน้ากัน” อาตมาถามว่า “ทิศสุดท้ายหมายถึงองค์หลวงปู่ใช่ไหมครับ...?” ทิศเหนือคือทิศอุดร อาตมาหมายความว่า ท่านคือ หลวงปู่ใหญ่โลกอุดร ท่านตอบว่า “เธอเข้าใจผิดแล้ว...”
    อาจารย์ประเสริฐ เกษตรเอี่ยม ขออนุญาตไปส่งท่าน ท่านถามว่า “เธอแน่ใจแล้วหรือว่า จะไปส่งฉันได้ตลอด...?” “ผมส่งหลวงปู่ยันนิพพานเลยครับ...!” ตอบได้เด็ดขาดมาก น่าเสียดาย ที่ไปแค่กลางทาง ท่านก็เล่นกล หายไปต่อหน้าต่อตาซะอย่างนั้นแหละ...!
    หลวงพ่อเมตตาให้ความกระจ่างว่า “ฉันยืนยันองค์เดียวนะ องค์ที่ใต้ต้นโพธิ์ริมน้ำ คือพระองค์ที่ ๑๐ องค์อื่นฉันไม่รับรอง” อาตมาเชื่อ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ตอนนี้เอง แต่ท่านไปถึงฟากฟ้าป่าหิมพานต์ไหนแล้วก็ไม่รู้ ...? อีกนานไหมหนอ...กว่าจะได้พบท่านอีก...!?
    ภายหลังหลวงพ่อได้สร้างศาลาประดิษฐานรูปปั้นของท่าน ไว้ที่โคนโพธิ์ริมน้ำเพื่อให้ญาติโยมได้กราบไหว้บูชา เท่านั้นยังไม่พอ ยังสร้าง มณฑปแก้ว เป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อของท่าน และพระองค์ที่ ๑๑ อีกหลังหนึ่ง งานหล่อรูปของท่าน ผู้คนแห่กันมามืดฟ้ามัวดิน บริจาคทองคำช่วยหล่อรูปของท่านได้ถึง ๒๒ กิโลกรัม...!
    ผ้าพิมพ์รอยเท้าของท่าน อาตมามอบให้น้องแสงชัย (แสงชัย เพชรชื่นสกุล) ไปบูชา เมื่อคราวเดินทางไปทำงานที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย ส่วนลูกประคำนั้น อาตมามอบให้กับ ติ๋ว (ปัจจุบันคือ น.ต.หญิง อิศรา กิติธีระกุล) เป็นของขวัญแก่ลูกในท้องของเธอ...
    หลังจากนั้นไม่นาน เถ้าแก่สุวิทย์ (คุณสุวิทย์ สวรรค์กสิกร) ไปพบพระองค์หนึ่ง ที่รูปร่างหน้าตา คล้ายพระองค์ที่ ๑๐ มาก พระองค์นั้นท่านก็รับสมอ้างด้วย หลวงพ่อท่านบอกว่าไม่ใช่ แต่อาตมาชอบพิสูจน์ทราบ จึงเดินทางไปดูด้วยตาตนเอง...
    เห็นปุ๊บก็รู้ว่าไม่ใช่ เพราะลีลาไปกันคนละโลกเลย แต่การพิสูจน์ครั้งนั้นเป็นเหตุให้อาตมาถูกเข้าใจผิด หาว่าสมรู้ร่วมคิดกับพระองค์นั้นหลอกเอาทรัพย์สินเงินทองจากลูกศิษย์หลวงพ่อ ทั้งที่พวกเขาไปทำบุญกันเอง อาตมาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวด้วยแม้แต่นิดเดียว...!
    สู้ทนให้เขาเข้าใจผิดไป เพราะจำลีลาหลวงพ่อได้ “ใครว่าร้ายท่านไม่เคยโต้ตอบ ไม่แก้ข่าว ปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์” ในที่สุด บรรดาผู้ที่ด่วนลงความเห็น ต่างพากันยิ้มแหย ๆ เวลาเห็นหน้าอาตมา แต่ยังไว้ท่า จะขอโทษสักคำก็ไม่มี นี่แหละมนุษย์...!
    ลูกกราบขอบารมีองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โปรดช่วยสงเคราะห์ให้ทุกท่านที่ได้พบกับพระองค์ที่ ๑๐ ก็ดี หรือ อ่านพบและเลื่อมใสในองค์ท่านก็ดี จงเป็นผู้มีจิตอันเข้าถึงธรรมโดยถ้วนหน้ากัน ธรรมอันใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรรลุแล้ว ขอทุกท่านจงเป็นผู้มีส่วนเห็นธรรมนั้นในชาติปัจจุบันนี้เทอญ...
    องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน
    ตัดมูลกิเลสมาร บ่มิหม่นมิหมองมัว
    หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว
    ราคีบ่พันพัว สุวคนธกำจร
    องค์ใดประกอบด้วย พระกรุณาดังสาคร
    โปรดหมู่ประชากร มละโอฆกันดาร
    ชี้ทางบรรเทาทุกข์ และชี้สุขเกษมศานติ์
    ชี้ทางพระนฤพาน อันพ้นโศกวิโยคภัย....ฯ
    นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ พุทฺโธ เม สรณํ วรํ
    นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ ธมฺโม เม สรณํ วรํ
    นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ สงฺโฆ เม สรณํ วรํ
    เอเตน สจฺจ วชฺเชน โหตุ เม ชยมงฺคลํ...ฯ
    ๖ มีนาคม ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ


