บทความให้กำลังใจ(เรือเปล่า)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,096
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,044
    (ต่อ)

    อันนี้เป็นด้านกลับของมานะ คือเมื่อมีมานะมากๆ คุณก็จะใส่ใจกับสายตาของผู้คนมาก ซึ่งทำให้คุณกลัวความล้มเหลว กลัวความผิดพลาด และถ้าคุณยิ่งกลัว ประการแรก มันทำให้คุณทำงานอย่างมีความทุกข์ ประการที่สอง ทำให้คุณทำงานไม่สำเร็จอย่างที่กลัวจริงๆ หรือผลงานออกมาไม่ดีเท่าที่ควร ต่างจากคนที่ไม่กลัวความล้มเหลว ไม่แคร์ว่าคนอื่นเขาจะว่าอย่างไร ฉันจะทำให้เต็มที่ คนที่คิดแบบนี้มักจะทำงานได้ดี อันนี้ต่างจากความเห็นของชาวตะวันตกที่ว่า ทำอย่างไรก็ได้ให้มีอีโก้เยอะๆ ต้องมีมานะเป็นแรงขับเคลื่อน จึงจะทำงานสำเร็จได้ แต่ว่าในความเป็นจริงเราก็จะเห็นว่า ถ้าการทำงานมีอัตตา มีมานะเข้ามาผลักดัน นอกจากจะให้เราเป็นทุกข์แล้ว ยังทำให้งานไม่สำเร็จด้วย


    โทษอีกประการหนึ่งของมานะ คือทำให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะมานะทำให้อยากได้รับความสำคัญจากคนอื่น อยากให้ตัวกูได้รับการพะเน้าพะนอหรือตามใจ แต่เมื่อตัวกูไม่ได้รับการตอบสนอง ไม่ว่าจะเป็นลูก หรือสามีภรรยา พอถูกพ่อแม่หรือคนรักตำหนิ ไม่ตามใจ หรือไม่ให้ความสำคัญ ก็เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมา นี่เป็นด้านกลับของตัวมานะ เพราะว่ายิ่งอยากได้รับคำสรรเสริญชื่นชม อยากได้รับความสำคัญ แต่พอไม่ได้ บวกก็กลายเป็นลบทันที ความน้อยเนื้อต่ำใจจนเกิดการฆ่าตัวตายก็เพราะตัวมานะนี่แหละ

    ท่านอาจารย์พุทธทาสท่านใช้คำว่า “ปมเขื่อง” ฝรั่งรู้จักแต่คำว่า ปมด้อย แต่ท่านอาจารย์พุทธทาสบอกว่าปัญหาที่แท้จริงคือ ปมเขื่อง นั่นคือความต้องชูตัวตนให้สูงเด่น แต่พอไม่ได้รับการตอบสนองมันก็จะเหวี่ยงกลับ เหมือนกับรักเขามากแต่พอไม่ได้รับการตอบสนองก็กลายเป็นโกรธแล้วก็เกลียดตามมา เพราะรักกับโกรธหรือเกลียดนี้มันใกล้กันมากเลย มันเป็นด้านกลับของกันและกัน ปมเขื่องกับปมด้อยก็เช่นกัน เป็นด้านกลับของกันและกัน ความต้องการเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นชม เป็นคนสำคัญ แต่พอไม่ได้รับความใส่ใจ ไม่ได้รับการตอบสนอง มันเกิดความไม่พอใจ รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมา แล้วก็เกิดการทำร้ายตัวเอง

    นอกจากมานะจะทำให้เรากลัวความล้มเหลว กลัวถูกตำหนิ กลัวถูกวิจารณ์ กลัวไม่ได้รับคำชม สุดท้ายมันยังทำให้เรากลัวตายด้วย เราคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “รักตัวกลัวตาย” นั่นคือ เพราะรักตัวจึงกลัวตาย ลึก ๆ แล้วคนเราทุกคนล้วนรักตัว หวงแหนตัวตน มานะในด้านหนึ่งก็หมายถึงการหวงแหนตัวตน หวงแหนตัวกู เพราะฉะนั้นจึงทำให้กลัวตายมาก สังคมหรือวัฒนธรรมที่กระตุ้นให้คนเกิดมานะเยอะๆ เช่น สังคมตะวันตก หรือสังคมสมัยใหม่ ผู้คนจะรู้สึกกลัวตายมาก คนที่มีมานะเบาบาง ปล่อยวางตัวตนได้ จะสามารถยอมรับความตายได้ง่ายกว่า

    ฉะนั้นการพยายามกระตุ้นให้คนเกิดมานะมากๆ นั้นไม่เพียงแต่จะทำให้คนเรามีความทุกข์ขณะที่มีชีวิต และในเวลาทำงานเท่านั้น แม้แต่เวลาตายก็ตายไม่มีความสุข โดยเฉพาะเมื่อคุณพบว่า เวลาล้มป่วยคุณทำอะไรไม่ได้เลย แต่ก่อนเคยบังคับบัญชา สั่งการทุกอย่างได้ แต่พอล้มป่วยแล้วก็อยู่ในสภาพที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แม้แต่จะบังคับบัญชาร่างกายก็ทำไม่ได้ ในสภาพเช่นนี้คนที่มีอัตตาสูงจะทุกข์ทรมานมาก คนเก่งจำนวนมาก เมื่อถึงเวลาป่วย นอนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อยู่บนเตียง อยู่ในโรงพยาบาล เขาจะรู้สึกอึดอัดมาก และจะพยายามแสดงอำนาจโดยการสั่งคนนั้นคนนี้โดยเฉพาะพยาบาลอยู่ตลอดเวลา เพราะชีวิตของเขาเคยสั่งได้ตลอด เมื่อมานอนป่วยก็ทำใจไม่ได้ที่ไม่สามารถทำอะไรได้เหมือนเดิม ก็ยิ่งโกรธและแสดงออกด้วยการใช้อำนาจกับหมอ กับพยาบาล ใช้อำนาจกับคนเฝ้า พยาบาลหลายคนเล่าว่า ถ้าเจอคนไข้ที่มีตำแหน่งสูงๆ จะเจอปัญหาแบบนี้มาก เพราะเขาเคยชินกับการใช้อำนาจ คุ้นเคยกับการสั่งคนนั้นคนนี้ตลอดเวลา แต่สิ่งที่เขาลืมไปก็คือ การยอมรับความจริงว่าถึงที่สุดแล้ว เราก็ควบคุมอะไรไม่ได้เลยแม้กระทั่งกับร่างกายตัวเราเอง

    คนเก่งๆ คนที่ประสบความสำเร็จในการทำงานโดยเฉพาะคนที่เป็นผู้นำ ผู้บริหาร มักมีมานะหรืออัตตาสูงตามไปด้วย เมื่อถึงเวลาป่วยก็จะป่วยอย่างทุกข์ทรมานมาก เวลาใกล้ตายก็จะขัดขืนต่อสู้กับความตาย จึงมักทุกข์ทรมานมากกว่าคนทั่วๆ ไป ชาวบ้านส่วนมาก เขาทำใจได้มากกว่า เพราะตลอดชีวิตเขาต้องทำใจมาตลอด ทำใจกับดินฟ้าอากาศ ทำใจกับสิ่งที่ไม่สมหวัง เจอตำรวจหรือข้าราชการ ก็ต้องยอม ดังนั้นพอถึงเวลาจะตายก็ไม่ดิ้นรนขัดขืน ต่างจากคนที่มีมานะมากๆ ประสบความสำเร็จมากๆ ใช้อำนาจสั่งการผู้คนตลอดเวลา ถึงตอนที่ทำอะไรไม่ได้ จะรู้สึกอึดอัด กระสับกระส่าย ทุรนทุราย
    :- https://visalo.org/article/suksala14.htm

     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,096
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,044
    รู้ทันเจ้าตัวร้าย (๓):
    ใช้เจ้าตัวร้ายให้เป็นประโยชน์

    พระไพศาล วิสาโล
    พวกเราคงคุ้นกับคำ ๆ หนึ่งคือ ตัณหา ซึ่งหมายถึงความอยากได้อยากมีวัตถุ ตัณหานี้เป็นกิเลสอย่างหนึ่ง ขึ้นชื่อว่ากิเลสก็ย่อมไม่ดีทั้งนั้น แต่คนเราก็จำเป็นต้องมีทรัพย์สมบัติ เพราะถ้าเราไม่มีทรัพย์สมบัติ เราก็เลี้ยงตัวได้ยาก ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ กามก็เช่นกัน แม้จะมีโทษ แต่ก็มีประโยชน์เหมือนกัน พระพุทธเจ้าเปรียบว่ากามนั้นเหมือนกับคบไฟที่ทำด้วยหญ้าแห้ง เมื่อจุดไฟมันก็ให้แสงสว่าง แต่ในเวลาเดียวกันก็มีควันคลุ้งทำให้เคืองตา และหากจุดแล้วไม่ยอมปล่อย ไฟนั้นก็จะไหม้ลามมือ คือมันมีทั้งคุณและโทษ แต่ถ้าเรายึดติดถือมั่นเมื่อไหร่ มันก็กลายเป็นโทษมากขึ้นเรื่อยๆ

    ทางออกจึงไม่ใช่ปฏิเสธมันแต่ใช้ให้เป็น ใช้ทรัพย์สมบัติ ใช้กามสุข โดยไม่ยึดติดมัน พุทธศาสนาไม่ได้ปฏิเสธเรื่องความสุขทางวัตถุ แต่สอนว่าให้รู้จักใช้ เพื่อประโยชน์ตน เพื่อประโยชน์ท่าน ที่อาตมาว่าไม่ยึดติด ไม่ได้หมายความว่าทิ้งเลย มานะก็เช่นกัน ตราบใดที่เรายังลดละไม่ได้ เราก็ต้องใช้ให้เป็น ใช้อย่างรู้เท่าทัน คนสมัยก่อนใช้มานะเพื่อกระตุ้นให้เกิดความพยายาม ในเมื่อเขาทำได้เราก็ต้องทำได้สิ ความรู้สึกแบบนี้คือมานะ ซึ่งนำไปใช้ในทางที่ดีก็ได้

    คนที่ล้มเหลว รู้สึกแย่กับตัวเอง ถ้าเราชี้ให้เห็นว่า คุณมีคุณค่า มีความดีหลายอย่างที่คุณควรภาคภูมิใจ คุณอาจจะตกงานแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นคนที่ล้มเหลวในชีวิต คุณอาจจะเป็นพ่อที่ดี เป็นแม่ที่ดี เป็นสามีภรรยาที่ดี คุณเป็นคนเก่ง มีความสามารถ ถ้าสู้อีกสักนิด ก็จะได้รับความสำเร็จ การชี้แนะแบบนี้ทำให้เขาเกิดความรู้สึกภูมิใจในตัวเองขึ้นมา รวมทั้งเกิดกำลังใจ ทำให้เขาฟันฝ่าอุปสรรคในชีวิตได้ สามารถทนภาวะตกงานได้ ไม่ฆ่าตัวตาย นี่คือการเอามานะมาใช้ให้เกิดประโยชน์ จากความรู้สึกแย่กับตัวเอง ไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง ก็ทำให้เขามีความรู้สึกดีกับตัวเองขึ้นมา

    บางครั้งมานะก็นำมาใช้ให้คนหลุดพ้นจากกิเลสได้ ไม่ใช่เพียงมีชีวิตอยู่ในโลกอย่างไม่ทุกข์ระทมเท่านั้น มีตัวอย่างเช่นพระนันทะ ท่านเป็นญาติผู้ใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้า คราวหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จมาที่กรุงกบิลพัสตร์ กำลังมีงานแต่งงานระหว่าง พระนันทะกับนางชนบทกัลยาณี พอเลี้ยงพระเสร็จ พระพุทธเจ้าท่านให้พระนันทะถือบาตรตามไปส่งที่วัด พอตามไปส่งถึงวัดแล้วพระนันทะกำลังจะกลับ พระพุทธเจ้าตรัสถามท่านว่า จะมาบวชหรือ พระนันทะไม่กล้าปฏิเสธ ก็เลยยอมบวช บวชแล้วก็ไม่มีความสุขเพราะคิดถึงคู่หมั้นซึ่งสวยมาก พระพุทธเจ้าจึงบันดาลนิมิตให้พระนันทะเห็นนางอัปสรซึ่งสวยงามมากกว่านางชนบทกัลยาณี พระพุทธเจ้าถามว่าอยากได้นางอัปสรไหม พระนันทะบอกว่าอยากได้ พระพุทธเจ้าบอกว่าถ้าอยากได้ก็ต้องปฏิบัติ พระนันทะปฏิบัติเพราะอยากได้นางอัปสร ลืมคนรัก นี่คือตัณหา ปฏิบัติเพราะตัณหา พอปฏิบัติไปเรื่อยๆ ก็มีทุกข์ขึ้นมา เพราะเพื่อนพระล้อว่า มาปฏิบัติก็เพราะอยากได้นางอัปสรบ้าง ถูกพระพุทธเจ้าจ้างมาบ้าง ถ้าเราถูกวิจารณ์อย่างนี้ เราจะทำอย่างไร บางคนอาจจะบอกว่า ถ้าเช่นนั้นฉันไม่เอาแล้ว สึกกลับบ้านดีกว่า แต่คนที่มีขัตติยะมานะไม่ทำเช่นนั้น ขัตติยะมานะทำให้พระนันทะรู้สึกเสียหน้าก็จริง แต่ก็ต้องการลบคำสบประมาท จึงตั้งใจปฏิบัติอย่างจริงจัง คราวนี้ไม่สนใจนางอัปสรแล้ว อันนี้คือมานะ เพราะถูกคนต่อว่า รู้สึกเสียศักดิ์ศรี จึงต้องการพิสูจน์ตัวเอง ปรากฏว่าท่านเพียรปฏิบัติจนกระทั่งบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในเวลาไม่นาน

    มานะนั้นถ้านำมาใช้ให้เป็น ก็สามารถเป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดความเพียรในการทำความดี จนกระทั่งหลุดพ้นจากกิเลสหยาบๆ ไปสู่ความหลุดพ้นจากกองทุกข์ได้เหมือนกัน ในทำนองเดียวกัน ตัณหาก็สามารถนำมาใช้ในการปฏิบัติธรรมได้ สมัยพุทธกาลมียาจกเข็ญใจคนหนึ่งมาบวชเพราะเห็นว่าเป็นพระแล้วสบาย ไม่ต้องไปขอทาน เมื่อมาบวชแล้วก็ยังเสียดายเสื้อผ้า จึงเอาเสื้อผ้าไปเก็บไว้ในป่า พอบวชได้ซักระยะหนึ่งก็รู้สึกว่า การเป็นพระนั้นลำบาก มีสิกขาบทมากมาย ทำให้ยุ่งยาก อยากสึกขึ้นมา จึงเข้าไปป่าเพื่อจะไปเอาเสื้อผ้าที่เคยเก็บไว้มาใส่ แต่พอเห็นเสื้อผ้าขาดปุปะก็ทำให้นึกได้ถึงชีวิตที่ลำบากสมัยเป็นฆราวาส ก็เลยเปลี่ยนใจ หันมาบวชต่อ ทำอย่างนี้อยู่หลายครั้ง เวลาท่านเข้าป่าแล้วกลับออกมา เพื่อนก็ถามว่าไปไหน ท่านตอบว่าไปหาอาจารย์ จนต่อๆ มาท่านเจริญก้าวหน้าในธรรมอย่างมากจนกระทั่งหลุดพ้น หลังจากท่านบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านก็ไม่เคยเข้าไปในป่าอีกเลย เพื่อนก็ถามว่า เดี๋ยวนี้ท่านไม่ไปหาอาจารย์อีกแล้วหรือ ท่านก็ตอบว่าเดี๋ยวนี้ไม่ต้องพึ่งอาจารย์แล้ว คนก็คิดว่าท่านอวดอุตริมนุสธรรม จึงไปฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระรูปนี้ท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว

    การที่มาบวชเพราะว่าอยากสบาย และไม่กล้าสึกเพราะกลัวลำบาก อันนี้ก็คือตัณหานั่นเอง แต่ในกรณีนี้ ตัณหากลายเป็นของดี เพราะทำให้ท่านได้พบพระธรรมจนพ้นทุกข์ได้ เพราะกิเลสถ้าเราใช้ให้เป็นก็จะสามารถทำให้ชีวิตเจริญก้าวหน้าได้ หรืออย่างน้อยก็ดูแลให้มันอยู่ในกรอบ ไม่ทำให้เราผิดศีลหรือเบียดเบียนใคร ขณะเดียวกันก็พยายามเอากุศลธรรมตัวอื่นเข้ามาเสริม จนกระทั่งกลายเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อน กุศลธรรมได้แก่ เมตตา กรุณา เช่นเราทำอะไรก็ด้วยความปรารถนาดีต่อผู้อื่น หรือเพราะนึกถึงประโยชน์ของส่วนรวม อย่าใช้อัตตาหรือตัวตนเป็นตัวขับเคลื่อนอย่างเดียว
    :- https://visalo.org/article/suksala15.htm


     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,096
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,044
    เป็นสุขท่ามกลางความทุกข์
    พระไพศาล วิสาโล
    คนเรามักอยู่ด้วยความรู้สึก คือปล่อยให้ความชอบ-ไม่ชอบมาเป็นตัวกำหนดชีวิตของตน โดยที่ความชอบ-ไม่ชอบนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่ามันให้ความสุขและสะดวกสบายแก่ตนหรือไม่ อะไรก็ตามที่ให้ความสะดวกสบายหรือความสุขแก่ตน ก็อยากได้อยากหามาครอบครอง ส่วนมันจะเป็นประโยชน์หรือเป็นสิ่งถูกต้องหรือไม่ ไม่สนใจ ในทางตรงข้าม อะไรก็ตามที่ทำให้ตนสะดวกสบายน้อยลงหรือเกิดความยากลำบาก ก็อยากผลักไสออกไป ไม่อยากเกี่ยวข้องด้วย แม้มันจะมีประโยชน์ก็ตาม เด็กจึงเลือกเที่ยวเล่นมากกว่านั่งทำการบ้าน ส่วนผู้ใหญ่ก็ชอบสุมหัวคุยกันหรือดูหนังฟังเพลงมากกว่าจะทำงานอย่างตั้งใจ

