ปกิณกธรรมก่อนทำวัตรเย็น วันอาทิตย์ที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 30 สิงหาคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    ก่อนทำวัตรเย็น วันอาทิตย์ที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๖



    ความเคยชินคือการยึดติดในรูปแบบหนึ่ง ฟังแล้วน่าตกใจไหม ? ทางด้านจิตวิทยาเขาบอกว่า ถ้าเราทำอะไรซ้ำ ๆ กันถึงสามวัน จะทำให้เราเริ่มเกิดความเคยชิน

    ในการปฏิบัติธรรมนั้น ความเคยชินหมายถึงการทรงฌานได้ เขาถึงให้พวกเราสวดมนต์บ่อย ๆ ไหว้พระบ่อย ๆ ทำบุญใส่บาตรบ่อย ๆ พอถึงเวลาเคยชินแล้วไม่ได้ทำ จะรู้สึกผิดปกติจนระลึกถึงขึ้นมาได้เอง นับว่าเราทรงฌานในเรื่องนั้นแล้ว อย่างเช่นว่าทรงฌานในการรักษาศีล ทรงฌานในการให้ทาน

    แต่ความเคยชินอย่างเรื่องของถิ่นที่อยู่ หรือว่าบรรดาวัตถุสิ่งของต่าง ๆ เป็นความเคยชินที่ทำให้เรายึดติด อย่างแค่อาสนะที่เรานั่งอยู่นี้ พอถึงเวลาตอนเช้าเรานั่งตรงนี้ ตอนบ่ายมีคนนั่งแทน เราจะรู้สึกว่าคนนั้นนั่งที่ของกู นี่คือความเคยชินที่เป็นการยึดติด..!

    การยึดติดเป็นเรื่องที่อันตรายสำหรับนักปฏิบัติ เพราะว่าถ้าเป็นนักปฏิบัติธรรมแล้ว ยึดติดมากเท่าไร โอกาสหลุดพ้นก็น้อยลงเท่านั้น เหมือนแมลงติดใยแมงมุม เส้นสองเส้นยังพอมีหวังว่าจะดิ้นหลุดไปได้ แต่ถ้าติดทีทั้งกระจุกเลยก็จบ เสียชาติเกิดไปฟรี ๆ..!

    ดังนั้น..ในเรื่องของความเคยชิน เราต้องมีปัญญารู้จักสังเกตว่า อย่างไรเป็นความเคยชินในด้านดี อย่างเช่นว่ามีอนุสติระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นต้น อย่างไรเป็นความเคยชินในด้านที่ไม่ดี เช่น การยึดติดใน คน สัตว์ วัตถุสิ่งของ
    หลายต่อหลายคนเลี้ยงหมาก็ติดหมา เลี้ยงแมวก็ติดแมว เลี้ยงคนก็ติดคน โน่นก็ผัวกู นี่ก็เมียกู นั่นก็ลูกกู โน่นก็หลานกู ความยึดติดเหล่านี้จะส่งผลร้ายตอนก่อนเราจะหมดลมหายใจ ยิ่งยึดติดมากเท่าไร ห่วงพะวงก็จะมีมากเท่านั้น โอกาสจะไปสู่ภพภูมิที่ดีก็ยากมาก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    เราจึงต้องมีสติอยู่เสมอ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีสถานภาพใดกับเราก็ตาม เราต้องระลึกอยู่เสมอว่าต่างคนต่างตาย ถึงเวลาก็ต้องแยกจากกันไป ไม่จากเป็นก็จากตาย ต้องพยายามซักซ้อมตัดละอยู่เสมอ ๆ

    ยิ่งตอนเจ็บไข้ได้ป่วยยิ่งดีใหญ่เลย ถามตัวเราว่า "ถ้าเราตายลงไปตอนนี้ คนที่เรารักมีไหม ? ของที่เรารักมีไหม ? ทรัพย์สมบัติที่เราห่วงใยมีไหม ?" ต้องตอบกันว่ามีแน่นอน แต่เราพร้อมที่จะละทิ้งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไปหรือยัง ?

    ขอให้เป็นคำตอบจากใจจริง ๆ เลยนะ ไม่ใช่ตอบว่าพร้อมเพราะรู้ว่าเป็นคำตอบที่ถูก กำลังใจของเราจะบอกเราเองว่าเราพร้อมหรือไม่พร้อม ไม่ใช่ตอบว่าพร้อมเพราะรู้ว่านี่เป็นคำตอบที่ถูก แต่ใจเรายังยึดอยู่ร้อยเปอร์เซ็นต์..แบบนั้นก็จบกัน..!

    เรื่องพวกนี้จึงเป็นเรื่องที่เราต้องซักซ้อมอยู่บ่อย ๆ ทุกวัน ๆ สมมติว่าเราจะตาย ตายแล้วเรายังมีอะไรยึดติดห่วงหาอาลัยอยู่หรือไม่ ? เราพร้อมที่จะตายหรือยัง ?

