ปกิณกธรรมก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันเสาร์ที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 30 สิงหาคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันเสาร์ที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๖



    (หลังจากเสียงตามสายจบ) เมื่อครู่นี้หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านบอกเรื่องวาจาส่อเสียด มีศัพท์อยู่คำหนึ่งก็คือ "ไอ้หมอนั่น" เด็กรุ่นใหม่ ๆ ไม่ค่อยได้ยินคำนี้กัน ต้องเข้าใจว่าคนรุ่นเก่าถ้าถนัดหรือชำนาญอะไร เขามักจะเรียกเป็น "หมอ" แม้กระทั่งควาญช้างก็เรียกว่า "หมอช้าง" ทนายความก็เรียกว่า "หมอความ" แต่พอเอามาเรียกคนเข้าความหมายก็เพี้ยน ก็คืออยู่ในลักษณะเป็นคนกะล่อน "ไอ้หมอนั่น" ก็แปลว่าเขามีความเชี่ยวชาญในการกะล่อนมากเป็นพิเศษ

    คำพูดเก่า ๆ หลายคำ พอไม่ได้ใช้ก็เลือนหายไป อย่างปัจจุบันนี้อาตมาไม่ได้ยินคำว่า "กระถ็อก" แล้ว มีใครเคยได้ยินไหม ? อย่างเช่นกระถ็อกน้ำปลา คือปกติแล้วจะตัดจุกขวดน้ำปลาให้รูใหญ่ไม่ได้ เดี๋ยวเทแล้วน้ำปลาจะออกมาเยอะเกินไป ต้องตัดรูเล็ก ๆ แต่พอรูเล็กเททีน้ำปลาก็ไม่อยากจะออก ถ้าเป็นเราก็เรียกว่าเขย่า..ใช่ไหม ? แต่ภาษาโบราณเขาเรียกว่า "กระถ็อก"

    กลายเป็นว่าศัพท์บางคำหายไป ในขณะเดียวกันศัพท์ใหม่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นมา แต่ศัพท์รุ่นใหม่ฟังแล้วเครียด เขาสามารถบัญญัติศัพท์ที่เราฟังไม่รู้เรื่องได้ ต้องเข้าใจว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องชั่วคราว สัพเพ สังขารา อนิจจา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง หรือถ้าหากแปลให้ฟังเข้าใจก็คือ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่มีอะไรเที่ยง

    ในเมื่อทุกอย่างไม่เที่ยง เราไปยึดมั่นถือมั่น เราก็จะทุกข์ ขอร้องร่างกายนี้ให้อย่าแก่เลย..แล้วร่างกายฟังเราไหม ? อย่าอ้วนเลย..ร่างกายไม่ฟังเราหรอก เพราะว่าเป็นไปของมันเอง ในเมื่อทุกอย่างไม่เที่ยง เราไปหวังให้เที่ยงก็เท่ากับว่าเราไปฝืนธรรมดา

    คำว่า "ธรรมดา" ถ้าใครหาเจอ จะใช้หากินได้ทั้งชาตินี้ ชาติหน้า และชาติต่อ ๆ ไปยันพระนิพพานเลย..!

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    ธรรมดาเป็นอย่างนั้น ธรรมดาการเกิดมาในโลกต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ ธรรมดาของการทำงานที่นี่ ก็ต้องเจอเจ้านายเฮงซวยอย่างนี้..!