    การปล่อยให้ความรู้สึกมาครอบงำชีวิตของตน แท้จริงก็คือการปล่อยให้อัตตามาครองใจ เพราะอัตตาไม่ได้สนใจอะไรนอกจากสิ่งที่จะตอบสนองความอยากได้ใคร่เด่นที่ไม่เคยพอเสียที เจออะไรที่ไม่ถูกใจจึงโกรธแม้จะเป็นเรื่องธรรมดาหรือมีประโยชน์ก็ตาม ดังนั้นแค่เจอไฟแดง รถติด ฝนตก เพื่อนร่วมงานไม่ทักทาย พ่อแม่แนะนำตักเตือน อัตตาก็ขุ่นเคืองใจแล้ว ถ้าเราปล่อยให้มันครองใจ เราก็ต้องทุกข์ไม่หยุดหย่อน เพราะชีวิตนี้ทั้งชีวิตเราย่อมต้องเจอสิ่งที่ไม่ถูกใจเราอยู่เสมอ ถึงแม้จะร่ำรวย ยิ่งใหญ่ หรือมีอำนาจมากมายเพียงใด เราก็ไม่สามารถบัญชาหรือควบคุมให้ทุกอย่างเป็นไปตามใจเราได้ตลอดเวลา


    ความจริงที่ทุกชีวิตหลีกหนีไม่พ้นก็คือ ต้องประสบกับสิ่งไม่พึงปรารถนา และพลัดพรากจากสิ่งพึงปรารถนา อยู่เป็นนิจ รวยแค่ไหนก็ต้องแก่ เจ็บ และตาย เก่งแค่ไหนก็ต้องมีวันประสบความล้มเหลว ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ต้องพลัดพรากจากคนรักไม่ช้าก็เร็ว คนที่ปล่อยให้ชีวิตจิตใจเป็นไปตามความรู้สึก ย่อมหาความสุขได้ยาก

    แต่คนเราไม่จำเป็นต้องทุกข์ไปตามเหตุการณ์ที่มากระทบเสมอไป หากเราเป็นอยู่ด้วยปัญญา ไม่เอาความรู้สึกเป็นใหญ่ มีสติรู้เท่าทันอัตตา ไม่ปล่อยให้มันครองใจ เราก็สามารถทำใจให้เป็นปกติได้แม้ในยามที่ประสบกับสิ่งที่เป็นลบในสายตาของคนทั่วไป เช่น เมื่อถูกตำหนิหรือวิพากษ์วิจารณ์ หากเราปล่อยให้อัตตาเป็นใหญ่ในใจ เราก็จะรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า “กูถูกเล่นงาน” หรือ “กูเสียหน้า” ผลคือเกิดความโกรธและตอบโต้กลับไป ซึ่งอาจทำให้ถูกวิจารณ์กลับมาหนักขึ้น ในทางตรงข้าม หากเรามีสติทันท่วงทีและสามารถดึงปัญญาออกหน้า เราก็จะหันมาใคร่ครวญว่าสิ่งที่เขาพูดมานั้นเป็นความจริงหรือไม่ มีประโยชน์เพียงใด มันอาจช่วยให้เราเห็นข้อบกพร่องของตัวเองชัดขึ้น หรือไม่ก็เผยให้เห็นตัวตนของผู้พูด ทำให้เรารู้จักเขามากขึ้น ผลคือนอกจากเราจะฉลาดมากขึ้นแล้ว จิตใจยังไม่ร้อนรุ่มหรือทุกข์เพราะคำวิจารณ์นั้น

    หากเราดำเนินชีวิต ทำกิจวัตรประจำวัน และทำงานด้วยความใส่ใจ โดยไม่มุ่งหวังเพียงแค่ทำงานให้เสร็จหรือให้ดีเท่านั้น หากยังถือว่าเป็นการฝึกฝนจิตใจหรือขัดเกลาตนเองไปด้วย เช่น ฝึกให้มีสติรู้ตัวอยู่เสมอ ลดละความเห็นแก่ตัว บ่มเพาะเมตตากรุณา ก็จะเป็นการเปิดทางให้ปัญญาเข้ามาแทนที่อัตตา นั่นหมายความว่าเมื่อประสบกับสิ่งไม่พึงปรารถนา หรือพลัดพรากจากสิ่งพึงปรารถนา เราก็สามารถรับมือกับมันได้โดยไม่ทุกข์

    ดังได้กล่าวแล้วว่าเราไม่สามารถควบคุมหรือจัดการให้เกิดสิ่งดี ๆ กับเราได้ตลอดเวลา แต่เมื่อใดก็ตามที่เกิดสิ่งแย่ ๆ กับเรา เราสามารถเลือกได้ว่าจะยอมให้มันมีอิทธิพลต่อชีวิตจิตใจของเราได้มากน้อยแค่ไหน รวมทั้งเลือกว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับมันได้ด้วย เช่น จะใช้มันให้เกิดประโยชน์แก่เราอย่างไร แต่ทั้งหมดนี้เราจะเลือกได้ก็ต่อเมื่อมีสติและปัญญา ซึ่งเกิดจากการสะสมในชีวิตประจำวันและการฝึกปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ

    ขอให้สังเกตว่าเมื่อมีสิ่งแย่ ๆ (หรือสิ่งที่เราไม่ชอบ)เกิดขึ้นกับเรา สิ่งนั้นไม่ทำให้เราทุกข์มากเท่ากับใจของเราเองที่วางไว้ไม่ถูก ทันทีที่ได้รับการบอกเล่าจากหมอว่าเป็นมะเร็ง หลายคนถึงกับล้มทรุด หมดเรี่ยวแรง กินไม่ได้นอนไม่หลับ ทั้ง ๆ ที่ยังเป็นมะเร็งแค่ขั้นที่ ๑ หลายคนทำงานด้วยความทุกข์ ไม่ใช่เพราะว่างานที่ได้รับนั้นเป็นงานยาก แต่เป็นเพราะเขาไม่อยากทำงานชิ้นนั้น หรือเพราะไม่พอใจที่เจ้านายเอางานของคนอื่นมาให้เขาทำ ฯลฯ บางคนก็ทุกข์เพราะเพื่อน ๆ ทิ้งงานให้เขาทำคนเดียว ใจที่เอาแต่บ่นว่า “ทำไมต้องเป็นฉัน ?” “ไม่เป็นธรรม ๆ ๆ ๆ” ทำให้เขาทำงานด้วยความทุกข์ทรมานราวกับตกนรกทั้ง ๆ ที่อยู่ในห้องแอร์

     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,096
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,044
    (ต่อ)

    ตอนหนึ่งของรายการ “พลเมืองเด็ก” ที่ออกอากาศช่องทีวีไทย เด็ก ๓ คนได้รับมอบหมายให้ขนของขึ้นรถไฟ บังเอิญตอนนั้นมีการถ่ายทอดสดการชกของสมจิตร จงจอหอ นักชกเหรียญทองโอลิมปิก เด็กชาย ๒ คนจึงทิ้งงานไปดูโทรทัศน์ข้างสถานีรถไฟ พิธีกรจึงถามเด็กหญิงซึ่งตั้งหน้าตั้งตาขนของอยู่คนเดียวว่า เธอคิดอย่างไรที่เพื่อนทิ้งงาน เธอตอบว่าไม่เป็นไร เห็นใจทั้งสองคนเพราะนาน ๆ จะได้ดูสมจิตรชกมวย พิธีกรถามต่อว่า เธอไม่โกรธหรือไม่คิดไปด่าว่าเพื่อนหรือที่ปล่อยให้เธอทำงานอยู่คนเดียว เธอตอบว่า “หนูขนของขึ้นรถไฟ หนูก็เหนื่อยอย่างเดียว แต่ถ้าหนูโกรธหรือไปด่าว่าเขาหนูก็เหนื่อยสองอย่าง”


    คนส่วนใหญ่เลือกที่จะเหนื่อยสองอย่าง คือเหนื่อยกายด้วย เหนื่อยใจด้วย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะไม่รู้ทันอารมณ์ความรู้สึกของตัว ปล่อยให้ความโกรธหรือหงุดหงิดทำร้ายจิตใจของตน จึงทำงานอย่างไม่มีความสุข จริงอยู่การทิ้งงานให้เราทำคนเดียวเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่หากใจเรายึดติดกับ “ความถูกต้อง” หรือ “ความน่าจะเป็น” โดยไม่รู้จักวางเลย ความยึดติดนั้นเองจะกลับมาบั่นทอนทำร้ายจิตใจของเรา เขาไม่ควรทิ้งงานให้เราทำก็จริง แต่นั่นก็ไม่ควรเป็นเหตุผลที่เราจะต้องหันมาซ้ำเติมตัวเอง เหนื่อยใจนั้นไม่มีใครทำให้เราได้ นอกจากเราเอง

    เหตุการณ์แย่ ๆ นั้นทำอะไรเราไม่ได้หากเราไม่ปล่อยให้มันเข้ามาเล่นงานเราถึงจิตถึงใจ แม้แต่ความเจ็บป่วย ก็ทำให้กายทุกข์เท่านั้น แต่ทำใจให้ทุกข์ไม่ได้ เว้นเสียแต่เราจะยอมปล่อยให้ใจทุกข์ไปกับกายด้วย อันที่จริงนอกจากเราเลือกได้ว่าจะปล่อยให้มันมามีอิทธิพลต่อชีวิตจิตใจเราแค่ไหนแล้ว เรายังเลือกว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับมันได้ด้วย เช่น เมื่อเจ็บป่วยเราเลือกได้ว่าจะดูแลรักษาตัวอย่างไรดี แต่นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่ง เรายังทำได้มากกว่านั้น เช่น ใช้มันให้เป็นประโยชน์ หรือหาประโยชน์จากมัน

    บางคนพบว่าเจ็บป่วยก็ดีเหมือนกัน เพราะจะได้พักจากการทำงานที่หนักอึ้ง ได้มีเวลาอยู่กับครอบครัว นอนอ่านหนังสือที่ชอบ หรือหันมาทำสมาธิภาวนา หลายคนถึงกับอุทานว่า “โชคดีที่เป็นมะเร็ง” เพราะมะเร็งทำให้เขาค้นพบความสุขที่แท้อันได้แก่ความสงบทางใจ ผลก็คือชีวิตเขาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

    หากเรามีสติและปัญญา ไม่มัวปล่อยใจจ่อมจมอยู่กับความทุกข์ หรือเอาแต่บ่นว่า “ทำไมต้องเป็นฉัน” เราจะพบว่าเหตุการณ์แย่ ๆ ที่ไม่พึงปรารถนานั้นมีข้อดีอยู่เสมอ บางคนพบว่าการตกงานทำให้เขามีเวลาอยู่กับพ่อแม่และทดแทนพระคุณท่านได้มากขึ้น ธุรกิจที่ล้มละลายผลักดันให้หลายคนเข้าวัดและค้นพบจุดหมายที่แท้ของชีวิต อกหักหรือแยกทางจากคนรักก็ช่วยให้หลายคนพบกับชีวิตที่อิสระและเป็นตัวของตัวเอง

    นอกจากประโยชน์ในเชิงรูปธรรมแล้ว เหตุการณ์แย่ ๆ ทั้งหลายยังมีข้อดีอย่างน้อย ๒ ประการ ได้แก่

    ๑. สอนใจเรา กล่าวคือสอนให้เราตระหนักถึงความจริงของชีวิตซึ่งมีความผันผวนปรวนแปรเป็นนิจ เช่น ของหายก็สอนใจเราว่าความพลัดพรากจากของรักเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีอะไรที่จะอยู่กับเราหรือเป็นของเราได้อย่างยั่งยืน การถูกตำหนิก็สอนใจเราว่า สรรเสริญกับนินทาเป็นของคู่กัน ไม่มีใครที่จะได้รับการสรรเสริญอย่างเดียว ไม่ว่าดีแค่ไหนก็ยังถูกนินทา

    ๒. ฝึกใจเรา เช่น ฝึกใจให้ไม่ประมาท ระมัดระวัง เพื่อป้องกันมิให้เหตุร้ายเกิดขึ้นอีก หรือฝึกใจให้ปล่อยวางเพื่อรับมือกับเหตุร้ายที่แรงกว่าในอนาคต (ถ้าโทรศัพท์หายยังปล่อยวางไม่ได้ แล้วจะทำใจได้อย่างไรเมื่อต้องสูญเสียคนรัก เช่น พ่อแม่ ลูกเมีย ซึ่งต้องเกิดขึ้นแน่) หรือฝึกใจให้มั่นคงเข้มแข็ง เพราะเราจะต้องเจออะไรต่ออะไรอีกมากมายในวันข้างหน้า อีกทั้งยังฝึกให้เราฉลาดและมีประสบการณ์มากขึ้น (อย่าลืมว่าคนเราเรียนรู้จากความล้มเหลวได้มากกว่าความสำเร็จ)

    ความฉลาดในการรับมือกับเหตุการณ์แย่ ๆ นั้นไม่อาจเกิดขึ้นได้จากห้องเรียนหรือจากตำรา แต่เกิดได้เพราะเรียนรู้จากประสบการณ์ในชีวิตประจำวันและจากการทำงาน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราไม่ว่าดีหรือร้าย บวกหรือลบ หากไม่ปล่อยใจไปตามอารมณ์ความรู้สึก คือชอบหรือไม่ชอบ เพลิดเพลินยินดีหรือคร่ำครวญโกรธแค้น แต่มีสติรู้ทันอารมณ์ความรู้สึก และหันมาใคร่ครวญสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยปัญญา ประโยชน์ย่อมเกิดขึ้นแก่เราเสมอ หรืออย่างน้อยก็ทำให้เห็นช่องทางที่จะใช้มันให้เกิดประโยชน์ สามารถเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี หรือเปลี่ยนเคราะห์ให้กลายเป็นโชคได้

    ถ้าทำเช่นนั้นได้ เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับเรา แม้จะเลวร้ายเพียงใด จะมิใช่สิ่งที่ยัดเยียดความทุกข์หรือความปราชัยให้แก่เรา แต่จะกลายเป็นสิ่งที่ฝึกฝนจิตใจเราให้มีสติ ปัญญา และลดละอัตตา ช่วยให้เรามีชีวิตที่โปร่งเบา สงบเย็น และเป็นอิสระจากสิ่งต่าง ๆ ที่มากระทบได้เป็นลำดับ จนในที่สุดก็สามารถอยู่เหนือความทุกข์หรือความผันผวนปรวนแปรทั้งปวงได้ นี้คือสิ่งที่ไม่เหลือวิสัยของเราทุกคน และควรเป็นจุดมุ่งหมายของชีวิตเราด้วย
    :- https://visalo.org/article/suksala08.htm

     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,096
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,044
    ทำไมต้องเจรจากับโจร
    พระไพศาล วิสาโล
    ย้อนหลังไปเมื่อ ๒๕ ปีที่แล้ว ประเทศแอฟริกาใต้ตกอยู่ในภาวะวิกฤต บ้านเมืองแตกแยกอย่างหนัก มีการปะทะกันด้วยกำลังอาวุธปีละหลายร้อยครั้ง เป็นผลจากนโยบายเหยียดผิวของรัฐบาลที่สืบเนื่องมาหลายสิบปี คนดำและคนเอเชียถูกลิดรอนสิทธิเยี่ยงพลเมืองชั้นสอง ไม่สามารถใช้สถานที่สาธารณะร่วมกับคนขาวได้ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล และชายหาด อีกทั้งยังถูกกีดกันไม่ให้พักอาศัยในเมืองเดียวกับคนขาว คนขาวซึ่งมีไม่ถึง ๑ ใน ๕ ของประชากรกลายเป็นเจ้าของประเทศทั้งโดยพฤตินัยและนิตินัย เนื่องจากคนผิวสีทั้งหลายไม่มีสิทธิเลือกตั้ง การเหยียดผิวอย่างเป็นระบบดังกล่าวปลุกเร้าให้คนผิวดำลุกขึ้นประท้วง และเมื่อถูกปราบปรามอย่างหนัก จึงหลบใต้ดินและจับอาวุธขึ้นสู้อย่างไม่ยอมลดราวาศอก ส่วนรัฐบาลคนขาวก็ยิ่งใช้ความรุนแรงหนักขึ้น กดขี่ปราบปรามประชาชนอย่างโหดเหี้ยม ซ้ำยังสนับสนุนชนเผ่าซูลูให้บดขยี้กองกำลังของคนดำอีกทางหนึ่งด้วย การปะทะกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าส่งผลให้คนบริสุทธิ์ล้มตายเป็นอันมาก

    ปี ๒๕๓๑ แอฟริกาใต้ใกล้เกิดสงครามกลางเมือง ขณะเดียวกันเศรษฐกิจก็ย่ำแย่ เนื่องจากถูกประชาคมโลกคว่ำบาตร แทบไม่มีประเทศใดคบค้าสมาคมด้วย แม้กระทั่งในด้านกีฬาและวัฒนธรรม ตอนนั้นเนลสัน แมนเดลา ผู้นำคนดำ ถูกจำคุกมาแล้ว ๒๕ ปี เขาเห็นว่าการเจรจาเท่านั้นที่สามารถพาแอฟริกาใต้หลีกเลี่ยงสงครามกลางเมืองได้ จึงพยายามหาช่องทางเจรจากับรัฐบาล หลังจากใช้เวลา ๒ ปี เจรจากับเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงถึง ๑๒ ครั้ง ก็สามารถเข้าไปสนทนาตัวต่อตัวกับประธานาธิบดีโบทาและเดอเคลิร์กได้ทั้ง ๆ ที่ยังเป็นนักโทษอยู่