    บันทึกเพิ่มเติม ภายหลังพระรูปที่รับสมอ้างว่าเป็นพระองค์ที่ ๑๐ ไปสร้างวัดอ้อน้อยธรรมอิสระ ที่อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม แล้วหลวงพี่ชัยวัฒน์ยังไปรับรองกับบรรดาลูกศิษย์หลวงพ่อ “องค์นั้นแหละ พระองค์ที่ ๑๐...”
    เมื่อเป็นดังนั้นจึงมีลูกศิษย์ลูกหาของหลวงพ่อจำนวนมากแห่กันไปหา ท่านเองก็พลอยรับสมอ้างกันใหญ่โต จนท้ายสุด ท่านสะดุดคำพูดตัวเอง เลยต้องลาสิกขาบท แล้วบวชใหม่เพื่อให้พ้นจากข้อหาโกงพรรษา ปัจจุบันนี้ท่านมีชื่อเสียงมากทีเดียว แต่ผู้ที่ไปหาต้องทำใจกับจริยาบางอย่างที่เป็นเฉพาะตัวของท่าน ถ้าคิดจะหาประสบการณ์ก็ทดลองไปดูได้



    :cool:คุณมะนาวหวานครับขอบมากที่นำข้อมูลมาให้อ่านซ้ำอีก ผมบอกแล้ว อ.พี่เล็กท่าน จำแม่น ปัญญาดีมากครับ ตรงข้ามกับผมเลยครับ ท่านเข้าวัดท่าซุง ไล่เลี่ย กับผมนั่นแหละ ทั้งยศ ฐาบรรดาศักดิ์ อำนาจ ในสมัย เป็นฆราวาส และบวชเป็นพระ ท่านมี ครบมากหลายด้าน เปรียบกับท่าน ท่านเป็นฟ้า ผมเป็นดิน ผมมาจาก ศูนย์ นับ ๑-๒-๓-๕-๗-๙ ๑๐ ยังไม่เคยได้อะไร เป็นชิ้นเป็น อันสักอย่างเลยครับ คำสอนของพ่อ ที่จำได้มากที่สุด จะช่วยเหลือคนอื่น ต้องช่วยเหลือตนเองก่อน จะสอนผู้อื่นต้องสอนตัวเองก่อน แต่ที่มาตอบ ในหลายๆกระทู้ ก็เพราะ คนอื่นแค่เรียนมาเล็กน้อย ยังตอบกันได้ มั่วนิ่ม ก็เยอะ จึงตัดสินใจ ตอบประสบการณ์ จริง