    ธรรมดาของแต่ละคนไม่เท่ากัน
    ธรรมดาของปุถุชน คนหนาแน่นด้วยกิเลส ปล่อยวางได้แค่นี้
    ธรรมดาของกัลยาณชน คนมีศีลมีธรรม ปล่อยวางได้อีกหน่อยหนึ่ง
    ธรรมดาของอริยชน ก็ว่าไปตามลำดับ ตั้งแต่โสดาปัตติมรรคไปถึงอรหัตผล


    พวกเราทุกคนต้องหาคำว่า "ธรรมดา" ให้เจอ ถ้าหาไม่เจอชีวิตนี้ไม่มีความสุขหรอก เพราะว่าเราไม่เห็นความธรรมดา ธรรมดานี้มาจากธรรมชาติ..คือปกติที่เกิดขึ้นแบบนั้น

    ชาติ หรือชาตะ แปลว่า ความเกิด
    ธรรมชาติ แปลว่า เกิดขึ้นตามปกติและมีปกติเป็นเช่นนั้น

    ในเมื่อธรรมชาติเป็นเช่นนั้น เราจะไปหวังอะไรมากมาย โบราณเขาถึงได้บอกว่า อย่าไปตั้งความหวังไว้กับใคร ตั้งความหวังไว้มากถึงเวลาก็จะผิดหวังมาก

    อาตมภาพเจอโยมอยู่คนหนึ่ง ลูกสาวเรียนจบแล้วกำลังทำงาน ส่วนลูกชายกำลังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ แต่เที่ยวหัวหกก้นขวิดทุกคืน ออกจากบ้านหกโมง ทุ่มครึ่ง กลับมาอีกทีก็สว่าง ถามแม่เขาว่า "เครียดไหม ?" เขาบอกว่า "แรก ๆ ก็เครียด ในที่สุดก็เห็นว่าธรรมดา อนาคตของเขา ถ้าเขาไม่สนใจก็เรื่องของเขาเถอะ เราไม่ได้เลี้ยงเขาตลอดไปอยู่แล้ว" แม่ทำใจได้ ส่วนลูกจะรู้ตัวเมื่อไรก็แล้วแต่เวรแต่กรรม..!

    อาตมภาพมาทองผาภูมิใหม่ ๆ ปี ๒๕๓๒ ประมาณ ๓๔ ปีที่แล้ว นั่งคุยกับครูท่านหนึ่งของโรงเรียนแห่งหนึ่ง เขามาสำรวจที่เพื่อตั้งฐานฝึกลูกเสือ ครูคนนี้เป็นคนขาดเหล้าไม่ได้ คุยกับพระไปก็ก๊งเหล้าไป อาตมาก็นั่งคุยกับเขาหน้าตาเฉย
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    คุยไปคุยมา ครูทนไม่ได้ถามว่า "อาจารย์..ถามจริง ๆ เถอะ เห็นผมกินเหล้า จะไม่ห้ามบ้างหรืออย่างไร ?" อาตมภาพบอกเขาไปว่า "อ้าว..ตัวก็ตัวของมึง เงินก็เงินของมึง อยากกินก็กินไปสิ กูจะไปห้ามทำไม..?!" แกบอกว่า "พระอื่นแค่ได้ยินว่าผมกินเหล้านี่ โอ๊ย..เทศนาเป็นชั่วโมง จะให้เลิกให้ได้ มีแต่อาจารย์นี่แหละที่นั่งคุยกับผม ผมคุยไปดื่มไปครึ่งกลมแล้ว อาจารย์ยังไม่บ่นสักคำ..!"

    อาตมาก็บอกว่า "เรื่องของสุรา เรื่องของยาเสพติด ถ้าเจ้าตัวยังไม่เห็นโทษและคิดเลิกด้วยตนเองแล้ว อาตมาพูดให้ปากฉีกถึงหู โยมก็ไม่เลิกหรอก แล้วจะพูดไปให้เหนื่อยทำไม ?" แกบอกว่า "จริงครับ"

    หลังจากนั้นหลายปีก็เลิกได้นะ เพราะว่าตับแข็ง ไปโรงพยาบาลหมอบอกว่า "ถ้ากินต่อตายแน่..!" เลยเลิกได้ นี่ถ้าไม่มีความตายมาเกี่ยวก็คงไม่เลิกหรอก แล้วไปนึกถึงพี่ชายคนโตของอาตมภาพเหมือนกัน ตายตอนอายุ ๙๕ ปี พี่ชายคนนี้ตั้งแต่วัยรุ่นก็กินเหล้าแทนน้ำเลย ถึงเวลาคนอื่นออกไร่ออกนาไปทำงาน เขาหิ้วน้ำกันไป พี่ชายอาตมภาพหิ้วแกลลอนใส่เหล้าเถื่อนไป ดื่มแทนน้ำทั้งวันเลย..!