    ผู้นำหลายคนในพรรค ANC (African National Congress)ไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าวของแมนเดลา เพราะเขาเจรจากับฝ่ายรัฐโดยลำพัง ไม่สามารถปรึกษาพูดคุยกับผู้นำคนอื่น ๆ ได้เลย (เนื่องจากเป็นนักโทษอุกฤษฏ์ ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกเกือบสิ้นเชิง) จึงย่อมอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบ หลายคนกลัวว่านี้เป็นแผนของรัฐบาลที่ต้องการตอกลิ่มระหว่างแมนเดลากับ ANC บางคนถึงกับระแวงว่าแมนเดลากำลังขายตัว ใช่แต่เท่านั้นเสียงค้านยังมาจากฝ่ายหัวรุนแรงในพรรคที่เห็นว่า มีแต่การต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธเท่านั้นที่จะนำชัยชนะมาสู่คนดำอย่างแท้จริง คนเหล่านี้มองว่าความรุนแรงที่กำลังเกิดขึ้นนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ควรหวั่นวิตก เพราะมันคือการปฏิวัติที่กำลังเคลื่อนตัว

    อย่างไรก็ตาม แมนเดลากลับมองว่า “ประเทศใดก็ตาม แม้ในยามสงคราม ก็ยังมีเวลาสำหรับการเจรจา” แมนเดลาจึงเดินหน้าต่อไป และสามารถเปลี่ยนความคิดของผู้นำส่วนใหญ่ของ ANC ได้ การริเริ่มของแมนเดลานอกจากจะเปิดลู่ทางให้มีการเจรจาระหว่างผู้แทนรัฐบาลกับผู้นำANC คนอื่น ๆ (ที่อยู่นอกคุก)แล้ว ยังนำไปสู่ข้อตกลงหลายประการที่ผ่อนคลายความรุนแรง อาทิ การปลดปล่อยนักโทษการเมืองทั้งหมด รวมทั้งการคืนอิสรภาพให้แก่เมนเดลา ซึ่งเป็นผู้นำสำคัญคนสุดท้ายที่ได้ออกจากคุก การเลือกตั้งทั่วประเทศในปี ๒๕๓๗ ได้ทำให้อำนาจจากคนขาวถูกส่งผ่านมายังคนดำได้อย่างสันติ โดยปราศจากการนองเลือด นับแต่นั้นแอฟริกาใต้ก็เริ่มมีเสถียรภาพทางการเมืองและมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง จนได้รับความไว้วางใจให้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกเมื่อ ๔ ปีที่แล้ว

    ทั้ง ๆ ที่ต้องเจรจาแต่ลำพังในคุกท่ามกลางเสียงคัดค้านของมิตรสหายและพลพรรค แต่การที่แมนเดลาสามารถผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ในแอฟริกาใต้ได้โดยสันติวิธี แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์อันยาวไกลของเขา รวมทั้งความมั่นคงในหลักการ ไม่เห็นแก่ผลประโยชน์เฉพาะตน และความกล้าที่จะทำตามความเชื่อของตนแม้คนอื่นจะเห็นต่าง
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,096
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,044
    (ต่อ)
    ทั้งหมดนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความเป็นรัฐบุรุษของแมนเดลา หากยังบ่งชี้ถึงความความหนักแน่นและถี่ถ้วนรอบคอบในทางจริยธรรมของเขา แม้จะไม่สยบยอมต่อรัฐบาลที่ชั่วร้ายโหดเหี้ยม แต่เขาพร้อมจะเจรจาด้วยหากสามารถป้องกันสงครามกลางเมืองหรือหลีกเลี่ยงการนองเลือดได้ น่าคิดว่า หากเขายึดติดกับความถูกต้องอย่างหัวชนฝาถึงขั้นชูธงว่า “ไม่เจรจากับโจร” หรือ “ต้องแตกหักกับคนชั่ว” ผู้คนจะต้องล้มตายกันอีกมากมาย และแอฟริกาใต้คงลุกเป็นไฟอย่างที่นักสังเกตการณ์ทั่วโลกเคยคาดการณ์เอาไว้

    การประกาศว่า “ไม่เจรจากับโจร” “ต้องแตกหักกับคนชั่ว” แม้เป็นหลักการที่ดูดี บ่งชี้ถึงความยึดมั่นในความถูกต้อง ไม่ปรารถนาข้องแวะกับคนชั่วร้าย แต่หากยึดมั่นมากเกินไป ก็อาจส่งผลเสียได้ ลองนึกถึงเหตุการณ์โจรจับผู้บริสุทธิ์เป็นตัวประกัน ขณะที่ถูกล้อมด้วยตำรวจซึ่งมีอาวุธครบมือ โจรต้องการเจรจากับตำรวจ แต่หากตำรวจประกาศว่าไม่เจรจากับโจร ต้องแตกหักกับคนชั่ว อะไรจะเกิดขึ้นกับตัวประกัน แม้ตัวประกันจะตายด้วยน้ำมือของโจร ตำรวจก็ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้เลย

    การยึดมั่นในความถูกต้องนั้นจะมีประโยชน์อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อไม่ทำให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อนด้วย โดยเฉพาะถึงขั้นสูญเสียชีวิตและอวัยวะ หากยึดมั่นในความถูกต้องแล้ว คนอื่นที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องมีอันเป็นไป มันจะเป็นความถูกต้องได้อย่างไร

    จะว่าไปแล้วการยึดมั่นในความถูกต้องดังกล่าว แม้ไม่มีใครเดือดร้อนเลย มีแต่ตนเองเท่านั้นที่เดือดร้อน ในบางกรณีก็ใช่ว่าจะสมควรทำ เช่น ถูกโจรเอาปืนจ่อหัวในซอยเปลี่ยวเพื่อปล้นทรัพย์ ควรหรือที่จะ “แตกหักกับคนชั่ว” ถ้าทำเช่นนั้นก็ต้องไม่ยอมยื่นเงินให้เขาตามคำขู่ แต่ต้องขัดขืนต่อสู้ ผลที่เกิดขึ้นคืออะไรก็คงเดาได้ไม่ยาก ผู้มีสติปัญญาย่อมไม่ทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน ถ้าไม่ยอมทำตามคำขู่ของโจร สิ่งที่ควรทำก็คือพยายามเจรจากับโจรเพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบา หรืออาจเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้

    คนที่กล้าประกาศอย่างหนักแน่นว่า ไม่เจรจากับโจร ต้องแตกหักกับคนชั่วนั้น มักเป็นเพราะคิดว่าตนอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบ และสามารถมีชัยเหนือโจรและคนชั่วได้โดยไม่ต้องเจรจา ในทัศนะของเขา การเจรจาจะทำให้เขาได้รับชัยชนะไม่เด็ดขาด บรรลุเป้าหมายไม่เต็มร้อย หรือทำให้ชัยชนะที่สมบูรณ์ถูกชะลอออกไป อย่างไรก็ตามน่าคิดต่อไปว่า หากยืนกรานต่อสู้ต่อไป โดยไม่ยอมเจรจา แต่ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายมากขึ้น (จะเป็นฝ่ายไหนก็ไม่สำคัญ เพราะทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ที่มีคุณค่าทั้งสิ้น ยิ่งเป็นผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งด้วยแล้ว ก็ยิ่งไม่สมควรตาย) การกระทำเช่นนั้นจะเรียกว่าเป็นความถูกต้องได้หรือไม่ ถ้ายึดมั่นในความถูกต้องอย่างแท้จริง ก็ควรคิดถึงผลกระทบอันเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นกับคนอื่นจากการกระทำของตนด้วยทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ควรคิดถึงแต่ชัยชนะของตนเท่านั้น
    ถ้าคิดถึงแต่ชัยชนะของตนหรือผลได้ที่จะเกิดขึ้นกับตน ก็ชวนให้คิดต่อไปว่า แท้จริงแล้ว ที่ทำไปทั้งหมดนั้นเป็นเพราะยึดมั่นในความถูกต้องหรือยึดมั่นในชัยชนะของตนกันแน่ พูดอีกอย่าง เขาทำเพื่อธรรมหรือเพื่ออัตตาตัวตนกันแน่ นี้เป็นคำถามที่ทุกฝ่ายในความขัดแย้งควรไตร่ตรองมองให้ลึกหากมีจิตใจใฝ่ความถูกต้องอย่างแท้จริง

    :- https://visalo.org/article/jitvivat255702.html
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,096
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,044
    UtthamiPucha.jpg
    เพราะ “ว่าง” จึง “วาง”

    พระไพศาล วิสาโล
    ปล่อยวางเป็นธรรมสำคัญประการหนึ่งของพุทธศาสนา ถามว่าทำไมถึงต้องปล่อยวาง ก็เพราะว่า ไม่มีอะไรที่ยึดมั่นถือมั่นได้ ทำไมไม่มีอะไรที่ยึดมั่นถือมั่นได้ ก็เพราะว่า ไม่มีอะไรที่เป็นตัวเป็นตน ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ไม่ใช่ตัวตน เรียกว่าอนัตตา

    ไม่ใช่ตัวตน หรือไม่มีตัวตน ไม่ได้แปลว่าไม่มีอะไรเลย หลายอย่างจับต้องได้ เช่น พื้นกระดาน เสาเรือน แม้กระทั่งร่างกายของเรา แม้กระนั้นสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นอนัตตา ความหมายอันหนึ่งก็คือ เราไม่สามารถเป็นเจ้าเข้าเจ้าของได้ หรือไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เราบังคับบัญชาได้แม้แต่อย่างเดียว เช่น ร่างกายนี้ เราจะสั่งให้มันไม่แก่ ไม่ป่วย ก็สั่งไม่ได้ เวลามันหิว สั่งให้หยุดหิว ก็สั่งไม่ได้ เวลามันปวดเมื่อย เราสั่งให้มันหยุดปวดเมื่อย เราก็สั่งไม่ได้

    จิตใจก็เหมือนกัน เราสั่งให้มันหยุดฟุ้งซ่าน หยุดเศร้า หยุดเครียด หยุดกลัว ได้ไหม สั่งให้มันหยุดเบื่อ หยุดกลัว หยุดเครียด ได้ไหม เราสั่งไม่ได้ แต่ฝึกได้ เหมือนกับเราฝึกหมา เราสั่งมันให้เป็นไปตามใจเราไม่ได้ แต่ฝึกได้ อันนี้คือความหมายหนึ่งของอนัตตา

    ความหมายที่ลึกไปกว่านั้นของคำว่าอนัตตาก็คือ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน หรือไม่มีตัวตนของมันเอง บ้านก็ไม่มีตัวตน ตัวตนที่เป็นบ้านจริงๆ นั้นไม่มี คำว่าบ้านเป็นคำสมมุติที่ใช้เรียกส่วนประกอบต่าง ๆ เช่น หลังคา เสา ฝาเรือน พื้นกระดาน เมื่อมารวมกัน เราก็เรียกว่าบ้าน แต่ตัวตนของบ้านจริงๆ ไม่มี ถ้าเรารื้อ เอาหลังคา เสา ฝาเรือน พื้นกระดานออกไปหมด ก็ไม่เหลืออะไร มีแต่ความว่างเปล่า จึงเรียกว่าว่างเปล่าจากตัวตน

    “ตัวฉัน” ก็เช่นกัน มันเป็นแค่คำสมมุติ ตัวตนที่เป็นตัวฉันจริง ๆ ไม่มี ถ้าคิดว่า ก็ให้ชี้ว่า ตัวเราอยู่ไหน ไม่ว่าชี้ตรงไหนก็ไม่ใช่ตัวเรา แต่เป็นลำตัว หน้าอก หัว แขน ขา ชี้ตรงไหนก็ไม่ถูกตัวเรา หาตัวเราไม่เจอ อันที่จริงแม้กระทั่งหน้าอก หัว แขน ขา ก็ไม่ใช่ตัวตน ที่เราเรียกว่านั่นว่านี่ล้วนแต่เป็นสมมุติทั้งนั้น เช่น ลองชี้ว่าหัวอยู่ไหน ไม่ว่าชี้ตรงไหนก็ไม่ใช่หัว แต่เป็นกระหม่อม หน้าผาก แก้ม จมูก หู ไม่ว่าชี้ไปตรงไหน ก็ไม่ถูกหัว แต่ไปถูกสิ่งอื่นแทน

    หัวไม่ใช่ตัวตน ตัวตนที่เป็นหัว ไม่มี หัวเป็นแค่คำที่ใช้เรียกอวัยวะต่าง ๆ เช่น หน้าผาก กระหม่อม ตา จมูก หู แก้ม ที่มารวมกัน สิ่งอื่น ๆ ก็เช่นกัน ที่เราเห็นหรือเรียกว่านั่นว่านี่ล้วนเป็นสิ่งสมมุติ แต่ตัวตนที่แท้ของมันไม่มี เสื้อก็คือคำสมมติที่ใช้เรียกผ้าที่นำมาตัดให้เป็นรูปเป็นร่าง ผ้าที่ตัดแบบหนึ่งเราเรียกว่าเสื้อ ถ้าตัดอีกแบบหนึ่งก็เรียกว่ากางเกง ถามว่าเสื้ออยู่ไหน ลองชี้ดู พอชี้ไป ก็เจอผ้า ตุ๊กตาอยู่ไหน พอชี้ไปก็เจอพลาสติก แต่บ่อยครั้งเราติดกับคำสมมุติจนมองไม่เห็นความจริงที่ลึกไปกว่านั้น จึงมีคำพูดว่า “มองเสื้อไม่เห็นผ้า มองตุ๊กตาไม่เห็นยาง”

    อีกตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ง่าย เราลองกำมือดู มือที่กำเราเรียกว่ากำปั้น แต่ถามว่าตัวตนของกำปั้นมีไหม ไม่มี ไม่เชื่อก็ลองแบมือออกดูสิ กำปั้นหายไปแล้ว เหลือแต่ความว่างเปล่า ที่จริงกำปั้นเป็นคำสมมุติที่ใช้เรียกมือที่รวบเข้าหากัน แต่ตัวตนของกำปั้นไม่มี

    คำหนึ่งที่คู่กับคำว่าอนัตตา คือ “สุญญตา” แปลว่า “ว่าง “คำว่า “ว่าง”ในที่นี้คือว่างจากตัวตน คือ ไม่มีตัวตน ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีตัวตนของมันเอง มันเกิดขึ้นได้จากการที่มีส่วนประกอบต่างๆมารวมกัน รถเกิดขึ้นได้เมื่อมีส่วนประกอบนับพันชิ้นมารวมกัน เช่น พวงมาลัย ล้อ เพลา หม้อน้ำ ตัวถัง เมื่อรื้อเอาส่วนประกอบต่างๆ เหล่านี้ออกหมด ก็จะเหลือแต่ความว่างเปล่า หาตัวตนจริงๆของรถไม่เจอ

    ร่างกายเราเกิดขึ้นได้เพราะ นอกจากมีหัว มีแขน มีขา มีลำตัว แล้ว ข้างในยังมีปอด มีสมอง มีตับ ไต และอวัยวะต่างๆร้อยแปด รวมทั้งของเหลว เช่น เลือด น้ำเหลือง หากแยกเอาสิ่งต่างๆ ออกไปหมด ก็ไม่เหลือร่างกาย อันนี้เรียกว่าตัวตนของร่างกายจริงๆ ไม่มี มันเกิดขึ้นได้จากการรวมกันของส่วนประกอบต่าง ๆ เรียกว่ามีเหตุปัจจัยต่าง ๆ มารวมกัน สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่ารูปธรรมหรือนามธรรม มีขึ้นได้ก็เพราะเหตุปัจจัยมาทำหรือปรุงแต่งให้เกิดขึ้น

    ยกตัวอย่าง นามธรรมเช่น เวทนาหรือความรู้สึกสุข-ทุกข์ก็ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย เวลาเรากินอาหารอร่อย หรือมีลมเย็นพัดมาเบาๆ สุขเวทนาหรือความรู้สึกสุขก็เกิดขึ้น สุขเวทนาเกิดขึ้นได้เพราะมีเหตุปัจจัยคือ อาหารอร่อย หรือลมเย็นพัดมาต้องตัว รวมทั้งตอนนั้นใจไม่ได้นึกกังวลกับเรื่องใด สุขเวทนาเกิดขึ้นเองไม่ได้ อย่างนี้ก็เรียกว่ามันไม่ใช่ตัวตน ถ้าเป็นตัวตน มันต้องเกิดขึ้นเองได้ นึกอยากเกิดก็เกิด นึกอยากไปก็ไป แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อมีเหตุปัจจัยถึงพร้อม มันจึงเกิด เมื่อเหตุปัจจัยดับ มันก็ดับ

    ความกลัวก็เช่นกัน มันเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน เพราะเกิดขึ้นไม่ได้ ต้องมีเหตุปัจจัยมาปรุงให้เกิดขึ้น เช่น อยู่คนเดียว กลางคืน มีเสียงไม่คุ้นเคยดังขึ้น หรือมีพายุพัดกรรโชก แถมนึกปรุงแต่งไปต่าง ๆ นานา จึงเกิดความกลัวขึ้นมา จู่ ๆ ความกลัวจะเกิดขึ้นเองไม่ได้ ถ้าหากอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย มีเพื่อนฝูงแวดล้อม หรือดูหนังฟังเพลงจนเพลิน ความกลัวก็หายไป ถึงตอนนั้นจะตามหาความกลัวว่ามันอยู่ไหน ก็หาไม่เจอแล้ว เพราะเหตุปัจจัยที่ทำให้กลัวนั้นดับไปแล้ว เป็นเพราะความกลัวเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย มันจึงไม่ใช่ตัวตน เรียกอีกอย่างว่า ความกลัวเป็นอนัตตา ว่างเปล่าจากตัวตน