    ประสบการณ์ ท่านพระ อ.เล็ก วัดท่าขนุน ก็ไม่ต่างกันมากนัก ผมอ่านแล้ว คล้ายกัน แต่ส่วนใหญ่ ของท่านละเอียดลออ ตามที่ผมกล่าวมา และ การกล่าว ของพระองค์ที่ ๑๐ หลวงพ่อฤาษี ท่านเขียนมีทั้ง ตำรา มีทั้งเทป ขายที่วัด ท่าซุง มีขายครับ ฉนั้น ตรงนี้ ถ้าผู้ใดสนใจ อ่านต่อได้เลยครับ ผมก๊อบ ที่คุณมะนาวหวาน นำมาใส่หน้านี้แล้ว ขอให้ทุกท่านจงโชคดีครับ
     
  16. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814

    :cool:มีครับ หลายคนที่ถ่ายภาพ ก็เหมือน หลวงปู่ พุทธอิสระ ผมเห็นอยู่ในกุฏิหลวงพี่ ตอนหลังๆ เมื่อรู้ความจริง ท่านก็ปลด ออกไปกันหมดครับ ผมก็สงสัยเรื่องบางเรื่อง แต่ก็ใช้ใจ พิจรณา ไม่ใช่เรื่องของเรา จึงไม่ใส่ใจมากนักครับ ผมก็บอกแล้ว ที่ตอบกระทู้ (ในหัวข้อถึงลุงบุญทรงพระเครื่องครับ)

    ผมอยู่ในเหตุการณ์นั้นในวันนั้น อยู่ตรงหน้า พระองค์ที่ ๑๐ ห่างวากว่าๆ หลวงพี่เล็ก ท่านอยู่ซ้ายมือพระองคที่ ๑๐ ห่างประมาณ ๑ เมตร ยังจำได้ถึงทุกวันนี้ครับ เรื่องนี้ ผมว่า มันมี อยู่ ๒ ท่าน ที่รู้ดี หลวงพี่ อ.เล็ก กับ หลวงปู่ พุทธ อิสระครับ เพราะผมไม่ได้ไปสำผัสกับท่าน แต่ท่าน จะมีดีขนาดไหน ก้เรื่องของท่าน ถ้าไม่มีดี คนคงไม่ไปกราบท่าน แต่ดีขนากไหนไม่ขอวิจารย์ครับ เพราะยังไม่รู้จริงครับ
     
  17. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    สวัสดีครับ พี่น้องทุกๆท่าน มาว่าต่อครับ ที่เล่าค้างไว้ เมื่อคืนครับ ขออารัมบท สักนิดหนึ่ง หลวงพ่อท่านกล่าวไว้ว่า พระองค์ ที่ ๑๐ จะมาในลักษณะ หน้าตา ไม่แก่มากนัก อายุในราว สัก ๓๐ ปี ถ้าผิดพาดจาก คำบอกเล่า ขององค์หลวงพ่อ ก็ขออภัย ไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ขออย่ามีโทษเลยครับ อาจผิดพาด จากการไม่ได้จดบันทึกไว้ ใช้แต่ความทรงจำล้วนๆและที่ประสบมาครับ แต่เรื่อง ที่จำแม่น และละเอียด ต้องยกยอด ให้พระอาจารย์ เล็ก วัดท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ท่านเล่า ให้ ฟัง เพราะท่าน อยู่ ใกล้หลวงพ่อ ของเรามากที่สุด องค์หนึ่งเลย และตอน พระองค์ ที่ ๑๐ ท่านมา ท่านอยู่ ข้าง ด้านซ้ายมือ พระองค์ที่ ๑๐ ส่วนผม อยู่ด้านหน้า พระองค์ ที่ ๑๐ อยู่ห่างวา เศษ ๆ อ.เล็ก ท่านอยู่ห่าง ประมาณ เมตร หนึ่งได้ครับ