    อาตมาพอเรียนหนังสือรู้ภาษา สมัยโน้นเข้าเรียนตอน ๘ ขวบ ตอนเย็น ๆ ก็มีหน้าที่เอาจักรยานไปรับแกกลับจากตลาด แกก็นั่งโงกเงก ๆ อยู่ท้ายจักรยาน อาตมาก็ปั่นไปเรื่อย ไกลหลายกิโลฯ อยู่ สักพักหนึ่งก็ โครม..หล่นลงไปกองกับพื้น..! อาตมภาพก็ต้องหยุดจักรยาน ปัดขาตั้งเรียบร้อย พยุงแกขึ้นมานั่งใหม่แล้วก็ปั่นต่อ อีกสักพักก็ โครม..ลงไปกองกับพื้นอีกแล้ว..!

    สักอายุ ๘๐ กว่าปี ไปเยี่ยมแก ปรากฏว่าเลิกเหล้าได้แล้ว ตับแข็ง..หมอไม่ให้กินต่อ หมอบอกว่า "ถ้าอยากตายก็กินไปเลย..!" เหมือนกันเลย ก็คือถ้าไม่มีเรื่องตายเข้ามานี่ห้ามไม่ได้หรอก แล้วอัศจรรย์มากว่าแกอยู่มาได้อย่างไร กินเหล้าแทนน้ำมาตั้งแต่วัยรุ่น อยู่มาได้จนอายุ ๙๕ ปี ถ้าแกไม่กินเหล้าไม่อยู่เป็นร้อยปีหรือ ?

    เรื่องพวกนี้เราบอกกันไม่ได้นะ บอกคนอื่นว่ากินเหล้าไม่ดี ไม่ดีที่ไหน ดูอาแปะแกอยู่ถึง ๙๕ ปี แล้วถ้าบอกว่าสูบบุหรี่ไม่ดี ลองไปถามล้อต๊อกดูสิ ล้อต๊อกสูบวันละสองซองครึ่ง อยู่จนอายุ ๗๙ ปี ยังมีลูกเลย ตายตอนอายุเกือบ ๙๐ ปี เด็กรุ่นหลังแทบจะไม่รู้จักล้อต๊อกกันแล้ว
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    ที่ว่ามาถึงตรงนี้ก็เพราะว่า เรื่องของการสร้างบุญสร้างกุศลให้กับตนเอง เราต้องมีจิตสำนึกของตนเอง อย่างที่เมื่อวานเล่าไปว่า ถามโยมคนหนึ่งว่า "โยม..เมื่อไหร่จะเข้าวัด ?" โยมบอกว่า "ลูกยังเล็กเจ้าค่ะ" พอลูกโตเข้าโรงเรียนได้ก็ถามใหม่ "โยม..เมื่อไรจะเข้าวัดเสียที ?" โยมตอบว่า "กำลังเลี้ยงหลานเจ้าค่ะ" อย่างนี้เอ็งไม่ต้องเข้าหรอก รอเขาหามเข้ามาเถอะ..! ตอนนั้นมาก็แบมือรอรดน้ำอย่างเดียว ทำอย่างอื่นไม่ได้แล้ว..!