    เป็นเพราะทุกอย่างไม่มีตัวตนของมันเอง เพราะขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยต่าง ๆ มากมาย มันจึงไม่คงที่ ไม่คงตัว เหตุปัจจัยแปรเปลี่ยนไปเมื่อใด มันก็เสื่อมสลายหรือดับไป ถ้าเรายึดติดถือมั่นว่ามันเที่ยง เป็นตัวตน คงที่ เราก็จะทุกข์ ผิดหวัง เศร้าโศก โกรธแค้น ถ้าไม่อยากเป็นทุกข์ ก็ไม่ควรยึดติดถือมั่นในสิ่งทั้งหลาย

    พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าให้ทิ้งหรือไม่สนใจไยดีสิ่งต่าง ๆ ตราบใดที่มันยังมีประโยชน์ ก็ใช้มัน แต่ใช้ด้วยใจที่ปล่อยวาง คือไม่ยึดติดถือมั่น เพราะรู้ว่ามันจะแปรเปลี่ยน เสื่อมสลาย หายไปเมื่อใดก็ได้ เมื่อเหตุปัจจัยแปรเปลี่ยนไป หากวางใจได้อย่างนี้ เมื่อมันแปรผันไป ใจก็ไม่ทุกข์
    :- https://visalo.org/article/jitvivat25630314.html
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,096
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,044
    เติมชีวิตจึงมีชีวา
    พระไพศาล วิสาโล
    “เชสเมมโมเรียล” เป็นบ้านพักคนชราในรัฐนิวยอร์กที่ได้มาตรฐาน ตอนที่บิล โทมัสไปเป็นผู้อำนวยการใหม่ ๆ เมื่อ ๑๖ ปีก่อน มีคนชราอยู่ประมาณ ๘๐ คน ทั้งหมดอยู่ในภาวะทุพพลภาพ ช่วยตัวเองแทบไม่ได้ ๔ ใน ๕ เป็นอัลไซเมอร์หรือมีความบกพร่องทางการรับรู้ เจ้าหน้าที่จึงต้องให้การดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด สวัสดิภาพและความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้น ๆ ของที่นั่น

    บิลเป็นหมอหนุ่มวัย ๓๐ ต้น ๆ ที่คุ้นเคยกับโรคภัยไข้เจ็บของคนชราเป็นอย่างดี เพราะโรงพยาบาลเก่าของเขานั้นมีคนชราเข้ามารับการรักษาอยู่เป็นประจำ แต่ทันทีที่ย้ายไปทำงานที่นั่น เขารู้สึกได้ถึงความผิดปกติที่อยู่รอบตัว ผู้คนดูซึมเซา ห่อเหี่ยว ไร้ชีวิตชีวา ทีแรกเขาคิดว่าเป็นเพราะความผิดปกติในร่างกาย จึงสั่งตรวจสุขภาพคนชราทุกคนอย่างจริงจัง ทั้งสแกน ตรวจเลือด และเปลี่ยนยา แต่ผ่านไปหลายสัปดาห์เขาก็ยังไม่พบสาเหตุ

    จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้ข้อสรุปว่า ตัวการที่ทำให้ผู้คนที่นั่นไร้ชีวิตชีวามี ๓ ประการ ได้แก่ ความเบื่อหน่าย ความอ้างว้าง และความรู้สึกสิ้นเรี่ยวสิ้นแรง วิธีเดียวที่จะจัดการกับสาเหตุดังกล่าวก็คือ การเติมชีวิตเข้าไปในบ้านพักคนชรา เขาจึงเสนอให้เอาพรรณไม้สีเขียวมาใส่ไว้ในทุกห้อง รื้อสนามหญ้าแล้วปลูกผักปลูกดอกไม้แทนที่ เท่านั้นยังไม่พอเขายังเสนอให้เอาสัตว์เข้าไปเลี้ยงในนั้น ไม่ใช่แค่หมาหรือแมวตัวเดียว แต่หลายตัว รวมทั้งนกนานาชนิดด้วย

    ข้อเสนอประการหลังสร้างความตกใจให้แก่หลายคนรวมทั้งกรรมการบ้านพัก เกือบทั้งหมดไม่เห็นด้วยเลยเพราะสัตว์อาจนำเชื้อโรคมาสู่คนชราได้ อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องการเลี้ยงดูสัตว์ ซึ่งมีรายละเอียดจิปาถะ เช่น การให้อาหาร ทำความสะอาด แล้วยังต้องเก็บกวาดมูลสัตว์อีก เป็นการเพิ่มภาระแก่เจ้าหน้าที่ ยังไม่ต้องพูดถึงกฎของรัฐที่อนุญาตให้บ้านพักคนชรามีหมาหรือแมวแค่ตัวเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตามบิลยืนยันข้อเสนอของตัว เขาถึงกับไปเจรจากับเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อให้ผ่อนคลายระเบียบดังกล่าวจนได้ไฟเขียว สุดท้ายกรรมการบ้านพักก็ยินยอมตามข้อเสนอของเขา

    วันแรกที่เริ่มโครงการนี้ เกิดความโกลาหล เพราะนอกจากหมา ๔ ตัว แมว ๒ ตัว กระต่ายและไก่ฝูงหนึ่งแล้ว ยังมีนกแก้วนับร้อยเข้ามาพร้อมกัน การดูแลสัตว์เหล่านี้ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยไม่ใช่เรื่องง่ายเลย บางครั้งก็มีการเกี่ยงกันว่าใครจะเป็นคนเก็บกวาดขี้ที่หมาถ่ายไว้บนพื้นห้อง เจ้าหน้าที่หลายคนบอกว่างานของตนคือดูแลคนชรา ไม่ใช่ดูแลสัตว์ อย่างไรก็ตามไม่นานปัญหาดังกล่าวก็ค่อย ๆ หมดไป สาเหตุสำคัญก็เพราะทุกคนสังเกตว่า บรรยากาศของที่นั่นแปรเปลี่ยนไป คนชราทั้งหลายเริ่มตื่นตัวและมีชีวิตชีวา

    คนชราบางคนซึ่งไม่พูดไม่จากับใครมานาน จนใคร ๆ คิดว่าพูดไม่ได้แล้ว เริ่มพูดขึ้นมา บางคนซึ่งเอาแต่นั่งนิ่ง ไม่ยอมไปไหน และไม่สุงสิงกับใคร วันหนึ่งก็เดินมาหาเจ้าหน้าที่แล้วบอกว่า “ผมจะพาหมาไปเดินเล่น” บางคนก็มารายงานให้เจ้าหน้าที่ว่า “วันนี้นกไม่กินอะไรเลย” หรือมาเล่าว่า “นกร้องทั้งวัน” มีหญิงชราคนหนึ่ง ทีแรกก็นั่งดูเจ้าหน้าที่เดินไปเดินมา วันหนึ่งเจ้าหน้าที่ถามเธอว่าสนใจตามเขาไปเลี้ยงนกไหม เธอพยักหน้าแล้วเดินตามไป ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ให้น้ำนก เธอก็ถือของช่วย วันต่อมาเธอก็ขมีขมันดูแลนกตัวนั้นเอง

    บิลเล่าถึงชายชราผู้หนึ่ง ซึ่งสูญเสียภรรยาที่อยู่ด้วยกันมานานถึง ๖๐ ปี หลังจากนั้นเขาก็หมดอาลัยตายอยากกับชีวิต กินอะไรก็ไม่ลง วันหนึ่งเขาขับรถพุ่งลงคู ตำรวจสันนิษฐานว่าเขาพยายามฆ่าตัวตาย ลูก ๆ จึงส่งมาที่เชสเมมโมเรียล ตลอดสามเดือนที่อยู่ที่นั่น เขาหงอยเหงาเซื่องซึม ไร้ชีวิตชีวา ไม่ว่าให้ยาอะไรก็ไม่ช่วย รวมทั้งยาระงับโรคซึมเศร้า สุดท้ายเขาก็หยุดเดิน เก็บตัวอยู่แต่บนเตียง ไม่ทำอะไร และไม่ยอมกินอะไรเลย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว

    แล้ววันหนึ่งเจ้าหน้าที่ก็เอานกแก้วมาให้เขาคู่หนึ่ง เขาไม่ปฏิเสธ แต่ก็นั่งดูนกแก้วเฉย ๆ ดูเหมือนว่าเขาไม่สนใจมันเลย แต่เมื่อเจ้าหน้าที่มาให้อาหารนก เขาก็เล่าให้ฟังว่า นกเป็นอย่างไร และมันชอบอะไรบ้าง เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงให้เห็นถึงความสนใจสิ่งนอกตัว แทนที่จะจมอยู่กับตัวเอง

    ไม่นานเขาก็เริ่มกิน สวมเสื้อผ้าเอง และเดินออกจากห้อง เขาตรงไปหาเจ้าหน้าที่และบอกว่า หมาควรเดินเล่นทุกบ่าย เขาขออาสาพาหมาไปเดินเล่นเอง สามเดือนหลังจากนั้นเขาก็กลับเป็นปกติ และกลับบ้านได้

    ไม่เพียงพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป สุขภาพของคนชราเหล่านั้นก็ดีขึ้นด้วย การวิจัยตลอดสองปีที่จัดทำโครงการดังกล่าว พบว่ายาที่ให้แก่คนชราในเชสเมมโมเรียลลดลงเหลือแค่ครึ่งหนึ่งของยาที่ให้แก่คนชราในที่อื่น โดยเฉพาะยากระตุ้น เช่น ฮาลดอล ลดลงอย่างฮวบฮาบ ค่ายาลดลงเหลือแค่ ๓๘ เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับบ้านพักคนชราแห่งอื่น ขณะเดียวกันจำนวนคนตายก็ลดลง ๑๕ เปอร์เซ็นต์

    ประสบการณ์ที่เชสเมมโมเรียลชี้ชัดว่าธรรมชาติ ไม่ว่าสัตว์และต้นไม้ มีผลต่อจิตใจของคนชรามาก มันได้นำชีวิตชีวามาแทนที่ความเบื่อหน่าย ขจัดความอ้างว้างเพราะทำให้รู้สึกว่ามีเพื่อนคู่ใจ ช่วยดึงจิตให้ออกจากกรงที่ขังตัวเอง เป็นเครื่องยืนยันถึงสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งที่มนุษย์มีกับธรรมชาติ

    อย่างไรก็ตามเพียงแค่ชื่นชมธรรมชาติเท่านั้นยังไม่เพียงพอ สิ่งสำคัญกว่านั้นก็คือการมีปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติด้วย เคยมีการทดลองที่บ้านพักคนชราแห่งหนึ่งในรัฐคอนเน็คติกัต ทุกคนได้รับต้นไม้หนึ่งต้น ต่างกันตรงที่ว่า คนชราครึ่งหนึ่งได้รับมอบหมายให้รดน้ำต้นไม้เอง รวมทั้งฟังคำบรรยายเกี่ยวกับอานิสงส์ของการดูแลรับผิดชอบตนเอง อีกครึ่งหนึ่ง มีคนรดน้ำต้นไม้ให้ รวมทั้งฟังคำบรรยายว่าเจ้าหน้าที่ดูแลความเป็นอยู่ของเขาอย่างไรบ้าง ผ่านไปหนึ่งปีครึ่ง นักวิจัยพบว่า คนชรากลุ่มแรกมีความกระฉับกระเฉงกว่า ตื่นตัวมากกว่า และมีอายุยืนยาวกว่าด้วย

    การวิจัยดังกล่าวนอกจากบ่งชี้ถึงคุณประโยชน์ของต้นไม้หรือธรรมชาติแล้ว ยังแสดงให้เห็นว่า การได้ทำหรือรับผิดชอบอะไรสักอย่างนั้นมีผลดีต่อจิตใจและสุขภาพ ยิ่งสิ่งนั้นมีชีวิตจิตใจด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้เกิดความสุข หลายคนมีความสุขที่ได้เลี้ยงแมวจรจัดหมากำพร้า ทำให้รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า ทั้งความสุขและความรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าล้วนส่งผลให้คนชราที่เคยหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต อยากมีชีวิตอยู่ต่อ รู้ว่าอยู่เพื่ออะไร และนั่นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นใหม่

    คนเราไม่ได้ต้องการแค่ปัจจัยสี่และความปลอดภัยเท่านั้น แต่ก็ยังต้องการคุณค่าทางจิตใจ อาทิ เช่น สายสัมพันธ์กับผู้อื่นหรือสิ่งอื่น ความรู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง การได้ทำสิ่งที่มีความหมาย รวมทั้งความรู้สึกว่าตนเองยังมีคุณค่า สิ่งเหล่านี้ประมวลกันเป็นเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ คนชราและคนป่วยจำนวนไม่น้อย แม้จะได้รับการดูแลทางกายอย่างดี แต่เป็นเพราะขาดคุณค่าทางจิตใจดังกล่าว จึงไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป แต่หากมิติดังกล่าวได้รับการตอบสนอง แม้จะทุพพลภาพเพียงใด เขาก็อยู่ด้วยความสุขใจ และอาจจากไปอย่างสงบสุขด้วยเช่นกัน
    :- https://visalo.org/article/jitvivat255804.html
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,096
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,044
    ความทรงจำลื่นไหล
    ภาวัน
    คุณอยู่ที่ไหนตอนเกิดเหตุการณ์ ๑๑ กันยา?

    หลายคนตอบได้ทันทีแม้เวลาจะผ่านไป ๑๔ ปีแล้ว เพราะเป็นเหตุการณ์สะท้านโลกสะเทือนขวัญ บางคนแม้มิได้เห็นภาพเครื่องบินพุ่งชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ทางโทรทัศน์ไม่กี่นาทีหลังเกิดเหตุ แต่ก็จำได้ว่าตอนที่ได้ยินข่าวนี้ครั้งแรกตนอยู่ที่ไหน

    แม้กระนั้นก็อย่าเพิ่งมั่นใจว่าทรงจำของคุณนั้นถูกต้อง เพราะสิ่งที่คุณคิดว่าจำได้นั้นอาจเกิดจากการต่อเติมปรุงแต่งภายหลังก็ได้

    เมื่อเร็ว ๆ นี้มีการศึกษาชิ้นหนึ่งที่ได้ผลสรุปออกมาว่า คนอเมริกันร้อยละ ๔๐ ตอบผิดเมื่อถูกถามว่าตนอยูที่ไหนตอนเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว

    ผลสรุปดังกล่าวเกิดจากการตามเก็บข้อมูลจากประชาชน ๒,๑๐๐ คน ไม่กี่วันหลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว โดยตั้งคำถามง่าย ๆ ว่า คุณอยู่ไหน อยู่กับใคร และมีปฏิกิริยาอย่างไรตอนเกิดเหตุการณ์ ๑๑ กันยา หลังจากนั้นได้มีการสอบถามคนกลุ่มเดิมอีก โดยทิ้งระยะ ๑ ปี ๓ ปี และ ๑๐ ปี จากนั้นก็เอาคำตอบในปีหลัง ๆ มาเทียบกับคำตอบแรก ผลที่พบก็คือ คำตอบของคนจำนวน ๒ ใน ๕ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมชนิดที่เป็นคนละเรื่องเลย

    บางคนตอบว่าตนอยู่บนถนนตอนเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ความจริงเขาอยู่ในสำนักงาน สาเหตุที่จำผิดอาจเป็นเพราะวันนั้นเขาลงมาที่ถนนด้วย แต่เมื่อผ่านไปนานปีความจำของเขาก็เกิดคลาดเคลื่อนด้านเวลา คือสลับเอาประสบการณ์หลังมาแทนที่ประสบการณ์แรก

    จะว่าไปเรื่องนี้ไม่ใช่ของแปลก ตอนที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลระเบิดเมื่อปี ๒๕๒๙ เป็นข่าวดังไปทั่วโลก หนึ่งวันหลังจากนั้นอาจารย์ผู้หนึ่งในสหรัฐอเมริกาได้มอบหมายให้นักศึกษาของตนจดบันทึกว่าตนอยู่ไหนตอนที่ได้ข่าว กำลังทำอะไร และใครเป็นคนบอกข่าว ๓ ปีหลังจากนั้นก็ได้ให้นักศึกษากลุ่มเดียวกันนั้น ตอบคำถามเดียวกันนั้นอีก ปรากฏว่าทั้ง ๔๔ คนตอบผิด มี ๑๑ คนที่ตอบผิดทั้ง ๓ ข้อ

    การศึกษาดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าความทรงจำของเรานั้นผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้ง่ายมาก เมื่อเวลาผ่านไปเรามักเอาเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ประสบมาผสมปนเปกับของเดิม จนบางทีของใหม่กลบทับของเก่าไปเลย ใช่แต่เท่านั้นความจำของเรายังง่ายต่อการโน้มน้าวหรือโอนเอียงไปตามอิทธิพลจากภายนอก

    เคยมีการแสร้งทำอุบัติเหตุให้เกิดขึ้นตรงสี่แยกย่านชุมชนขณะที่สัญญาณไฟจราจรเป็นสีแดง หลังจากนั้นผู้เห็นเหตุการณ์จำนวนครึ่งหนึ่งได้รับการบอกกล่าวว่าตอนเกิดเหตุนั้นสัญญาณไฟเป็นสีเขียว เมื่อมีการสอบถามในเวลาต่อมาว่าสัญญาณไฟเป็นสีอะไรตอนเกิดเหตุ คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะบอกว่าเป็นสีเขียว

    ความทรงจำของเรานั้นแปรเปลี่ยนง่าย เปรียบดังขี้ผึ้งก็ว่าได้ แต่คนส่วนใหญ่กลับเชื่อมั่นในความทรงจำของตน คิดว่าเป็นรอยจากรึกในแผ่นหิน ความเชื่อมั่นดังกล่าวมักก่อปัญหาขึ้นมาเมื่อต่างคนต่างมีความจำคนละอย่างในเรื่องเดียวกัน แค่ฝ่ายหนึ่งบอกว่าคืนกุญแจให้แล้ว แต่อีกฝ่ายบอกว่าไม่ได้คืน แค่นี้ก็อาจทำให้เกิดการโต้เถียงซึ่งสามารถลุกลามกลายเป็นการทะเลาะวิวาทได้ง่ายมาก