    ถ้าขาดการซักซ้อมเหล่านี้ สภาพจิตไม่เคยชินกับการละห่วง ถึงเวลาก็ยึดติด เลี้ยงหมาติดหมาก็ไปเกิดเป็นลูกหมา เลี้ยงลูกเลี้ยงหลานยึดติดลูกหลานก็ไปเกิดเป็นลูกของลูกหลานอีกที เกิดมาแล้วไม่ยอมเรียกแม่ "ก็กูเป็นแม่..กูไม่ใช่ลูก..!" ยังไปยึดสัญญาเก่าอยู่ เรื่องพวกนี้มีปรากฏให้เห็นอยู่บ่อย ๆ

    แต่ก็ต้องบอกว่าเกิดเป็นคนนี่ถือว่าดีมากแล้ว เพราะส่วนใหญ่กำลังใจของเราจะเกาะในกรรมชั่วมากกว่ากรรมดี ก็แปลว่าเรามีโอกาสลงสู่ทุคติ ไปเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน มีมากกว่าไปสุคติหลายเท่า

    ถ้าถามว่า "มากกว่าขนาดไหน ?" พระพุทธเจ้าทรงเปรียบไว้ว่า "บุคคลผู้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมหวังความหลุดพ้น มีสุคติเป็นที่ไป เปรียบเหมือนเขาวัว ส่วนบุคคลที่ปฏิบัติธรรมหวังความหลุดพ้น มีทุคติเป็นที่ไป เปรียบเหมือนกับขนวัว..!"

    วัวตัวหนึ่งมีเขากี่อัน ? สองอันหรือคู่เดียว แล้วมีขนกี่เส้น ? เต็มตัวก็เป็นหมื่นเป็นแสน ก็แปลว่าคนลงข้างล่างมากกว่าขึ้นข้างบน ในเมื่อลงข้างล่างมากกว่าข้างบน ถ้าเราลงไปก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ถ้าหากว่าไม่ยอมลงนับว่าแปลกแยกจากสังคม ถ้าอย่างนั้นเรายอมแปลกแยกจากสังคมก็แล้วกัน ถ้าไม่ยอมแปลกแยกจากสังคมก็มีสิทธิ์ที่จะลงตรงไปข้างล่างเลย..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    คำว่า ซำเหมา มีที่มาจากการ์ตูนเรื่องซำเหมาพเนจร ซำเหมาเป็นเด็กมีหัวจุก ๓ อัน เป็นเด็กเร่ร่อนฐานะยากจน เพราะฉะนั้น..อะไรที่อยู่ในลักษณะที่ดูแล้วไม่ดี Low Class ไม่มีเกรด ไม่มีแบรนด์ เขาเลยเรียกว่าซำเหมา ของพวกนี้บางทีพวกเราเกิดไม่ทัน บางคนเกิดทันก็จำไม่ได้ว่ามีที่มาอย่างไร ว่าทำไมคนลำบากยากจนไปเรียกว่าซำเหมา ?

    บ้านเราเมืองเราบ้าละครกันเยอะ สมัย "ออเจ้า" ไม่ได้บ้าแค่บ้านเรา ลาว เขมรก็บ้าด้วย สองประเทศนั้นฟังภาษาไทยออก

    ภาษาไทยมากต่อมากด้วยกันมีรากศัพท์มาจากภาษาเขมร ตอนอาตมภาพไปประเทศเขมร ด้วยความที่เขียนอักขระเลขยันต์ขอมบ่อย ๆ ก็อ่านภาษาเขาออก บางอย่างอ่านไปก็หัวเราะไป อย่างเช่นว่าเข้าไปร้านอาหาร ป้ายภาษาอังกฤษเขียน Open 6.00 AM ภาษาเขมรเขียนว่า "เบิกโรง" ซึ่งแปลว่าเปิดร้าน

    นั่งเครื่องบินไปลงท่าอากาศยานนานาชาติเสียมเรียบ เสียมเรียบแปลว่าสยามแพ้ คนไทยก็เลยเรียกว่าเสียมราฐ ที่แปลว่ารัฐของสยาม ทะเลาะกันแค่คำเดียว""! ภาษาอังกฤษก็คือ Siem Reap International Airport ภาษาเขมรเขียนว่าอากาศยานฐานอันตรชาติ อากาศยานฐานคือสนามบิน อันตร แปลว่า ในระหว่าง อันตรชาติก็ International

    อาตมภาพไปประเทศเขมรแล้วอ่านภาษาเขาออก ไปพม่ามองไปมองมาก็ดันอ่านภาษาพม่าได้อีก""! ภาษาพม่าก็คือภาษาเขมรนั่นแหละ แต่ตัดหางทิ้ง ไม่มีหาง เรามีพื้นฐานขอมอยู่แล้ว ก็เลยอ่านพม่าออกไปด้วย