    ในวันงานผม เดิน ตามหา พระต่างๆ และพระองค์ที่ ๑๐ ตั้งแต่ตี ๕ เห็นจะได้ และไปช่วยพระ ท่านบ้างบางคราว พอมีเวลา ก็ตาม หาต่อ พอสัก ประมาณ ๓ โมงเช้าโดยประมาณ เห็นจะได้ ก็มีพระองค์หนึ่ง มานั่ง ที่ระเบียง ศาลาวัดเก่า ใกล้ หอฉัน มีคนเข้าไปกราบ และฟัง ท่านพูด บ้างเทศบ้าง ก็นั่งอยู่ ตก ๓ ชั่วโมง จนท่านได้ไล่ ให้ออกไปกันมากมาย ไอ้เรากลัวจะมีโทษ ก็แอบ โดยด้านหน้า กะว่า ให้คนเข้าออก มาสลับเปลี่ยนกันได้ ท่านบอกลูก ฤาษีดื้อ เราก็ใช้ควาฉลาดของเรา โดยแอบ แบบที่กล่าวมานั่นแหละ ตอนเข้ามากราบปุ๊บ ยังไม่ได้เงยหน้าเลย ท่านกล่าวว่า เธอ ตามหาเราตถาคต มาช้านาน ตอนนั้น ฟัง ปลื้มปิติ เป็นยิ่งนัก เมื่อได้ยิน ปุ๊บ คำๆนี้ มันไม่ใช่ คำของ พระสาวก มันคำของพระพุทธองค์นี่ ใหม่ๆยังไม่หายสงสัย จึงนั่งท่านพูดเรื่อยๆไป และให้พรคนที่มากราบ ท่าน พูดได้ไพรเราะมาก เสนาะโสต ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ที่ไหนมาก่อนเลย


    ขอพูดย้อนหลังนิด การที่ผมพูด ถึง พระองค์ที่ ๑๐ ว่ามันไปเกี่ยวข้อง อะไรกับ หลวงปู่พุทธะอิสระ ผู้อ่าน ยังไม่เข้าใจ ผมต้องพูดเริ่มต้นก่อน มันเกี่ยวข้องกันแน่ นอน ไม่งั้นผมไม่เอ่ยถึงท่านหรอกครับ ถึงตอนจบนั่นแหละ ท่านถึงจะเข้าใจ เพราะเรื่องมันเกี่ยวข้องกันครับ การเล่าไม่ละเลียดนัก แต่มันยาว บ้าง การเริ่มต้น ผมไม่แน่ใจ แต่ก็ต้องเล่า โดยวิธีนี้แหละครับ ถึงจะสำพันต่อเนื่อง และเรื่องราว เหมือนลูกโซ่ครับ วันนั้น ผมนั่งฟัง ท่านกล่าวมากมาย จนจำมาได้นิดเดียวเองครับ ท่านใช้ของ คำพูด ตอนที่ การบำเพ็ญมา ในสมัย ท่านเป็นพระโพธิสัตวื ตอนยังไม่ได้ ตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า ผมฟังแล้ว มันสบายๆครับ ท่านกล่าวว่า การที่เราตถาคต บำเพ็ญ บารมีมาแล้ว แต่อดีด ๔ อสงไขย กำลัย อีก แสนมหากัป ขอให้เธอ ทั้ง หลาย หรือ ลูกศิษย์ ฤาษี จงพ้นทุกข์ ในชาตินี้ เป็นต้น


    ฟังแล้วซึ้งมากๆครับ เดี๋ยวมาต่อครับ ไปใส่บารตก่อนครับ และเดี๋ยวมีแขกมาหาด้วย เมื่อคืนคุยกับพักพวก ถึ่งทุ่ม เลยไม่ได้ไปฟังพระสวด พระอภิธรรมเลยครับ
     
  18. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ไปใส่บารตมาแล้ว ทำธุระส่วนตัวเสร็จ ก็ฝากเงิน ไปกับ อ.ปุ๋ย อีก ๓๐๐ บาท เพราะว่า อ.พี่สมปอง แห่งบ้านสบายใจ ใกล้กับวัดท่าซุง ท่านกับคณะลูก หลาน หลวงพ่อ และลูกหลาน ของท่าน ได้ สร้างโลงแก้ว หรือเปลี่ยน โลงแก้ว และสร้าง ดอกไม้ทองคำ ให้หลวงปู่คำคนิง จุลมณี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ ต.บ้านด่าน อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี ถ้าจำไม่ผิด เดินทางในวันพรุ่งนี้ครับ เพื่อไปเปลี่ยน ผ้าจีวร อาบน้ำพระศพ ด้วยหรือเปล่าไม่แน่ใจครับ และเพื่อนำสพ หลวงปู่ เข้าโลงแก้ว ที่สร้างใหม่ ในราคา กี่ล้านบาทไม่ทราบ หลวงปู่คำคนิง ท่านเป็พระ ร่วมในสมัย ในสมัย หลวงปู่ปาน ๆ ท่านจะพา คณะ หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง และพระเพื่อน หลวงพ่อ หลายองค์ มาหาหลวงปู่ คำคนิง เพื่อแลกเปลี่ยน ธรรมะ และประสพการณ์ ท่านมีความสำพันกันมา แต่ในอดีดหนหลัง