    หากเราตระหนักว่าความทรงจำของเรานั้นอาจผิดพลาด เอาแน่เอานอนไม่ได้ การยืนกรานว่าฉันถูก หรือกล่าวโทษว่า แกผิด ก็ย่อมน้อยลง ความร้าวฉานระหว่างกันก็คงเกิดขึ้นได้ยากไม่ว่าในครอบครัวหรือที่ทำงาน หรือระหว่างเพื่อน
    :- https://visalo.org/article/Image255805.html
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,096
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,044
    เมื่อโชคมาเยือน
    ภาวัน
    ถอยหลังไปเมื่อ ๔๐ ปีก่อน คอมพิวเตอร์ยังมีขนาดใหญ่เท่าห้อง ราคานับล้าน จำเพาะหน่วยงานใหญ่ ๆ เช่น ธนาคาร สายการบิน มหาวิทยาลัย เท่านั้นที่จะมีได้ เวลาใช้งานก็ต้องพิมพ์คำสั่งทีละบรรทัดลงในบัตรเจาะรู หนึ่งบรรทัดต่อหนึ่งบัตร ถ้าคำสั่งซับซ้อนก็ต้องใช้บัตรเจาะรูหนาเป็นรีม กว่าผลลัพธ์จะออกมาก็ใช้เวลานาน หากมีคนใช้งานหลายคน ก็ต้องเข้าคิวยาว

    เช้าวันหนึ่งในเดือนมีนาคม ๒๕๑๙ หนุ่มวัย ๒๖ หนวดเครายาว ใส่เสื้อผ้าปอน ๆ ขอพบเจ้านายของเขาที่บริษัทฮิวเล็ทแพ็คการ์ด (HP) รวมทั้งผู้บริหารระดับสูง สิ่งที่เขานำมาเสนอก็คือแบบและวงจรคอมพิวเตอร์ชนิดใหม่ ซึ่งไม่เพียงมีขนาดเล็ก หากยังใช้คีย์บอร์ดในการป้อนคำสั่ง และแสดงผลทางจอโทรทัศน์ โดยไม่ต้องพิมพ์เป็นกระดาษยาวหลายทบ ตอนนั้น HP เป็นบริษัทคอมพิวเตอร์ชื่อดัง จะเป็นรองก็แต่ไอบีเอ็ม ซึ่งครองตลาดคอมพิวเตอร์ทั่วโลกในเวลานั้น

    ชายหนุ่มคิดว่าเจ้านายและผู้บริหารจะสนใจ มองเห็นศักยภาพของคอมพิวเตอร์ที่เขาออกแบบ ว่าจะช่วยให้ HPเป็นผู้นำในวงการคอมพิวเตอร์ได้ แต่ผิดคาด ผู้บริหารเหล่านั้นมองว่าสิ่งที่เขานำเสนอนั้น “เป็นแค่ของเล่นยามว่าง เหมือนวิทยุ เหมือนหุ่นยนต์สมัครเล่น” ซึ่งมีแค่ไม่กี่คนที่จะสนใจ ดังนั้นจึงไม่สามารถสร้างตลาดใหญ่ได้อย่างแท้จริง ผู้บริหารใช้เวลาไม่นานก็สรุปว่า HP ไม่มีความคิดที่จะพัฒนาสินค้าตัวนี้ ชายหนุ่มรู้สึกผิดหวัง ไม่นานก็ลาออกจากHP และตั้งบริษัทผลิตคอมพิวเตอร์ของเขาเองร่วมกับคู่หู

    ชายหนุ่มผู้นั้นคือ สตีเฟน วอซเนียก บริษัทที่เข้าก่อตั้งคือ แอปเปิ้ล ส่วนคู่หูนั้นจะเป็นใครไม่ได้นอกจาก สตีฟ จ็อบส์ แบบคอมพิวเตอร์ที่วอซเนียกเสนอนั้นภายหลังได้กลายเป็น Apple II ซึ่งสร้างความร่ำรวยให้แก่เขาและเพื่อน อีกทั้งปฏิวัติวงการคอมพิวเตอร์และก่อความเปลี่ยนแปลงไปทั่วโลก บริษัทของเขากลายเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการคอมพิวตอร์ที่มีสินทรัพย์มหาศาล

    ว่ากันว่า ความสำเร็จของคนเรานั้น เก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องอาศัยโชคด้วย ผู้คนจึงอยากมีโชค และพากันแสวงหาโชค แต่ใช่หรือไม่ว่าบ่อยครั้งโชคก็มาหาเราเอง สิ่งสำคัญอยู่ตรงที่ว่าเราจะมองเห็นหรือรู้ไหมว่าโชคมาหาเราแล้ว

    ๔๐ ปีที่แล้ว โชคเดินเข้ามาหาผู้บริหาร HP ถึงสำนักงาน แต่คนเหล่านั้นกลับไม่ตระหนัก ปล่อยให้โชคหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา นี้คือสิ่งที่เกิดกับผู้คนมากมายครั้งแล้วครั้งเล่า หลายคนมักพูดว่าโชคไม่เข้าข้างเขา แต่ที่จริงโชคมาหาเขาแล้วแต่เขาเบือนหน้าหนีต่างหาก

    โชคนั้นบางครั้งมาในรูปลักษณ์ที่เราคาดไม่ถึง ไม่ใช่มาในรูปของชายหนุ่มแต่งตัวซกมกเท่านั้น

    สมไทย วงษ์เจริญ ต้องช่วยพ่อแม่ทำมาหากินตั้งแต่เล็ก อายุ ๑๕ ก็ออกจากโรงเรียนมาค้าขาย เขาขายของสารพัด ไม่ว่าล็อตเตอรี่ หนังสือพิมพ์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ภายหลังได้ยืมรถกระบะเก่า ๆ ของพ่อ ตระเวนขายของตามจังหวัดต่าง ๆ ตกค่ำก็นอนในรถ อาบน้ำตามปั๊ม แต่ชีวิตก็ยังไม่ดีขึ้น

    วันหนึ่งเขาไปขายของที่พิษณุโลก ได้เข้าไปกราบพระพุทธชินราช และอธิษฐานขอให้ประสบโชค จากนั้นก็ไปทำงานต่อ แต่ไม่ค่อยมีลูกค้า ระหว่างที่นั่งพักเหนื่อย เห็นรถซาเล้งผ่านมา จึงสอบถามคนขับว่าเก็บขยะจากไหน เก็บอย่างไร ไปขายที่ไหน คำตอบที่ได้รับทำให้เขาตระหนักว่าขยะนั้นมีคุณค่าและสร้างรายได้ดี

    นับแต่นั้นเขาก็เบนเข็มมาค้าขยะและของเก่า ปรากฏว่าทำรายได้ให้แก่เขาเป็นกอบเป็นกำ ในเวลาไม่กี่ปีเขาก็ตั้งเนื้อตั้งตัวได้ ยิ่งขยายกิจการ ก็ยิ่งร่ำรวย จนทุกวันนี้นอกจากจะมีสาขาหลายร้อยสาขาทั่วประเทศแล้ว ยังมีโรงงานรีไซเคิลครบวงจรที่ทันสมัยที่สุดในเอเชีย

    โชคนั้นบางครั้งก็มาในรูปของรถซาเล้ง หากสมไทยไม่สนใจไยดี ปล่อยให้รถซาเล้งผ่านหน้า เขาก็คงไม่ร่ำรวยและประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้

    โชคนั้นมักมีโฉมหน้าและมาในจังหวะที่เราคิดไม่ถึง ดังนั้นถ้าอยากมีโชค ก็ต้องเตรียมพร้อมต้อนรับโชคทุกขณะ ขณะเดียวกันก็ต้องฉลาดพอที่จะรู้จักโชคด้วย หาไม่แล้วโชคก็จะผ่านเราไปครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไร้ประโยชน์
    :- https://visalo.org/article/Image255903.html
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,096
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,044
    พบเมื่อใด สุขใจเมื่อนั้น
    ภาวัน
    ซารูเด็กชายวัย ๕ ขวบพลัดหลงกับพี่ชายในคืนวันหนึ่ง คืนนั้นเขานั่งรถไฟมากับพี่ชาย เมื่อลงจากรถไฟเด็กน้อยเหนื่อยมาก เขาผลอยหลับไปขณะที่พี่ชายออกไปหาของกิน เมื่อตื่นขึ้นมาเขาหาพี่ชายไม่พบ ด้วยความตกใจเด็กน้อยกระโดดขึ้นรถไฟที่จอดอยู่ข้างหน้าแล้วหลับต่อมารู้ตัวอีกทีเขาก็ถึงปลายทางคือกัลกัตตา

    ซารูกลายเป็นเด็กเร่ร่อนแถวสถานีรถไฟ คุ้ยหาอาหารตามถังขยะและพื้นดิน จนมีคนมาพบและส่งเขาไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า มีการลงประกาศหาพ่อแม่ของเขาตามหน้าหนังสือพิมพ์ แต่ไร้ผล โชคดีที่มีคนรับเขาเป็นบุตรบุญธรรมที่ออสเตรเลีย นับแต่นั้นชีวิตเขาก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ

    ตั้งแต่เด็กจนหนุ่มเขาคิดถึงบ้านเกิดอยู่เสมอ แต่เขาจำอะไรแทบไม่ได้เลย รวมทั้งชื่อพ่อแม่และนามสกุลดั้งเดิมของตัว จำได้แต่สถานีรถไฟใกล้บ้านเกิดว่ามีหอเก็บน้ำ สะพาน และแม่น้ำอยู่แถวนั้น การหาบ้านเกิดจึงแทบไม่ต่างจากการหาเข็มในกองฟาง

    โชคดีที่ไม่กีปีมานี้มีGoogle Earthเกิดขึ้น เขาอาศัยโปรแกรมนี้ตามหาบ้านเกิดทางคอมพิวเตอร์ โดยเริ่มต้นที่สถานีกัลกัตตาแล้วไล่ตามเส้นทางรถไฟย้อนขึ้นไป เขาหมกมุ่นอยู่กับภาพถ่ายดาวเทียมภาพแล้วภาพเล่านานหลายปีจนในที่สุดก็ค้นพบสถานีหนึ่งซึ่งคล้ายภาพในความทรงจำของเขา

    แล้วเขาก็เดินทางไปกัลกัตตา นั่งรถไฟไปลงที่สถานีดังกล่าว แม้พูดภาษาฮินดีไม่ได้เลย แต่เมื่อยื่นภาพถ่ายวัย ๕ ขวบของเขาจากพาสปอร์ตเมื่อ ๒๕ ปีก่อน คนแถวนั้นก็จำได้ และพาเขาไปพบแม่ ทั้งสองคนตื่นเต้นดีใจมาก กอดกันตัวกลม รู้สึกเหมือนฝันเพราะไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ได้

    เทคโนโลยียุคใหม่ทำให้การตามหาบ้านเกิด พ่อแม่ ลูกหลาน หรือเพื่อนที่พลัดพรากจากกันหลายสิบปี กลายเป็นสิ่งที่ง่ายดาย บางคนแค่ประกาศหาทางเฟซบุ๊คไม่กี่วันก็ประสบความสำเร็จ ดังหนุ่มชาวอังกฤษที่สามารถตามหาสามีภรรยาชาวไทยที่เคยช่วยเขาในเหตุการณ์สึนามิ โดยไม่ต้องเดินทางมาที่ภูเก็ตด้วยตนเอง

    สมัยนี้จะตามหาใครไม่ใช่เรื่องยากแล้ว แต่ที่ยังยากอยู่หรือยากกว่าเดิมก็คือ การตามหาตนเอง ผู้คนเป็นอันมากแก่ชราแล้วก็ยังตามหาตนเองไม่พบ ไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร อยู่เพื่ออะไร และต้องการอะไรอย่างแท้จริง

    ออรังเซ็บ กษัตริย์อินเดียราชวงศ์โมกุล ซึ่งยึดอำนาจจากบิดาคือชาห์ชะฮาน ผู้สร้างทัชมาฮาล ตลอดทั้งชีวิตทำสงครามขยายอาณาจักรจนดินแดนแผ่ไพศาล ครอบครองประชากรเกือบ ๑ ใน ๔ ของโลก และได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แต่เมื่อใกล้ตายเขารำพึงด้วยความรันทดว่า “ฉันมาแล้วก็ไปอย่างคนแปลกหน้า ฉันไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร และกำลังทำอะไรอยู่”

    มาร์คอส ซึ่งเคยเป็นประธานาธิบดีที่เรืองอำนาจของฟิลิปปินส์ เคยบันทึกด้วยความรู้สึกคล้าย ๆ กันว่า “ผมมีอำนาจมากที่สุดในฟิลิปปินส์ ผมมีทุกอย่างที่เคยใฝ่ฝัน พูดให้ถูกต้องคือ ผมมีทรัพย์สมบัติทุกอย่างเท่าที่ชีวิตต้องการ มีภรรยา ซึ่งเป็นที่รักและมีส่วนร่วมในทุกอย่างที่ผมทำ มีลูก ๆ ที่ฉลาดหลักแหลม และสืบทอดวงศ์ตระกูล มีชีวิตที่สุขสบาย ผมมีทุกอย่าง แต่กระนั้นผมก็ยังรู้สึกไม่พึงพอใจในชีวิต”

    แม้ในยามที่รุ่งเรืองถึงขีดสุด คนจำนวนไม่น้อยก็ยังไม่รู้ว่าตนต้องการอะไรอย่างแท้จริง ที่แน่ ๆ ก็คือ อำนาจและทรัพย์สมบัติที่มีมากมายนั้น หาใช่สิ่งที่ตนเองกำลังแสวงหาไม่ ถ้าเช่นนั้นมันคืออะไร หลายคนตายแล้วก็ยังไม่พบ จึงอยู่อย่างไร้สุข

    จะตามหาใครหรืออะไรก็แล้วแต่ อย่าลืมตามหาตนเองให้พบด้วย มันไม่ช่วยให้อิ่มท้องหรือหายหิวก็จริง แต่ก็ทำให้ชีวิตนี้มีความหมายและอยู่อย่างอิ่มเอมเต็มเปี่ยม

    :- https://visalo.org/article/Image255711.html
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,096
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,044
    อย่าเห็นแต่กากบาท
    ภาวัน
    ตอนที่ธนา เธียรอัจฉริยะ เข้ามาปลุกปล้ำก่อร่างสร้าง Happy ก่อนจะกลายเป็นแบรนด์ที่โด่งดังในหมู่ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือระบบเติมเงินนั้น เขาเคยสงสัยว่า โดยปกติคนไทยใช้โทรศัพท์แต่ละครั้งนานแค่ไหน

    เมื่อสอบถามคนเป็นจำนวนมากทั้งใกล้และไกล คำตอบที่ได้ก็คือประมาณ ๓-๕ นาที

    คำตอบดังกล่าวดูไม่น่าสะดุดใจอะไร เว้นเสียแต่ว่ามันตรงข้ามกับข้อมูลที่เขาได้มาอีกทางหนึ่ง ตัวเลขที่เขามีในมือนั้นระบุว่า ลูกค้ามากกว่า ๖๐% ใช้ไม่ถึงครึ่งนาที และ ๙๐% ใช้ไม่ถึง ๒นาที

    ความคิดความเชื่อของผู้ใช้กับความเป็นจริงนั้นต่างกันไกลมาก

    ข้อที่น่าคิดก็คือ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ธนาอธิบายว่าเป็นเพราะคนเรามักจะจำได้แต่ครั้งที่โทร.นาน ๆ เนื่องจากมีเรื่องสำคัญที่ต้องใช้เวลาคุยนาน ส่วนประเภทที่คุยทักทายสั้น ๆ มักจะจำไม่ได้

    พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เรามักจะจำได้แม่นหากเป็นเรื่องที่ไม่ปกติแม้เกิดขึ้นไม่บ่อย ส่วนอะไรที่เกิดขึ้นเป็นประจำจนกลายเป็นปกติ เรามักไม่ค่อยจดจำ

    นี้อาจเป็นสาเหตุเดียวกับที่ทำให้หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า เวลาต้องการใช้แท็กซี่ มักจะหารถได้ยาก แต่เวลาไม่มีกิจต้องเดินทาง ปรากฏว่าแท็กซี่ว่างมากันเต็มถนน ส่วนคนที่ต้องขึ้นรถเมล์ มักจะพบว่าเวลาต้องการขึ้นสายใด สายนั้นกลับหายไปจากถนน ขณะที่สายอื่น ๆ มากันเป็นแถว ครั้นเปลี่ยนใจจะขึ้นสายอื่น ที่เคยมาแบบถี่ ๆ ก็ขาดตอนไปเลย ราวกับโชคชะตากรรมกลั่นแกล้ง

    ถ้าคุณเป็นหนึ่งในนั้น คุณคงอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองเป็นคนไม่มีโชค แต่ความจริงอาจไม่ใช่เช่นนั้นก็ได้ ปกติคุณอาจจะคอยรถไม่นาน เป็นบางครั้งเท่านั้นที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นมา แต่พอมันเกิดขึ้นทีใดคุณก็มักหงุดหงิดหัวเสีย เหตุการณ์นั้นจึงประทับแน่นในใจมากกว่า ผิดกับตอนที่รถมาทันใจหรือใช้เวลาคอยไม่นาน คุณมักรู้สึกเฉย ๆ หรือดีใจไม่มาก จึงไม่ค่อยจดจำเหตุการณ์เหล่านั้น แม้เกิดขึ้นบ่อยกว่าก็ตาม

    เคยมีครูประถมคนหนึ่งชูกระดาษเปล่าให้นักเรียนทั้งชั้นดู กระดาษแผ่นนั้นมีกากบาทสีดำอยู่มุมขวา เมื่อครูถามว่านักเรียนเห็นอะไร คำตอบคือ “กากบาทสีดำครับ” ครูถามต่อว่า แล้วนักเรียนเห็นอะไรอีกหรือเปล่า นักเรียนทั้งชั้นเงียบ ครูจึงถามต่อว่า “แล้วเธอไม่เห็นสีขาวของกระดาษเลยหรือ ?” ถึงตรงนี้นักเรียนจึงร้องอ๋อ