    เรื่องบุญเรื่องกุศลเป็นเรื่องที่พวกเราต้องทำเอง ทำแทนกันไม่ได้ ทำให้ได้ แต่ทำแทนกันไม่ได้ คำว่าทำให้ได้นี่ก็คือ ตอนที่เราตายแล้วคนอื่นทำให้ แต่คราวนี้มีปัญหาที่ว่า อันดับแรก..เขาจะทำให้หรือเปล่า ? อันดับที่สอง..เขาทำถูกวิธีหรือเปล่า ?

    ถ้าไม่ได้ครูบาอาจารย์อย่างหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง มาบอกมากล่าวไว้ พวกเราก็ยังไม่รู้เลยว่าการถวายสังฆทานจำเป็นต้องมีอะไรบ้าง ? หลวงพ่อท่านบอกว่า ผีกี่ราย ๆ มาขอบุญให้ถวายสังฆทานให้

    อันดับแรก ต้องมีพระพุทธรูปอย่างน้อยหน้าตัก ๕ นิ้วขึ้นไป เพราะว่าจะทำให้มีรัศมีกายสว่างมาก เทวดา นางฟ้า พรหม ตลอดจนพระบนนิพพาน เขาวัดกันด้วยรัศมีกาย ใครมีศักดานุภาพมากกว่าก็มีรัศมีสว่างกว่า

    อันดับที่สอง ขอให้มีผ้าอย่างน้อยกว้างคืบยาวคืบ ผ้ากว้างคืบยาวคืบภาษาบาลีเขาเรียกว่าจีวร หรือถ้ามีสตางค์มากก็ซื้อสบงสักผืนก็ได้ ถ้ามีมากกว่านั้นก็ถวายผ้าไตรทั้งชุดไปเลย

    อันดับที่สาม ขออาหาร จะเป็นอาหารสดก็ได้ อาหารแห้งก็ได้ ขอให้เป็นอาหาร จะสด จะแห้ง จะน้ำ อะไรได้ทั้งหมด จะทำให้เขามีร่างกายเป็นทิพย์ ไม่ต้องเสียเวลากิน..ก็คืออิ่มบุญ
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    เขาขอหลัก ๆ แค่นี้แหละ แต่หลวงปู่มหาอำพัน ครูบาอาจารย์อีกรูปหนึ่งของอาตมภาพ ท่านไปอ่านในพระธรรมบท ที่ยักษ์ได้รับพรจากท้าวเวสสุวรรณ ให้เป็นใหญ่ใต้ต้นไทรต้นหนึ่ง คนหรือสัตว์ที่เข้าไปในร่มเงาของไทรต้นนั้น ยักษ์สามารถจับกินได้ อันนี้ไม่ใช่ท้าวเวสสุวรรณท่านให้พรส่งเดชนะ คนหรือสัตว์ที่วาระกรรมมาไม่ถึง ก็จะไม่เข้าไปที่ตรงนั้น

    ปรากฏว่าตรงนั้นเป็นทางผ่านระหว่างเมืองต่อเมือง พอยักษ์กินคนหนัก ๆ เข้า ก็ไม่มีใครเดินทางนั้น การค้าระหว่างเมืองก็สะดุดลง คนที่เดือดร้อนที่สุดคือพระเจ้าแผ่นดิน เพราะว่าเก็บภาษีการค้าระหว่างเมืองได้น้อยลง พระเจ้าแผ่นดินก็เลยประกาศหาคน ถ้าใครไปจัดการกับยักษ์ได้จะให้รางวัล

    พระโพธิสัตว์ท่านเป็นคนจน อยากได้รางวัลมาเลี้ยงดูแม่ที่แก่แล้ว ก็เลยไปอาสา เมื่อถูกถามว่า "จะเอาอาวุธอะไรบ้าง ?" พระโพธิสัตว์ตอบว่า "อาวุธไม่ต้อง ขอเพียงรองเท้าหนึ่งคู่ กับร่มหนึ่งคัน" แล้วก็ใส่รองเท้าอย่างเท่เลย กางร่มเดินออกไป ยักษ์ก็งง ระยะนี้ไม่มีใครมาเพราะเขารู้ข่าวกันหมด แต่ไอ้นี่ดันเดินดุ่ย ๆ มาเฉยเลย..!