    มาว่าต่อ ในความเดิมที่แล้ว เมื่อ ตอนเช้าครับ ไปต่อเรื่องอื่นเสียยืดยาวเลย ในระหว่าง ที่พระองค์ ที่ ๑๐ ท่านเทศ บ้างพูดบ้าง สลับกันไปนั้น ได้เวลาอันสมควร ๕ โมงเช้า ได้มีคน นำอาหาร ผลไม้มาถวาย ท่านเพื่อให้ท่านได้ ฉัน ท่าน ได้ มองมาที่ผม แล้วกว่าวว่า เธอ จงนำน้ำ มาให้เรา ๑ แก้ว พูด ๒ วาระ ผมก็รีบกุลีกุจอ ไปหาแก้ว ได้แก้ว มา ๑ ใบ ล้างแล้ว เอาน้ำใส่ไปถวายท่าน ต่อจากนั้น ผมก็ไป ที่อื่นชั่วคราว กะจะมาให้ทันให้พร เมื่อใกล้เที่ยงผมเข้ามา ท่านให้พร ไพรเราะมากจริงๆ ดังกังวาล เสียงใส ยิ่ง


    เมื่อท่านฉันให้พร ผมจึงกับไป ฟังหลวงพ่อเล่า ฟังทาง ลำโพง ที่ติดไว้ทั่วไป พวกทหาร ตำรวจ ที่หลวงพ่อสั่ง ไว้ ให้ดู ความเครื่อนไหว ในจุดที่ต่างๆของวัด พอจับใจความ เข้าใจ ได้บ้างแล้ว ประมาณ บ่ายโมงกว่าๆ เห็นจะได้ ผมได้เข้าไปใหม่ ก่อนจะไปถึง ผมอธิษฐานในใจ ว่า ถ้า เป็นพระองค์ ที่ ๑๐ หรือ องค์ปัจจุบัน จริง เมื่อไปถึง ขอให้เทศ หรือแสดงธรรม ได้ฟังธรรม จากท่าน เมื่อไป ปรากฎว่า ท่านไม่ได้อยู่ที่เดิม แต่ท่านไปนั่ง อยู่ที่โคนต้นโพธิ์ ใหญ่ ริมแม่น้ำแสกกรัง ที่หลวงพ่อ สร้างวิหารครอบ พระองค์ที่ ๑๐ ปัจจุบันครับ


    เมื่อมาถึง พระองค์ท่าน เทศ เรื่อง อริยสัจ ๔ และต่อเนื่องนานพอควร หลาย ตอน ไพรเราะมาก การมาฟังท่าน สมดังที่ผมตั้งใจไว้ อธิษฐานไว้และดัง เล่ามาทุกประการครับ และมีพระมาโปรดบ้าง มากมายหลายที่ การเข้าไปกราบอีกหลายองค์ ในส่วนหลวงปู่โลกอุดร ท่านมาในลักษณะ ของเณรน้อย และอีกหลายๆพระองคื แล้วแต่ บุญของใคร หรือ ท่านจะไปดปรดใคร หรือใคร จะแสวงหา หลายๆที่ ของในวันงานครับ สำหรับผมนี้ ได้กราบหลายองค์ครับ หลังจากงานเสร็จ ได้เข้าไปกราบ หลวงพ่อ จะเล่าให้ฟัง ที่ตึกรับแขก คนนั่งฟังกันเยอะ ส่วนพวกเราก็เข้าในกุฏิ หลวงพี่จง ส่วนผมนี้จะเรียกกุฏิ หลวงปู่จง วัดหน้าต่างล้อม เพราะกุฏิท่าน อยู่ ทางทิศเสรษฐี กุฏิเจ้าอาวาส อยู่ทางตีนบรรได ทางขึ้นไป ๒ ไร่ ศาลา ๑๒ ไร่ ๔ ไร่