    นักเรียนทั้งชั้นเห็นแต่กากบาทสีดำ เพราะมันผิดปกติ ในขณะที่สีขาวของกระดาษนั้นดูธรรมดามาก นักเรียนจึงไม่สนใจ ทั้ง ๆ ที่พื้นที่สีขาวนั้นมีมากกว่าส่วนที่เป็นสีดำหลายสิบเท่า

    สิ่งที่ผิดปกติ มักจะโดดเด่นในความรู้สึกของเรา เราจึงจำมันได้แม่น เป็นเพราะเหตุนี้ใช่ไหมเวลาคนรักทำให้เราผิดหวังแม้เพียงครั้งสองครั้ง ความรู้สึกไม่ดีต่อเขาจึงติดตรึงใจเราไปนาน ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นเขาทำดีกับเรามาโดยตลอด

    ในทำนองเดียวกัน แม้จะมีชีวิตราบรื่นเป็นส่วนใหญ่ แต่พอมีเหตุร้ายเกิดขึ้นไม่กี่ครั้ง หลายคนจึงรู้สึกว่าชีวิตของตนเต็มไปด้วยเคราะห์กรรม ผู้คนเป็นอันมากจำความทุกข์ได้มากกว่าความสุข ไม่ใช่เพราะว่ามันเกิดขึ้นเป็นประจำ แต่เพราะมันคือความไม่ปกติมากกว่า (ซึ่งแปลว่าเกิดขึ้นนาน ๆ ครั้ง) จึงโดดเด่นประทับแน่นในใจเขา

    ความเชื่อหรือความรู้สึกอาจหลอกเราได้ ถ้าเราไม่เชื่อมันง่ายเกินไป เราอาจมีความสุขมากกว่านี้ และยิ้มให้แก่ตัวเองกับคนรอบตัวบ่อยขึ้นก็ได้
    :- https://visalo.org/article/Image255608.html
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,096
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,044
    อย่าว่าคนเมา
    ภาวัน
    เมื่อยังหนุ่ม เปี๊ยก โปสเตอร์ นักวาดและผู้กำกับหนังชื่อดังระดับตำนาน มีเพื่อนร่วมงานและร่วมเที่ยวอยู่สองคน หนึ่งในนั้นชื่อ “เกษียร” วันหนึ่งขณะที่ทั้งสามกำลังกินอาหาร เกษียรเห็นคนเมาในร้านเดียวกัน จึงพูดขึ้นว่า “โง่ฉิบหาย กินเหล้าให้เหล้ากิน”

    สองเดือนต่อมา ทั้งสามคนได้รับเชิญไปงานขึ้นบ้านใหม่ของเพื่อน ทุกโต๊ะมีเบียร์วางอยู่ พวกเขาจึงลองดื่มดูเพราะอยากรู้ทำไมผู้คนหลงใหลกันนัก ชิมดูก็เห็นตรงกันว่า เปรี้ยว ๆ ฝืด ๆ

    หลังจากนั้นไม่นาน ระหว่างที่กำลังเขียนรูปกันอยู่ เกษียรก็สั่งเบียร์มาดื่ม เปี๊ยกจึงท้วงว่า “อ้าวเคยว่าเขา ทำไมวันนี้กินซะเอง” เกษียรตอบว่า “นายไม่รู้อะไร เหล้าน่ะของคนสถุล เบียร์ช่วยผ่อนคลาย เป็นเรื่องของสังคมชั้นสูง”

    ในที่สุดเกษียรก็ติดเบียร์ ดื่ม ๔-๕ ขวดทุกวัน วันไหนไม่กิน ก็ทำงานไม่ได้ และแล้ววันหนึ่งก็ตะโกนสั่งลูกน้องให้ไปเอาแม่โขงมาเป๊กหนึ่ง เปี๊ยกจึงแย้งว่า “ไหนว่าเหล้าไม่ดี เป็นเรื่องของคนสถุลไม่ใช่หรือ” คำตอบของเกษียรก็คือ “นายต้องมีเหตุผลหน่อย เราทำงานแบบนี้มีรายได้เท่าไหร่วะ เดี๋ยวนี้เรากินเบียร์วันละห้าขวด แล้วมันจะไหวไหม ” แล้วเขาก็อธิบายต่อ “เหล้านี่เป๊กเดียว อยู่เลย”

    สุดท้ายเขาก็ติดเหล้าอย่างหนักจนเป็นอัมพาตและสิ้นชีวิตเพราะเหล้า

    เรื่องของเกษียรดูเหมือนจะสอดคล้องกับคำโบราณที่ว่า “อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา” ทำไมการทำเช่นนั้นจึงนำภัยมาสู่ตัว หลายคนนึกถึงความเชื่อที่ว่า หากพูดไม่ดีกับใคร มันจะย้อนกลับเข้าตัว ดังนั้นจึงควรระมัดระวังคำพูดของตน แต่ที่จริงแล้วชะตากรรมของเขาเป็นผลจากความประมาทโดยแท้ ไม่ใช่เพราะคำพูดของเขา

    เกษียรนั้นประมาทในพิษสงของเหล้า เขาคิดว่ามันล่อหลอกได้ก็แต่คนโง่ แต่ไม่มีวันทำอะไรเขาได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ระวังตัว จึงถูกเหล้าล่อหลอกให้ถลำทีละน้อย เริ่มต้นด้วยการลิ้มลองนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วก็หันมาเสพชนิดอ่อน ๆ ด้วยข้ออ้างว่าเพื่อผ่อนคลาย ต่อมาก็โดดเข้าหาเหล้าอย่างเต็ม ๆ ด้วยเหตุผลว่ามันถูกกว่าเบียร์ ก็แค่เหล้าเป๊กเดียว จะเสียหายอะไร ดีกว่ากินเบียร์ ๔-๕ ขวด ข้ออ้างที่สวยหรูดูมีเหตุผลชักนำให้เขากินเหล้าในที่สุด ถึงตรงนี้แล้วการกินเหล้าทั้งวันก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป สุดท้ายเหล้าก็กินเขาเช่นเดียวกับคนที่เขาเคยดูแคลนว่าโง่

    คนที่ประมาทเหล้านั้น เสียผู้เสียคนมามากแล้ว บางคนต่อต้านเหล้าอย่างแข็งขันด้วยซ้ำ แต่ในที่สุดกลับตายเพราะเหล้า ที่จริงมิใช่แต่เหล้าเท่านั้น อบายมุขอื่น ๆ เช่น การพนัน ตลอดจนสิ่งล่อเร้าเย้ายวนทั้งหลาย ล้วนมีพิษสงที่ไม่ควรประมาททั้งสิ้น มีคนจำนวนไม่น้อยที่ต่อต้านสิ่งเหล่านี้ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นทาสของมัน เช่นเดียวกับคนที่เกลียดนักการเมืองคอร์รัปชั่น แต่กลับลงเอยด้วยการทำเช่นนั้นเสียเอง ไม่จำต้องพูดถึงนักศึกษาที่ต่อต้านทุนนิยมหัวชนฝา แล้ววันหนึ่งก็กลับกลายเป็นนายทุนที่ร่ำรวยมหาศาลจากการเอาเปรียบผู้คน

    เหล้า อบายมุข เซ็กส์ และเงินตรา มีพิษสงก็เพราะเราทุกคนมีความอ่อนแออยู่ภายใน จึงหวั่นไหวและเสียคนเพราะมันได้ง่ายมาก เมื่อใดก็ตามที่เรามองข้ามความอ่อนแอภายใน เชื่อมั่นในความกล้าแกร่งของตนเอง ก็ง่ายที่จะประมาทสิ่งเหล่านี้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของหายนะ

    หากเกษียรเห็นคนเมาแล้ว แทนที่จะด่าว่าเขาโง่ กลับหันมาเตือนตนว่า จะต้องระมัดระวังตัวให้ดี เพื่อไม่ให้เป็นอย่างเขา เกษียรก็คงจะมีชีวิตที่ยืนยาวและผาสุก และอาจเป็นนักวาดหรือผู้กำกับชื่อดังอย่างเปี๊ยก โปสเตอร์เพื่อนรุ่นน้องก็ได้
    :- https://visalo.org/article/Image255709.html


     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,096
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,044
    เสียน้อยเสียยาก
    ภาวัน
    แม็กซ์ เบเซอร์แมน เป็นศาสตราจารย์คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด วันแรกของชั้นเรียน เขาชวนนักศึกษาทำกิจกรรมอย่างหนึ่งซึ่งง่ายมาก นั่นคือ ประมูลธนบัตร ๒๐ ดอลลาร์ในมือของเขา

    กติกานั้นมี ๒ ข้อเท่านั้น ข้อแรก นักศึกษาต้องเสนอราคาเพิ่มขึ้นครั้งละ ๑ ดอลลาร์ ข้อที่สอง ผู้ที่ให้ราคาสูงสุดเป็นผู้ชนะการประมูล ได้รับธนบัตรไป แต่คนที่เสนอราคามากเป็นอันดับสองจะต้องจ่ายเงินจำนวนนั้นโดยไม่ได้รับอะไรเลย

    ตอนเริ่มประมูล นักศึกษาทั้งห้องพากันยกมือเสนอราคา จาก ๑ ดอลลาร์ ตัวเลขไต่ขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อราคาประมูลมาถึง ๑๖ ดอลลาร์ หลายคนหยุดประมูล แต่ก็ยังมีคนสู้อยู่ ครั้นตัวเลขแตะ ๒๐ ดอลลาร์ การแข่งขันก็ยังดำเนินต่อไป ตัวเลขเพิ่มเป็น ๒๑, ๒๒ และ ๒๓ ดอลลาร์ แต่ก็ไม่หยุดเพียงเท่านั้น กว่าการประมูลจะสิ้นสุด ตัวเลขก็สูงถึง ๑๐๐ ดอลลาร์

    เบเซอร์แมนทำกิจกรรมนี้หลายครั้งกับคนหลายกลุ่ม มีทั้งนักศึกษาและผู้บริหารระดับสูง เขามีแต่ได้กำไร เพราะราคาประมูลเกิน ๒๐ ดอลลาร์ทุกครั้ง อีกทั้งเกินกว่าราคาจริงของธนบัตรหลายเท่าด้วย สถิติสูงสุดคือ ๒๐๔ ดอลลาร์!

    คำถามก็คือ ทำไมนักศึกษาปัญญาชนเหล่านี้จึงพากันเสนอตัวเลขที่สูงกว่าราคาธนบัตรหลายเท่าตัว เป็นเพราะเขาต้องการชนะคู่ต่อสู้เอามาก ๆ จนลืมตัวกระนั้นหรือ? ดูเผิน ๆ ก็เป็นเช่นนั้น แต่ที่จริงเป็นเพราะผู้ประมูล (ซึ่งมักจะเหลือแค่ ๒ คนเมื่อตัวเลขใกล้ ๒๐ ดอลลาร์) ไม่อยากจ่ายเงินต่างหาก เนื่องจากกติการะบุว่าคนที่เสนอราคาสูงสุดเป็นอันดับสอง นอกจากไม่ได้ธนบัตรแล้ว ยังต้องจ่ายเงินที่ตนเองเสนอด้วย ไม่มีใครอยากเป็นที่สองหรือผู้แพ้จึงต้องสู้ต่อไปเรื่อย ๆ

    แทบทุกครั้งก็ว่าได้ เมื่อราคาประมูลแตะที่ระดับ ๑๖ ดอลลาร์ ผู้ประมูลจะเหลือแค่ ๒ คน นั่นคือคนที่ให้ราคาสูงสุด และรองลงมา สองคนนี้เลิกไม่ได้ เพราะถ้าเลิกก็ต้องจ่ายเงิน คนรองจึงต้องเสนอ ๑๗ ดอลลาร์ ซึ่งบังคับให้อีกคนต้องเสนอ ๑๘ ดอลลาร์ ถ้าหากใครคนใดคนหนึ่งหยุดเพียงเท่านั้น ก็จ่ายแค่ ๑๗ หรือ ๑๘ ดอลลาร์ แต่เป็นเพราะเสียดายเงิน สุดท้ายก็ต้องจ่ายถึง ๑๐๐ หรือ ๒๐๐ ดอลลาร์

    นี้ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในเกมดังกล่าวเท่านั้น แต่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของผู้คนเป็นอันมาก เป็นเพราะกลัวสูญเสีย หลายคนจึงลงเอยด้วยการสูญเสียหนักกว่าเดิม เช่น คนที่หมดตัวเพราะการพนัน ใช่หรือไม่ว่าเขาทำใจไม่ได้ที่ต้องเสียเงินนับพันบาท จึงเล่นต่อ หรือแทงหนักกว่าเดิม เพราะหวังว่าจะได้เงินพันกลับคืนมา แต่สุดท้ายกลับเสียเงินหมื่น ด้วยความเสียดายเงินหมื่นจึงเล่นต่อ แล้วก็เสียเงินแสน ยิ่งเสียหนักก็ยิ่งเลิกยาก สุดท้ายจึงกลายเป็นเสียเงินล้านหรือถึงกับหมดตัว

    คนเป็นอันมากเมื่อพบว่าหุ้นของตนราคาตก ทั้ง ๆ ที่มีแนวโน้มว่าหุ้นจะตกยิ่งกว่านี้ แทนที่จะรีบขายในราคาที่ขาดทุน กลับเก็บเอาไว้ด้วยความเสียดายเงินที่หดหายไป เฝ้าแต่หวังว่าหุ้นจะราคาขึ้น ครั้นหุ้นตกลงอีก ก็ยิ่งไม่อยากขายเพราะจะขาดทุนหนักกว่าเดิม สุดท้ายหุ้นของเขากลายเป็นไร้ค่า แทนที่จะเสียแค่ล้าน ก็เสียเป็นสิบล้านหรือร้อยล้าน

    “เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย” เป็นภาษิตที่สะท้อนถึงธรรมชาติของมนุษย์ ที่กลัวการสูญเสีย จึงทำในสิ่งที่เป็นโทษแก่ตนยิ่งกว่าเดิม

    ความกลัวสูญเสียนั้นมีประโยชน์ เป็นสัญชาตญาณที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ แต่ถ้าปล่อยให้มันครอบงำจิตใจ จนขาดสติ ปัญญาก็จะไม่ทำงาน สุดท้ายก็กลับทำให้สูญเสียหนักกว่าเดิม

    ใช่หรือไม่ว่าบางครั้งเราก็ต้องพร้อมจะสูญเสียบ้าง เพื่อจะได้ไม่สูญเสียหนักกว่าเดิม
    :- https://visalo.org/article/Image255904.html
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,096
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,044
    ตามหาคนเข้าใจ
    ภาวัน
    “ทำอย่างไรคนที่ฉันรักและรักฉันจึงจะเข้าใจฉัน ”

    นี้เป็นคำถามที่อยู่ในใจของหลายคน คำถามนี้เกิดขึ้นกับใครย่อมเป็นทุกข์อย่างมาก แต่ก็คงน้อยกว่าคนที่เอาแต่ตัดพ้อว่า “ทำไมเขาไม่เข้าใจฉันเลย ”

    ผู้คนเป็นอันมากพยายามอย่างมากที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจตน แต่ก็มักไม่ประสบผล สาเหตุเป็นเพราะส่วนใหญ่มักเรียกร้องจากคนอื่น แทนที่จะกลับมาเริ่มต้นที่ตนเอง นั่นคือ พยายามเข้าใจคนอื่นให้มาก

    เป็นเพราะเราไม่เข้าใจคนอื่น เช่น มองเขาในแง่ลบ คลางแคลงสงสัยในความตั้งใจดีของเขา น้ำเสียงและอากัปกิริยาของเราที่แสดงออกไป จึงโน้มน้าวให้เขามองเราในลักษณะเดียวกัน การที่เขาไม่เข้าใจเราอาจเป็นเพราะเราเป็นฝ่ายไม่เข้าใจเขาก่อน

    การกระทำของเขาอาจเป็นปฏิกิริยาตอบโต้การกระทำของเราก็ได้ พ่อแม่ที่บ่นว่าลูกไม่ฟังตนเองนั้น เมื่อสืบสาวสาเหตุก็พบว่า เป็นเพราะพ่อแม่ไม่ฟังลูกก่อน เอาแต่สั่งสอนหรือดุด่าว่ากล่าว โดยไม่ฟังเหตุผลหรือสอบถามความเห็นของลูกเลย เมื่อลูกโตขึ้น จึงเป็นฝ่ายไม่ฟังพ่อแม่บ้าง

    มองในอีกแง่หนึ่ง เป็นไปได้หรือไม่ว่าที่จริงเขาเข้าใจเราดี เห็นความดีของเรา และชื่นชมเรา แต่เราต่างหากที่เข้าใจเขาผิด ตีความคำพูดและการกระทำของเขาในทางลบ จึงนึกว่าเขามองเราในแง่ร้าย

    ดังนั้นแทนที่จะตัดพ้อหรือกล่าวโทษคนอื่น การกลับมามองตนและแก้ที่ตนเอง ด้วยการพยายามเข้าใจเขาให้มาก ๆ หรือมองเขาให้ถูกต้อง จะช่วยให้ปัญหาดังกล่าวหมดไปได้ไม่ยาก หรือไม่กลายเป็นปัญหาต่อไป

    มีบางคนรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในตนเองและไม่พอใจคนอื่น โดยเฉพาะคนที่ตนรักและเคารพ เพราะไม่ว่าตนจะทำดีอย่างไร ก็พบว่าเขาเหล่านั้นเห็นแต่ด้านที่ไม่ดีของตน ไม่เคยจดจำความดีของตนได้เลย เอาแต่ตำหนิติเตียนเวลาตนเองทำผิดพลาด

    แต่แน่ใจหรือว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นอย่างที่เราคิด อันที่จริงเขาอาจเห็นความดีของเราและชื่นชมเรา อีกทั้งยังทำดีกับเราด้วย แต่เราต่างหากที่ไม่เห็นหรือจดจำเวลาเขาทำดีกับเรา ครั้นเขาทำไม่ดีกับเราหรือทำไม่ถูกใจเราในบางครั้ง เรากลับจดจำได้แม่น