    เขมรเป็นเด็กมีปมด้อย เขาถือว่าเขาเป็นมหาอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่มาก่อน เคยครองอุษาคเนย์ ตอนอาตมาภาพไปเขมร มีไกด์ชื่อนายแสง สาคร ความจริงนั่นไม่ใช่นามสกุลนะ นั่นคือชื่อ ชื่อนายสาคร ส่วนคำนำหน้าเป็นชื่อพ่อ ก็คือนายสาครลูกนายแสง เขมรไม่มีนามสกุลแบบบ้านเรา ก็แบบฮุนเซน ความจริงเขาชื่อฮุน ฤทธิเสน ซึ่งก็คือนายฤทธิเสนลูกนายฮุน
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    นายแสง สาคร เล่าประวัตินครวัด พุทธศักราชเท่านั้น พุทธศักราชเท่านี้ แล้วก็พูดด้วยความภูมิใจว่าตอนนั้นยังไม่มีประเทศไทยเลย..! อาตมภาพก็เกรงใจ ไม่อย่างนั้นจะสวนกลับไปว่า ตอนนั้นก็ไม่มีกัมปูเจียเหมือนกัน..!

    บ้านเราเรียกกัมพูชา เขมรออกเสียงกัมปูเจีย แต่ถ้าหากว่าชาวบ้านทั่วไปเขาออกเสียงว่ากัมโป๊ด ก็คือกัมโพช (ออกเสียงกัม-โพ-ชะ) แคว้นกัมโพชในสมัยพุทธกาล ส่วนแคว้นเวสาลีอยู่ที่พม่า ทุกวันนี้เขาเรียกว่าแวสะลิ แวสะลิก็คือนาข้าวสาลี ส่วนโกสัมพีอยู่กำแพงเพชรของเรา..รู้มากไม่ดีหรอก..บ้า..!

    กาลเวลาผ่านไป ภูมิประเทศและผู้คนเปลี่ยนหมด คนเคยยิ่งใหญ่ก็ตกต่ำ คนเคยตกต่ำก็ยิ่งใหญ่ สลับผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป แต่กัมพูชาเป็นเด็กมีปมด้อย เด็กมีปัญหา ไม่ค่อยยอมรับอะไร เขาบอกอยู่อย่างเดียวว่าให้ไปดูที่กำแพงนครวัด ถ้ากำแพงนครวัดมีอยู่ก็แปลว่าเป็นของกัมพูชา ช่วงที่ผ่านมาก็มี "ดราม่า" มวยไทยที่เขาบอกว่ามาจากกุนขแมร์ ขแมร์ก็คือเขมร

    เขมรมีสถานที่หนึ่งที่น่าไปมาก คือ เขาพนมกุเลน ถ้าใครมีโอกาสต้องไปให้ได้ ถ้ามีโอกาสไปนั่งสมาธิที่นั่นได้ยิ่งดีเลย พลังงานสูงมาก มิน่าว่า..สมัยก่อนพระธุดงค์ไทยพอข้ามพนมดงเร็ก ที่คนไทยเรียกว่าพนมดงรัก ภาษาเขมรเรียกพนมดงเร็ก พนมคือภูเขา ดงเร็กคือไม้คาน เขาไม้คาน ลักษณะเทือกเขาเหมือนกับไม้คานหาบของ พระธุดงค์ข้ามไปได้ก็จะพยายามที่จะลงไปพนมกุเลนให้ได้ เพื่อที่จะไปไหว้พระที่นั่น มีการแกะสลักยอดเขาทั้งยอดเป็นองค์พระเลย เสร็จแล้วก็สร้างวิหารครอบยอดเขาไว้ จนกลายเป็นวิหารพระนอนอยู่บนยอดเขา

    ไปที่โน่นให้นึกถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ นะ ท่านเป็นเจ้าพ่ออยู่แถวนั้น แต่ลูกน้องแสบมาก ตอนที่ไปเจ้าพ่อไม่ค่อยมีเวลาเลยให้ลูกน้องมาแทน ลูกน้องแต่ละรายนี่ ถ้าจับไม่ได้ไล่ไม่ทันนี่โดนต้มซึ่ง ๆ หน้าเลยนะ..!

    พรหมเทวดาส่วนใหญ่บอกอย่างไรก็อย่างนั้น สมัยที่อาตมภาพอยู่ที่เกาะพระฤๅษี คราวนั้นมาจัดงานที่วัดท่าขนุน ก็ขอให้อากาศไม่ร้อน ขอให้ฝนไม่ตก ปรากฏว่าวัดท่าขนุนที่จัดงานแดดเปรี้ยง ร้อนหัวแทบละลาย แต่ที่เกาะพระฤๅษีมืดครึ้มเย็นสบาย คือดันลืมบอกพรหมเทวดาไปว่าขอให้ที่ไหน เห็นหรือยังว่าของเขาตรงไปตรงมาแบบกวนมากเลย..!

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม เฉลิมพระชนมพรรษา ๒๕๖๖ ณ วัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๒๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ - วันจันทร์ที่ ๓๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทะเล)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...