    มีคนถ่ายรูปไว้ อัดไว้บูชา ตอนหลังก้เก็บออกกันเป็นแถว ขอรวบรัดตัดตอน เลยนะครับ พระองค์ที่ ๑๐ ก็คือ ท่านแขวงมา ในรูปกาย หลวงปู่พุทธะอิสระ จะแขวงแบบไหน นั้น เป็นเรื่องของท่านครับ มันเป็นอจินไตย จะรู้ได้ เฉพาะคนที่ได้ ทิพยจักษุญาณ เท่านั้น หรือพระอริยเจ้า หลวงปู้ พุทธอิสระ ท่านก็มีบารมีธรรม อยู้แล้ว ท่านคงจะโปรด หรือสงเคราะหลวงปู่หรือเปล่า และเป็นผู้เหมาะสม ในการนี้ โดยเฉพาะครับ ผมจึงรู้โดยอนุมานครับ และผู้รู้ ละเอียด ก็คงไม่พ้น อ.เล็ก วัดท่าขนุน แน่นอนครับ และตัว ของหลวงปู่ พุทธะอิสระ ครับ เราย้อนไปดู ที่ ท้าวมหาพรหม กับพระพุทธเจ้า เล่นซ่อนหากัน นึกถึงตอน พระพุทธองค์ เสด็จไปอยู่บนหน้า ผากพรหม ๆไม่รู้ ว่าองค์ สมเด็จ ซ่อนอยู่ตรงไหน ผมขอให้ท่านนำเก็บไปคิด หามูล ข้อเองไว้ ในใจ หาเหตุผล ดูเอาครับ ให้ท่านทั้งหลาย เก็บไปคิดเป็นการบ้านครับผม
     
  19. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    และขอต่ออีกนิด หลังจากนั้นไม่นานนัก หลวงพ่อสั่ง ช่างประเสริฐ สร้างมณฑป แก้ว พระองค์ที่ ๑๐ และ ๑๑ และหล่อรูปกาย พระองค์ ที่ ๑๐ ในปางของมนุษย์ และรูปกาย ของพระองคืที่ ๑๑ ในปางของมนุษย์ พระองค์ที่ ๑๑ นี้ รูปกายของท่าน ในสมัยเป็นมนุษย์ รูปร่างของท่าน คล้าย หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ครับ นี่หลวงพ่อท่านเล่าครับ เมื่อหล่อ เสร็จ ผมได้ มาขัด รูป พระองค์ที่ ๑๐ อยู่เกือบ ๓ วันเต็มๆ ช่างเสริฐ เดี๋ยวพอก เดี๋ยวให้ผมขัดอยู่ อย่างนั้น นึกอยู่ในใจ เหมือนกัน ไม่เสร็จสักที เดี๋ยวพอก เดี๋ยวขัด ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆตก ๓ วัน พระองค์ที่ ๑๑ ไม่วัน ถึงวันเสร็จ เมื่อเสร็จแล้ว ช่างเสริฐ ได้ให้เงินผม มา แค่ ๕๐ บาท ในสมัยนั้นนะครับ แค่แรงในสมัยนั้นวันละ ๓๐ กว่าบาท เท่านั้น ผมอยู่นครปฐม พ.ศ.๑๐ กว่า วันละ แค่ ๑๐ บาทกว่า ยังทำงานอื่นได้ วันเกือบร้อย หรือร้อยกว่าบาท ยังมีเลย ช่างประเสริฐ ให้ผมมา ๕๐ บาทผมไม่เอาครับ ผมตอบไปว่า ผมต้องการ บุญ ไม่เอาหรอกครับ ทำให้ฟรี
     
  20. krasin

    krasin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    395
    ค่าพลัง:
    +2,821
    ท่านบุญทรงพระเครื่องครับ................ผมเข้าใจแบบนี้ถูมั้ยครับ คือ พระองค์ที่10 ท่านแฝงมาในกายหลวงปู่พุทธะอิสระชั่วคราว เพราะฉะนั้นหลวงปู่พุทธะอิสระไม่ใช่พระองค์ที่10 หลวงปู่พุทธะอิสระก็คือ หลวงปู่พุทธะอิสระ และสามารถกราบไหว้ได้เหมือนกัน ผมเข้าใจแบบนี้ถูกมั้ยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...