    ไม่ใช่เขาหรอกที่เห็นแต่ด้านไม่ดีของเรา เป็นเราต่างหากที่เห็นแต่การกระทำด้านลบของเขา

    ถ้าเราพยายามมองเขาให้รอบด้านมากขึ้น ก็อาจพบว่าเขามองเรารอบด้านเช่นกัน หากเรารับรู้ใส่ใจยามที่เขาทำดีกับเรา เราก็จะพบว่าเขาเห็นความดีของเราด้วย ไม่ใช่เห็นแต่ความไม่ดีของเรา ถึงตอนนั้นเสียงตัดพ้อในใจก็จะหายไป ไม่เพียงเรารู้สึกดีต่อเขามากขึ้นเท่านั้น หากยังจะรู้สึกดีต่อตัวเองมากขึ้นด้วย

    ปัญหาทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากการมองแต่ข้างนอกจนลืมมองตน หรือคิดแต่จะแก้ที่คนอื่น จนลืมแก้ที่ตนเอง เมื่อใดที่เรากลับมาเริ่มต้นที่ตนเองก่อน แทนที่จะตัดพ้อว่า “ทำไมเขาไม่เข้าใจฉันเลย” หากลองถามใหม่ว่า “ฉันเข้าใจเขาดีแล้วหรือ ” ก็อาจพบคำตอบหรือทางออกได้ในที่สุด

    อย่าว่าแต่การพยายามเข้าใจคนอื่นเลย แม้แต่การเข้าใจตนเอง ผู้คนส่วนใหญ่ก็มักมองข้าม มัวแต่เสาะแสวงหาคนที่รู้ใจตน อยากได้เพื่อนที่รู้ใจตน คู่ครองที่รู้ใจตน ลูกน้องที่รู้ใจตน ฯลฯ แต่กลับละเลยที่จะรู้ใจตนเอง เมื่อความโกรธเกลียดเกิดขึ้นก็ไม่รู้ทัน ปล่อยให้ความทุกข์เล่นงานจิตใจ หากใจของเรา เราเองยังไม่รู้ จะหวังให้คนอื่นมารู้ใจเราได้อย่างไร

    จะว่าไปแล้วที่ผู้คนทุกข์ระทมทุกวันนี้ก็เพราะไม่รู้ใจตนมากกว่า หาใช่เป็นเพราะไร้คนรู้ใจหรือเข้าใจตนไม่
    :- https://visalo.org/article/Image255801.html
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,096
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,044
    หมดสนุกเมื่อเงินมา
    ภาวัน
    มีเรื่องเล่าว่า พ่อค้าสูงวัยผู้หนึ่งหลังจากผ่านการอบรมปฏิบัติธรรมอย่างเข้มข้น ได้ตัดสินใจว่านับแต่นี้ไปเขาจะทำสมาธิภาวนาอย่างจริงจังทุกเย็นหลังเลิกงาน แล้วเขาก็ทำได้อย่างที่ตั้งใจ แต่พอถึงวันเสาร์และอาทิตย์ อุปสรรคก็เกิดขึ้น มีเด็กกลุ่มหนึ่งเล่นฟุตบอลบนถนนหน้าบ้านเขา ส่งเสียงดังจนเขาทำสมาธิไม่ได้เลย เขาอยากตะเพิดเด็กกลุ่มนี้ให้ไปไกล ๆ แต่เขารู้ดีว่า การทำเช่นนั้นเท่ากับยั่วยุให้เด็กกลุ่มนี้รังควานเขาหนักขึ้น

    เขาครุ่นคิดอยู่สักพัก ก็ออกไปหาเด็กกลุ่มนี้ แล้วพูดว่า “พวกหนูเล่นฟุตบอลอย่างสนุกสนานร่าเริง ทำให้ลุงรู้สึกเบิกบานใจมาก อยากให้หนูมาเล่นอีก” ว่าแล้วก็ควักเงิน ๑๐๐ บาทเป็นค่าจ้าง “เอาไปแบ่งกันนะ” เด็กรับเงินด้วยความดีใจ

    อาทิตย์ต่อมาเด็ก ๆ ก็มาเล่นฟุตบอลอีก คราวนี้เขาบอกเด็กว่า “ช่วงนี้ลุงมีปัญหาเรื่องเงินนิดหน่อย ให้หนูแค่ ๕๐ บาทก็แล้วกัน อาทิตย์หน้ามาเล่นใหม่นะ”

    อาทิตย์ถัดมาเด็ก ๆ ก็มาตามนัด หลังจากเล่นเสร็จ เขาก็ออกมาหาเด็กแล้วพูดว่า “ช่วงนี้ลุงไม่ค่อยมีเงินเลย หนูเอาไปเท่านี้ก็พอนะ” ว่าแล้วก็ควักเงิน ๑๐ บาทให้เด็ก เด็กรับเงินอย่างเสียไม่ได้ ทุกคนรู้สึกอย่างเดียวกันว่าเงินแค่นี้ไม่คุ้มกับความเหน็ดเหนื่อย อาทิตย์ต่อมาจึงไม่มีใครมาเล่นฟุตบอลอีกเลย แล้วความสงบก็กลับคืนมาอีกครั้งสมใจชายผู้นั้น

    แรกเริ่มเดิมทีเด็กกลุ่มนี้เล่นฟุตบอลด้วยความสนุกสนาน แต่พอได้เงินเป็นค่าจ้าง ความรู้สึกว่า “คุ้ม” หรือ “ไม่คุ้ม” ก็มาแทนที่จนลืมความสนุกสนานไปเลย อันที่จริงแม้ได้เงินแค่ ๑๐ บาทพวกเขาน่าจะดีใจ เพราะทีแรกเล่นโดยไม่ได้อะไรเลย แต่เด็กไม่ได้คิดเช่นนั้น กลับมองว่าก่อนหน้านี้ตนเคยได้เงินถึง ๑๐๐ บาท แต่ตอนนี้ได้แค่ ๑๐ บาท ทันทีที่คิดว่าเงิน ๑๐ บาทเป็นค่าจ้าง ความรู้สึกว่า “ไม่คุ้ม” ก็เกิดขึ้นทันที ทำให้ไม่อยากเล่นฟุตบอลต่อไป ความสนุกสนานที่เคยมีกลับไร้ความหมายไปเสียแล้ว

    เงินนั้นมีอิทธิพลต่อความคิดของเรามาก มันสามารถทำให้สิ่งที่เราเคยทำอย่างสนุกสนาน กลายเป็นสิ่งที่น่าเบื่อและจำใจทำไปได้ทันที อันที่จริงเงินไม่ใช่ตัวปัญหา ปัญหาอยู่ที่ความคิดว่า “ไม่คุ้ม”ต่างหาก ถ้าเด็กคิดว่า ๑๐ บาทเป็นของแถม ไม่ใช่ค่าจ้าง หรือถ้าเด็กมองแง่บวกว่าตน “ได้” ๑๐ บาท ไม่ใช่มองแง่ลบว่าตน “เสีย” ๙๐ บาท เด็กก็ยังสนุกกับการเล่นฟุตบอลต่อไป อย่างไรก็ตามคนส่วนใหญ่อดไม่ได้ที่จะปล่อยให้ความรู้สึกว่า “ไม่คุ้ม”เข้ามาครอบงำจิตใจเมื่อเงินที่ได้รับนั้นมีจำนวนน้อย

    น่าแปลกก็ตรงที่หากไม่มีเงินมาเกี่ยวข้องเลย ผู้คนอาจเต็มใจทำหรือทำงานอย่างมีความสุขกว่าด้วยซ้ำ จิตอาสาจำนวนมากมีความสุขกับการทำงานเพราะเห็นคุณค่าของงาน อีกทั้งมีความภาคภูมิใจที่ได้ทำงานนั้น แต่เมื่อใดที่ได้รับค่าจ้างด้วยเงินน้อยนิด เขากลับทำงานเดียวกันนั้นอย่างไม่มีความสุข ทั้งนี้ก็เพราะความรู้สึกว่า “ไม่คุ้ม” มาแทนที่ จนบดบังคุณค่าของงาน จึงไม่รู้สึกภูมิใจที่ได้ทำ

    นอกจากความสุขแล้ว ผลงานก็อาจแตกต่างกันด้วย คนที่ทำให้เปล่า ๆ อาจมีผลงานดีกว่าคนที่ได้ค่าจ้างด้วยซ้ำ เคยมีการนำอาสาสมัครสามกลุ่มมาทำกิจกรรมเดียวกัน นั่นคือ ใช้เมาส์ลากวงกลมเข้าไปในกรอบสี่เหลี่ยมที่ปรากฏในจอคอมพิวเตอร์ เมื่อลากเข้าไปแล้ววงกลมจะหายไปจากจอ แล้วปรากฏขึ้นใหม่ สิ่งที่ทุกคนต้องทำก็คือ ลากวงกลมเข้าไปในกรอบสี่เหลี่ยมให้ได้มากที่สุดภายใน ๕ นาที กลุ่มแรกได้เงิน ๕ ดอลลาร์ก่อนทำ กลุ่มที่สองได้ ๕๐ เซ็นต์ กลุ่มที่สามถูกขอร้องให้มาทำกิจกรรมดังกล่าวโดยไม่มีการพูดถึงเงินเลย

    ผลปรากฏว่ากลุ่มแรกลากวงกลมได้เฉลี่ย ๑๕๙ วง ส่วนกลุ่มที่สองลากได้ ๑๐๑ วง ซึ่งไม่น่าแปลกใจเพราะกลุ่มที่สองได้เงินน้อยกว่ากลุ่มแรกมาก แต่ที่น่าแปลกใจคือกลุ่มที่สาม ลากได้ ๑๖๘ วง มากกว่ากลุ่มแรกเสียอีก ทั้ง ๆที่ไม่ได้อะไรเลย การทดลองนี้เหมือนจะบอกเราว่า การไหว้วานขอความช่วยเหลือนั้น ให้ผลดีกว่าการว่าจ้างด้วยเงินเพียงน้อยนิด

    อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ได้เงินเพียงน้อยนิด แต่ถ้าไม่ติดใจว่าเป็นเงินเล็กน้อยหรือเอาแต่คิดว่าไม่คุ้ม เราก็สามารถทำด้วยความตั้งใจและอย่างมีความสุขได้มิใช่หรือ ขอเพียงแต่เห็นคุณค่าของงานที่ตนทำ ก็จะได้รับความภาคภูมิใจเป็นรางวัล

    :- https://visalo.org/article/Image255706.html
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,096
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,044
    คนสองโลก
    ภาวัน
    แดน อาเรียลลี่ นักเศรษฐศาสตร์เชิงพฤติกรรมแห่งเอ็มไอที เขียนเล่าว่า คราวหนึ่งสมาคมผู้เกษียณอายุแห่งสหรัฐอเมริกาได้สอบถามทนายความจำนวนหนึ่งว่า พวกเขาสามารถลดค่าบริการให้แก่คนวัยเกษียณที่ยากจนได้ไหม โดยอาจเหลือแค่ชั่วโมงละ ๓๐ ดอลลาร์ ทนายความตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่ได้” แทนที่ผู้จัดการโครงการจะท้อถอย เขาเปลี่ยนมาถามทนายความเหล่านั้นว่า พวกเขายินดีให้บริการแก่ผู้ยากไร้วัยเกษียณโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ ได้ไหม ปรากฏว่าทนายส่วนใหญ่ตอบว่า “ได้”

    อะไรทำให้คำตอบที่ได้ทั้งสองครั้งนั้นแตกต่างกันมาก โดยสามัญสำนึกของคนทั่วไป ขนาดลดค่าบริการ ทนายความยังไม่ยอม แล้วจะยอมทำงานให้ฟรี ๆ ได้อย่างไร คำอธิบายเรื่องนี้ก็คือ เวลาพูดถึงเรื่องเงิน ทนายความจะนึกถึงบรรทัดฐานที่ใช้ในทางธุรกิจ ทำให้รู้สึกว่า ๓๐ ดอลลาร์นั้นเป็นอัตราที่ต่ำมาก แต่พอไม่พูดถึงเรื่องเงินเลย หากเป็นการขอร้องให้ช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน ทนายความจะนึกถึงบรรทัดฐานทางสังคม ซึ่งเน้นเรื่องความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน จึงตอบตกลงได้ง่าย

    คนเราทุกวันนี้เสมือนอยู่ในโลกสองโลกที่ซ้อนกัน โลกหนึ่งคือโลกที่สัมพันธ์กันด้วยเงินตรา ใช้เงินเป็นตัววัดมูลค่า เป็นโลกแห่งกำไร-ขาดทุน อีกโลกหนึ่งนั้นเป็นโลกที่สัมพันธ์กันด้วยน้ำใจ ให้คุณค่าแก่ความเอื้อเฟื้อเกื้อกูล รวมทั้งให้ความสำคัญแก่คุณค่าที่เป็นนามธรรม ประเมินเป็นตัวเลขไม่ได้ เวลาเราอยู่ในโลกประเภทแรก เงินทองจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ มีการใช้ “บรรทัดฐานทางตลาด” เป็นเกณฑ์ แต่เมื่อเราอยู่ในโลกประเภทที่สอง น้ำใจจะเป็นสิ่งสำคัญ “บรรทัดฐานทางสังคม” จะเป็นตัวกำกับความคิดและพฤติกรรมของเรา

    จะเรียกว่าคนเรามีสองมาตรฐานก็ได้ จะใช้มาตรฐานใดก็ขึ้นอยู่กับว่าอีกฝ่ายมีปฏิสัมพันธ์กับเราอย่างไร หรือมีอะไรมากระตุ้นให้เราใช้มาตรฐานประเภทใด เคยมีการทดลองกับคนสามกลุ่ม โดยทุกกลุ่มทำกิจกรรมอย่างเดียวกัน นั่นคือลากวงกลมที่ปรากฏอยู่ด้านซ้ายของจอคอมพิวเตอร์ ให้เข้าไปอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมซึ่งอยู่ด้านขวา เมื่อลากเสร็จวงกลมจะหายไป แล้วจะปรากฏขึ้นใหม่ที่ด้านซ้าย สิ่งที่ทุกคนต้องทำก็คือ ลากวงกลมให้เข้าไปในกรอบสี่เหลี่ยมให้มากที่สุดภายในเวลาห้านาที

    กลุ่มแรกได้รับเงินห้าดอลลาร์ทันทีที่เข้าห้องทดลอง กลุ่มที่สองได้แค่ ๕๐ เซ็นต์ ส่วนกลุ่มที่สามถูกขอร้องให้มาช่วยทำกิจกรรมนี้ โดยไม่มีการพูดถึงเรื่องเงินเลย ผลที่เกิดขึ้นก็คือ กลุ่มแรกลากวงกลมได้เฉลี่ย ๑๕๙ วง ส่วนกลุ่มที่สองลากได้แค่ ๑๐๑ วงโดยเฉลี่ย ไม่น่าแปลกใจที่ผลออกมาเป็นเช่นนั้น เพราะกลุ่มที่สองได้ผลตอบแทนเล็กน้อยมาก แล้วกลุ่มที่สามล่ะ ปรากฏว่าทั้ง ๆ ที่ทำฟรีแต่ผลงานกลับออกมาดีที่สุดคือ ลากวงกลมได้ ๑๖๘ วงโดยเฉลี่ย

    กลุ่มที่สามตั้งใจทำเพราะเขาถูกชวนให้ใช้บรรทัดฐานทางสังคม ขณะที่กลุ่มที่สองไม่ตั้งใจทำเพราะถูกกระตุ้นให้ใช้บรรทัดฐานทางตลาด จึงรู้สึกว่า “ไม่คุ้ม” ที่จะขยันขันแข็งด้วยเงินเพียงแค่ ๕๐ เซ็นต์เท่านั้น

    พูดอีกอย่างก็คือ คนเรามีทั้งคุณธรรมและความเห็นแก่ได้ ถ้าถูกขอร้องไหว้วานกัน คุณธรรมก็จะออกมานำหน้า จึงพร้อมที่จะช่วยเหลือทั้ง ๆ ที่ไม่ได้อะไร แต่ถ้าว่าจ้างกัน ความเห็นแก่ได้ ก็จะเป็นใหญ่ จะขยันหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่า ได้มากหรือได้น้อย ถ้าได้น้อยก็ทำอย่างขอไปที

    การชักชวนให้คนทำความดี ขยัน เสียสละ ไม่ใช่เรื่องยาก อยู่ที่ว่าเราดึงเอาคุณสมบัติส่วนใดของเขาออกมา หรือโน้มน้าวให้เขาใช้บรรทัดฐานประเภทใด น่าเสียดายที่ทุกวันนี้เราถนัดแต่การกระตุ้นความเห็นแก่ได้ หรือกระตุ้นให้ใช้บรรทัดฐานทางตลาด ผู้คนจึงคิดแต่เรื่องกำไร-ขาดทุน หรือ คุ้ม-ไม่คุ้มชนิดที่วัดด้วยเงินตรา ความเอื้อเฟื้อเกื้อกูล รวมทั้งความขยันหมั่นเพียร และความซื่อสัตย์สุจริต จึงเจือจางลง
    :- https://visalo.org/article/Image255605.html
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,096
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,044
    ผลิบานจากกองเถ้าถ่าน
    ภาวัน

    กองเพลิงที่โหมลุกท่วมบ้านอย่างรวดเร็วกลางดึกได้คร่าชีวิตลูกสาววัยน่ารักของเธอทั้งสามคน รวมทั้งพ่อแม่ผู้ชรา เธอทำได้แต่เพียงตะโกนร้องว่า “ลูกฉัน ลูกฉัน” อยู่ข้างนอกขณะที่พนักงานดับเพลิงพยายามช่วยชีวิตพวกเขาอย่างไร้ผล