    พอพระโพธิสัตว์ไปถึง
    ยักษ์ก็โผล่ออกมาตะคอกว่า "เจ้าเข้ามาอยู่ในร่มเงาต้นไทรนี้ อยู่ในอำนาจของข้าแล้ว ข้าจะกินเจ้า"
    พระโพธิสัตว์บอกว่า "แกไม่มีสิทธิ์กินข้าหรอก"
    ยักษ์ถามว่า "ทำไม ?"
    พระโพธิสัตว์บอกว่า "ข้าอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไทรที่ไหน ข้าถือร่มอยู่ อยู่ใต้เงาของร่มคันนี้"
    ยักษ์บอก "ถ้าแกเหยียบพื้นดินนี่อยู่ ข้าก็กินแกได้"
    พระโพธิสัตว์ก็บอกว่า "ข้าเหยียบอยู่บนรองเท้า"

    ยักษ์เห็นว่ามีปัญญาก็เลยยอม
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    พระโพธิสัตว์ถามยักษ์ว่า "อยากจะพ้นจากสภาพนี้ไหม ?"
    ยักษ์บอกว่า "ถ้าไปจากที่นี่ก็จะไม่มีอะไรกิน หรือถ้าหากว่าต้องไปไล่ล่าเองก็ลำบากมาก"
    พระโพธิสัตว์บอกว่า "ไม่ต้อง อยู่เฉย ๆ ก็มีคนเอามาให้กิน"

    ยักษ์ก็ตกลง พระโพธิสัตว์ก็เลยชวนยักษ์ไปเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน บอกพระเจ้าแผ่นดินว่า "ต้องการทหารเฝ้าปากทางเข้าเมืองไหม ? รับประกันได้ คนเดียวเท่านั้น แค่กินเยอะหน่อย แต่ว่าใช้การได้เหมือนทหารทั้งกองทัพเลย"

    พระเจ้าแผ่นดินก็ตกลง สั่งคนเอาเสบียงไปส่งให้ยักษ์ทุกวัน ก็แค่กินมากกว่าคนธรรมดา ๓-๔ เท่าเท่านั้น คราวนี้ข้าศึกเข้ามาไม่ได้ ไม่ว่าจะขี่ช้างขี่ม้าอะไรมา ยักษ์โผล่หน้าไปก็วิ่งกันป่าราบหมด กลายเป็นเมืองที่ไม่มีข้าศึก

    หลวงปู่มหาอำพันท่านติดใจตรงนี้ก็เลยถวายร่มกับรองเท้าไว้ในชุดสังฆทานด้วย

    สรุปว่าสังฆทานต้องมี
    อันดับแรก พระพุทธรูปหน้าตัก ๕ นิ้วขึ้นไป
    อันดับสอง ผ้ากว้างคืบยาวคืบขึ้นไป
    อันดับสาม อาหารสดหรือแห้งก็ได้
    ส่วนรองเท้ากับร่มไม่ต้องมีก็ได้ แต่หลวงปู่มหาอำพันท่านถือว่าเป็นสิ่งที่ช่วยให้ปลอดภัย ท่านก็เลยทำไปด้วย
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    เมื่อครู่พูดถึงว่า "ถ้าเราไม่ทำเอง แล้วคนอื่นจะทำให้ไหม ?"
    แล้ว "ถ้าเขาทำให้ จะทำถูกหรือเปล่า ?"
    ประการต่อไป "ทำให้ ทำถูก แล้วเราจะได้เมื่อไร ?"

    ถ้าเขาไม่อิทัง ปุญญะพลังฯ นี่เราอดเลยนะ ซื้อของไว้เต็มบ้านเต็มเมือง แต่ไม่ส่ง "เคอรี่" ให้ ไม่จ่าหน้าถึงเรา แล้วเราจะได้เมื่อไร ? เพราะบางคนทำแล้วอุทิศส่วนกุศลไม่เป็น

    แบบพระเจ้าพิมพิสาร ญาติที่เป็นเปรตมาตั้ง ๙๑ กัปต้องไปทวง ร้องกรี๊ด ๆ พระเจ้าพิมพิสารตกใจ จึงไปทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนให้ทำบุญแล้วต้องอุทิศส่วนกุศล ธรรมเนียมพราหมณ์ถึงเวลาจะให้อะไรใครก็เอาน้ำรดมือคนนั้น เป็นสัญญาณว่าฉันให้แกแล้ว คนที่โดนน้ำรดมือก็ยกเอาของอะไรที่เขาให้นั้นไปได้

    คราวนี้พอจะให้ส่วนกุศล ผีอยู่ไหนหว่า ? มือก็ไม่ยื่นมา จะเอาน้ำรดใคร ? พระเจ้าพิมพิสารก็เลยรดมือตัวเอง อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย ขอผลบุญนี้จงถึงแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอให้ญาติของข้าพเจ้าจงมีความสุข พวกเราก็ถือเป็นรูปแบบกรวดน้ำมาจนถึงทุกวันนี้ พอถึงเวลาก็เอาน้ำรดมือ ซึ่งไม่ต้องรดก็ได้

    เราจะอุทิศส่วนกุศลให้ใครไม่ต้องทำใหม่ด้วยนะ
    ที่นั่งอยู่ตรงนี้บุญล้นกันแล้วทั้งนั้น เพียงแต่ยังใช้บุญไม่เป็น ก็เลยยังไปนิพพานไม่ได้สักที

    เพราะฉะนั้น..จะอุทิศส่วนกุศลให้ใคร ตั้งใจไปเลยว่า "ผลบุญที่ข้าพเจ้าสร้างมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ จะเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนาก็ตาม ขอเธอ..เธอคือใคร ? ถ้าได้ยินแต่เสียงก็..ผู้เป็นเจ้าของเสียงนั้น ถ้าได้กลิ่นก็..ผู้เป็นเจ้าของกลิ่นนั้น ถ้าเห็นแต่เงาแว่บ ๆ ก็..เจ้าของเงานั้น แต่ถ้ารู้ชื่อรู้นามสกุล ก็ออกชื่อออกนามสกุลไปเลย ขอเธอจงโมทนา เราได้รับประโยชน์ความสุขเท่าไร ขอให้เธอได้รับด้วย ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เเถิด"

    คราวนี้รู้หรือยังว่ารอคนอื่นทำนั้นแย่แค่ไหน ? ทำให้หรือเปล่า ? ทำถูกหรือเปล่า ? ทำถูกแล้วอนุญาตให้เรารับหรือเปล่า ? ดังนั้น..จงทำเองเถอะ
     
  8. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    การทำบุญของเรา
    ทาน อานิสงส์ทำให้เกิดกี่ชาติก็จะสมบูรณ์พูนสุข มีโภคทรัพย์มาก
    รักษาศีล เกิดมามีรูปสวย มีจิตใจดีงาม มีชื่อเสียงเกียรติคุณ เป็นที่เคารพนับถือของคนอื่น
    เจริญภาวนา จะเป็นผู้มีปัญญามาก

    อานิสงส์ไปคนละทิศคนละทางเลย ก็แปลว่าเราควรที่จะทำทั้งสามอย่าง มีโอกาสให้ทานเราให้ มีโอกาสรักษาศีลเรารีบรักษา มีโอกาสภาวนาเรารีบปฏิบัติ ถ้าอย่างนี้ถือว่าประกันความเสี่ยง เพราะว่าหนทางในวัฏสงสารนี้ยาวไกลจนไม่เห็นต้นไม่เห็นปลาย

    หลวงปู่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (ญาโณทยมหาเถร) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ท่านกล่าวเอาไว้ว่า "บุญเป็นเรื่องสำคัญมาก ตราบใดที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ตราบนั้นเราต้องเร่งสร้างบุญให้มาก เพราะว่าบุญส่งผลให้ดีในส่วนเดียวเท่านั้น"

    ทำดีได้รับผลดีแน่นอน เพียงแต่ของเรานั้นดีไม่ทั่วแถมยังชั่วไม่หมด ก็เลยดีบ้างชั่วบ้างอย่างทุกวันนี้ เพราะว่าบุญบาปจะมาสนองกันตามวาระที่เราทำ มาตามเวลาบ้าง มาตามความหนักเบาบ้าง มาแบบยักย้ายถ่ายเทบ้าง มีอย่างเดียวที่ไม่ให้ผลเลยก็คืออโหสิกรรม จบแล้วจบเลย
     
  9. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    พวกเรามานั่งอยู่ตรงนี้ก็เป็นการสร้างสมบุญกุศลให้ตัวเอง โดยเฉพาะการเปิดดวงตาคือปัญญา ให้รู้หลักการวิธีการว่า เราจะต้องดำเนินชีวิตอย่างไรให้อยู่ในโลกนี้แบบไม่ลำบากมากนัก แล้วขณะเดียวกันให้หนทางในวัฏสงสารของเรารวบรัดตัดสั้นที่สุด พ้นทุกข์ชาตินี้ได้เลยยิ่งดี เป้าหมายมีแค่นี้เอง ทำงานกันแทบเป็นแทบตาย..อย่าผิดเป้าหมายนะ ผิดเป้าหมายตรงไหนต้องถามสุนทรภู่ สุนทรภู่บอกว่า

    อันตัณหาราคะนั้นสาหัส
    ถ้าใครตัดเสียได้ฉันให้ถอง
    อุตส่าห์เรียนวิชาหาเงินทอง
    ก็เพราะของสิ่งเดียวมันเกี่ยวกวน


    มาใกล้ ๆ ตอนนี้สิ อาตมาจะถองให้ดู ก็บอกว่าใครตัดได้จะให้ถอง ก็ดันไปเจอแต่คนที่ตัดไม่ได้

    ทุกวันนี้ที่เราทำงาน จริง ๆ แล้วเป็นการสร้าง มีแต่เพิ่ม ไม่ได้ลด สร้างภาระในการแบกทุกข์หาบทุกข์ของเรา ขันธ์ ๕ คือร่างกายนี้ก็ทุกข์จะแย่อยู่แล้ว ยังไปเอาขันธ์ ๑๐ มาไว้ข้างตัว แถมกรนเสียงดังอีก..! แล้วมีไอ้ตัวเล็ก ๆ มาเป็นขันธ์ ๑๕ ขันธ์ ๒๐ โอ๊ย..ทุกข์อย่าบอกใครเลย..!

    เห็นลูกคนอื่นเขาน่ารักทุกคน เป็นเทวดาตัวจ้อย นางฟ้าจิ๋ว เห็นแล้วอยากจะอุ้มอยากจะชู เลี้ยงเองเมื่อไรนรกชัด ๆ..! ทำไมอาตมาถึงรู้ ? อาตมามีพี่ ๘ คน เขาเอาหลานมาให้เลี้ยง ๓๒ คน..! คนจีนเขานิยมลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง อาตมาเลี้ยงหลานจนเข็ด จนต้องหนีมาบวชอยู่นี่แหละ..! ใครจะเลียนแบบก็ลองไปเลี้ยงหลาน ๓๒ คนดู ตกนรกทุกวันเลย..! พอแล้ว..โม้มากไม่ดี เห็นทุกข์เห็นโทษแล้วก็เร่งปฏิบัติธรรมหนีกันด่วน ๆ เลย
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...