    หัวใจของมาดอนน่า แบดเจอร์แทบแตกสลาย ดังนั้นจึงไม่ง่ายเลยที่เธอต้องมากล่าวคำไว้อาลัยให้แก่ลูกสาวของเธอในงานศพซึ่งจัดขึ้นไม่กี่วันหลังจากนั้น ผู้ร่วมงานแทบทั้งหมดประหลาดใจเมื่อพบว่า แทนที่เธอจะคร่ำครวญถึงลูก เธอกลับเชิญชวนให้ผู้คนไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งถึงคุณค่าและความหมายของความรัก

    “เป็นเรื่องยากมากจริง ๆ ...สาเหตุที่ฉันอยากพูดกับคุณวันนี้ก็เพื่อให้คุณรู้ว่าลูกสาวของฉันเป็นคนอย่างไร ฉันอยากให้คุณระลึกถึงลูก ๆ ของฉันและทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เขาถูกลืม” แต่มาดอนน่าไม่ได้หยุดที่ลูกของเธอเท่านั้น หากยังชวนให้ผู้คนนึกถึงคนอื่นด้วย

    “เราสามารถพูดได้ทั้งวันเรื่องความรัก แต่ความรักที่ปราศจากการเกื้อกูลย่อมไม่พอ โปรดรักษาเด็กน้อยเหล่านี้ไว้ในหัวใจของคุณด้วยการแสดงความรักพร้อมกับการกระทำที่เปี่ยมด้วยเมตตาอันบริสุทธิ์ ด้วยการรักซึ่งกันและกัน และหาทางช่วยเหลือผู้อื่นทุกวัน”

    ความรักนั้นแม้นำมาซึ่งความโศกเศร้าในยามที่ต้องพลัดพรากสูญเสีย แต่ในอีกด้านหนึ่งความรักสามารถบันดาลใจให้ทำความดีเพื่อผู้อื่น แม้แม่ไม่อาจทำความดีให้แก่ลูกได้แล้ว แต่ความรักของแม่ก็สามารถบันดาลใจให้ทำความดีเพื่อผู้อื่นได้ หากเชื่อการทำความดีเพื่อผู้อื่นก็คือการทำความดีเพื่อลูกนั้นเอง มาดอนน่าอยากให้ความรักที่ใคร ๆ มีต่อลูกของเธอนั้น ไม่จบลงที่ความเศร้าโศก แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการทำความดีต่อเพื่อนมนุษย์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะนั่นคือคุณค่าที่แท้จริงของความรัก

    เรื่องราวของเธอคล้ายคลึงกับของวิลเลียม เปอตีต์ คืนหนึ่งโจรสองคนได้เล็ดรอดเข้าบ้านของเขา ขณะที่เขาถูกมัด โจรได้ข่มขืนและรัดคอภรรยาเขาจนตาย จากนั้นก็ชำเราลูกสาววัย ๑๑ ขวบ พร้อมกับเผาเธอและลูกสาววัย ๑๗ ขวบทั้งเป็น เขาเห็นทั้งหมดตายต่อหน้าต่อตาโดยช่วยอะไรไม่ได้เลย

    ในพิธีศพของลูกสาวและภรรยา เขาพูดรำลึกถึงแต่ละคนด้วยความอาลัย แม้เจ็บปวดอย่างยิ่ง แต่เขาลงท้ายด้วยการเชิญชวนให้ผู้ร่วมพิธีทุกคนรักษาจิตวิญญาณของบุคคลเหล่านี้ให้คงอยู่ด้วยการทำความดี

    “ผมคิดว่าหากจะมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นจากการตายอย่างไร้เหตุผลของครอบครัวของผม สิ่งนั้นก็คือการที่พวกเราก้าวเดินต่อไปด้วยความปราถนาที่จะอยู่อย่างมีศรัทธาซึ่งแสดงออกด้วยการกระทำ”

    “ขอให้ช่วยเหลือเพื่อนบ้าน ต่อสู้เพื่อสิ่งดีงาม รักครอบครัวของคุณ ผมอยากให้คุณทุกคนออกไปทำสิ่งเหล่านี้”
    วิลเลียมเล่าว่าหลังเหตุการณ์นั้น เขาเคยคิดฆ่าตัวตาย แต่เขาเปลี่ยนใจ และหันมาลุกขึ้นทำความดีในนามของคนที่เขารัก ด้วยการตั้งมูลนิธิครอบครัวเปอตีต์ (Petit Family Foundation) เพื่อช่วยเหลือผู้ทุกข์ยาก โดยอิงคำกล่าวของคนธีว่า “คุณต้องเป็นความเปลี่ยนแปลงอย่างเดียวกับที่คุณปรารถนาจะให้เกิดในโลกนี้

    ในทำนองเดียวกันแบดเจอร์ได้ก่อตั้ง มูลนิธิผู้อื่น ๓๖๔ (Other 364 Foundation) เพื่อ “สนับสนุนความเกื้อการุณย์ทุกวันตลอดปี” เพราะเชื่อว่านี้คือวิธีที่จะทำให้ลูกสาวของเธอคงอยู่ในหัวใจของผู้คน

    ไม่มีอะไรที่จะทำให้คนเราเศร้าโศกเท่ากับการสูญเสียคนรัก แต่ความสูญเสียนั้นมิใช่เป็นสิ่งเลวร้ายไปเสียหมด หากสามารถก่อให้เกิดสิ่งดี ๆ ที่งดงามได้ เหตุร้ายหรือเคราะห์กรรมนั้นไม่จำเป็นต้องนำความเจ็บปวดมาให้เมื่อใดที่ระลึกถึง หากเราทำให้มันมีความหมายใหม่ ที่ก่อประโยชน์สร้างสรรค์ การระลึกถึงมันก็จะไม่ทำให้ต้องเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป
    :- https://visalo.org/article/Image255507.htm

    . EndLineMoving.gif

     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,096
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,044
    สุขมีที่กลางทาง
    ภาวัน
    นิโคลัส เบนเนตต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาและการพัฒนาชาวอังกฤษ เคยเป็นที่ปรึกษาให้แก่รัฐบาลไทยเมื่อเกือบ ๔๐ ปีที่แล้ว ในช่วง ๓ ปีสุดท้ายที่เมืองไทย เขามีบทบาทในการรณรงค์เพื่อนิรโทษกรรมผู้ต้องหาคดี ๖ ตุลา ฯ จนประสบความสำเร็จ หลังจากนั้นเขาได้ย้ายไปประเทศเนปาล โดยเลือกที่จะทำงานกับชาวบ้านในชนบทที่ห่างไกล แทนที่จะปักหลักอยู่ในเมืองหลวง ทั้งนี้เพื่อให้แผนพัฒนาสอดคล้องกับความเป็นจริง และเป็นประโยชน์แก่ประชาชนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

    เขาเล่าประสบการณ์ตอนหนึ่งว่า บ่อยครั้งเขามีกิจต้องเข้าเมืองหลวงคือกาฏมาณฑุ วิธีที่สะดวกที่สุดคือ ไปทางเครื่องบิน ลานบินที่ใกล้ที่สุดนั้นอยู่ในหุบเขา ซึ่งต้องใช้เวลาไต่เขา ๒ ชั่วโมง แต่เนื่องจากดินฟ้าอากาศที่นั่นแปรปรวนบ่อย ดังนั้นจึงไม่มีทางแน่ใจได้เลยว่า เครื่องบินจะมาตามกำหนดหรือไม่ อย่างเดียวที่ทำได้คือไต่เขาลงไปตั้งแต่เช้าแล้วคอยเครื่องบิน ถ้ารอจนถึงเย็นแล้วเครื่องบินยังไม่มาก็ต้องปีนเขากลับ ซึ่งใช้เวลาอีก ๓ ชั่วโมง บางครั้งเขาต้องลงเขาและขึ้นเขาอย่างนี้ทุกวันตลอดสัปดาห์กว่าฟ้าจะเปิดให้เครื่องบินร่อนลงได้ บางวันอากาศตอนเช้าปลอดโปร่ง เครื่องบินน่าจะลงได้ แต่พอเดินทางไปถึงลานบิน ฟ้าก็ปิดเมฆหนา เครื่องบินลงไม่ได้เสียแล้ว

    เจอแบบนี้บ่อย ๆ ใคร ๆ ก็ต้องหงุดหงิดหัวเสีย แต่สำหรับนิโคลัส ประสบการณ์ดังกล่าวทำให้เขาเรียนรู้ว่าไม่ควรคาดหวังกับจุดหมายปลายทาง แต่ควรหันมาเพลิดเพลินผ่อนคลายกับการเดินทางแทน ดังนั้นระหว่างที่ลงเขาหรือขึ้นเขา นิโคลัสจะชื่นชมกับธรรมชาติ และหาเวลาจิบชาร้อน ๆ สัก ๒-๓ ถ้วย การถึงกาฏมาณฑุกลายเป็นเรื่องรอง จะถึงหรือไม่ ไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือความเพลิดเพลินจากการเดินทางต่างหาก

    ผู้คนส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับจุดหมายปลายทาง จิตใจจดจ่ออยู่แต่การไปให้ถึง จึงมักเดินทางด้วยความทุกข์เพราะใจอยากให้ถึงจุดหมายไว ๆ ยิ่งมีอุปสรรคที่อาจทำให้ไม่ถึงเป้าหมายตามกำหนด ก็ยิ่งหงุดหงิดกระสับกระส่าย โดยลืมไปว่าหงุดหงิดหรือกังวลอย่างไร ก็ไม่ช่วยให้ถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้นแต่อย่างใด บางคนตั้งใจจะไปเที่ยว แต่แล้วกลับหัวเสียตลอดทางเพราะรถติดบ้าง เพื่อนร่วมคณะชักช้างุ่มง่ามบ้าง กลายเป็นว่าแทนที่จะได้ผ่อนคลายจิตใจ การเที่ยวกลับทำให้เครียดตั้งแต่เริ่มเดินทางด้วยซ้ำ ทั้งนี้ก็เพราะมีความคาดหวังเต็มที่กับจุดหมายปลายทาง

    เรามักลืมไปว่า การเดินทางมีความสำคัญไม่น้อยกว่าจุดหมายปลายทาง แม้จะมีสิ่งสำคัญรออยู่ที่ปลายทาง แต่นั่นเป็นอนาคตที่ยังมาไม่ถึง และจะมาถึงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ จึงเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางต่างหากที่เป็นของจริงและแน่นอน เราจึงควรเก็บเกี่ยวมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ในขณะที่ยังไม่ถึงจุดหมาย เราก็ควรจะมีความสุขหรือทำใจให้สบายระหว่างการเดินทาง การละทิ้งความสุขระหว่างเดินทาง เพื่อหวังความสุขที่จุดหมายปลายทางนั้น เป็นการหวังน้ำบ่อหน้า แม้จุดหมายปลายทางคือรีสอร์ตหรือแหล่งท่องเที่ยว แต่ทำไมเราจึงรอคอยความสุขที่อยู่ข้างหน้า ในเมื่อเราสามารถมีความสุขตรงนี้เดี๋ยวนี้ได้เลย

    ไม่ใช่แค่จุดหมายปลายทางที่เป็นสถานที่เท่านั้น กับความสำเร็จก็เช่นกัน ทำไมเราจึงหวังว่าจะมีความสุขต่อเมื่อบรรลุความสำเร็จแล้ว ในเมื่อระหว่างที่ทำงานเราก็สามารถมีความสุขได้ ขอเพียงแต่วางใจให้เป็น คือ ไม่มัวจดจ่ออยู่กับความสำเร็จ แต่เอาใจมาอยู่กับการงานแทน เพียงแค่ไม่ยึดติดถือมั่นกับผลข้างหน้า ก็ช่วยลดความกังวลไปได้มากแล้ว

    ประสบการณ์ของนิโคลัส ยังบอกเราอีกด้วยว่า เมื่อเจอสถานการณ์ที่คาดหวังอะไรไม่ได้ ป่วยการที่จะเป็นทุกข์หงุดหงิดหัวเสีย เพราะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น จะดีกว่าหากเรายอมรับความจริง และมีความสุขในปัจจุบันขณะ ถ้าวางใจได้อย่างนี้ เราจะไม่หัวเสียเวลาเจอรถติด แต่จะหันมาผ่อนคลายจิตใจด้วยการฟังเพลงในรถ สนทนากับลูก ๆ ที่นั่งมาด้วย หรือไม่ก็น้อมใจสงบอยู่กับลมหายใจเข้าออก
    :- https://visalo.org/article/Image255508.htm
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,096
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,044
    โมงยามที่เปี่ยมชีวิตชีวา
    ภาวัน
    วิลโก้ จอห์นสัน เป็นนักร้องและมือกีต้าร์ชื่อดังของอังกฤษ ซึ่งมีอิทธิพลต่อการก่อเกิดขบวนการพั้งค์ของอังกฤษ เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เขาต้องยกเลิกการแสดงสดอย่างกะทันหันเพราะล้มป่วยจนต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล หมอได้แจ้งเขาในเวลาต่อมาว่า เขามีมะเร็งในตับอ่อน ซึ่งไม่สามารถรักษาได้ และเป็นโรคเดียวกันกับที่คร่าชีวิตของสตีฟ จ๊อบส์

    นี้คือข่าวร้ายที่สุดข่าวหนึ่งเท่าที่สามารถเกิดขึ้นกับคน ๆ หนึ่ง แต่วิลโก้ศิลปินวัย ๖๕ กลับต้อนรับข่าวนี้ด้วยความดีใจ เขาเดินออกจากโรงพยาบาลด้วยความรู้สึกตัวเบา ใจฟู “จู่ ๆ ก็รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมา คุณมองต้นไม้ ท้องฟ้า มองทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วรู้สึกว่า “วิเศษ”จริง ๆ”

    ทั้ง ๆ ที่เขามีเวลาเหลือไม่เกิน ๙-๑๐ เดือนจากการคาดคะเนของหมอ แต่เขากลับแปลกใจที่พบว่าไม่มีความรู้สึกเศร้าสร้อยเลย กลับตรงข้ามด้วยซ้ำ “ความรู้สึกตอนนี้มันมหัศจรรย์มาก คุณรู้สึกมีชีวิตชีวา แค่เดินบนถนน คุณก็รู้สึกมีชีวิตชีวาอย่างมาก”

    ใครที่คิดว่าความตายเป็นเรื่องน่ากลัว วิลโก้เป็นคนหนึ่งที่ไม่คิดเช่นนั้น เมื่อรู้ว่าความตายใกล้เข้ามา เขากลับรู้สึกว่าเวลาแต่ละนาที ประสบการณ์แต่ละขณะเป็นสิ่งมีค่าอย่างมาก ความรู้สึกซึมเศร้าที่เคยรบกวนจิตใจของเขาหายไปเป็นปลิดทิ้ง ทุกอย่างที่สัมผัสไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป กลายเป็นความสดใหม่ขึ้นมาทันที

    “สิ่งเล็ก ๆ ทุกอย่างที่เห็น ลมเย็นทุกสายที่สัมผัสใบหน้า อิฐทุกก้อนบนถนน คุณรู้สึกเลยว่า ฉันมีชีวิต ฉันมีชีวิต” เขายังให้สัมภาษณ์อีกว่า “ผมรู้สึกเหมือนขนนกที่ปลิวไหวไปตามสายลม และลมก็พัดมากระทบผมอย่างเดียวกัน แต่ในใจผมก็ยังรู้สึกถึงความอิสระเสรี เป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมมาก”

    ครั้งหนึ่งสตีฟ จ๊อบส์ ได้พูดถึงตัวเองเมื่อระลึกถึงความตายว่า “เกือบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวัง ความภูมิใจ ความกลัวการหน้าแตกและความผิดพลาดทั้งหลาย ล้วนไม่มีความหมายอะไรเลยเมื่อเทียบกับความตาย” ความรู้สึกทำนองนี้ก็เกิดขึ้นกับวิลโก้ เช่นกันเมื่อรู้ว่าความตายกำลังใกล้เข้ามา “อะไรก็ตามที่เคยทำให้ผมเศร้าสร้อย วิตกกังวล หรือรำคาญ มันไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป จนผมอดคิดไม่ได้ว่า “เฮ้ย” ทำไมถึงไม่เป็นแบบนี้มาก่อนหน้านี้วะ ?”

    ในสายตาของคนทั่วไป ความตายคือสิ่งตรงข้ามกับชีวิต แต่อันที่จริงแล้วความตายสามารถทำให้เรารู้สึกตื่นตัวและมีชีวิตชีวา แทนที่จะอยู่อย่างซังกะตาย เพราะทันทีที่รู้ว่าชีวิตของเรากำลังจะหมดสิ้นไป และโลกทั้งโลกที่เรารู้จักกำลังจะปลาสนาการไป เราจะเห็นคุณค่าของทุกวินาทีที่มีอยู่ และซาบซึ้งกับทุกประสบการณ์ที่เกิดขึ้น มันจะไม่ใช่สิ่งซ้ำซากจำเจอีกต่อไป เราจะรับรู้และสัมผัสมันด้วยความรู้สึกสดใหม่

    เป็นความรู้สึกทำนองเดียวกันเมื่อรู้ว่าคนคุ้นเคยกำลังจะจากไปอย่างไม่มีวันกลับ เราจะไม่ปฏิบัติกับเขาอย่างเดิม ๆ อีกต่อไป แทนที่จะเมินเฉยหรือรู้สึกรำคาญ กลับให้ความใส่ใจกับเขาอย่างเต็มที่ ทุกถ้อยคำที่เขาเปล่งออกมา จะไม่ปล่อยให้ลอยไปกับสายลม แต่จะเปิดใจรับตระหนักรู้ ขณะที่ความทรงจำเกี่ยวกับเขา โดยเฉพาะในโมงยามสุดท้าย จะประทับแน่นในใจเรา

    ที่จริงเราไม่จำเป็นต้องรอให้ความตายมาประชิดตัว จึงค่อยเห็นคุณค่าของชีวิตและทุกประสบการณ์ เพียงแค่ระลึกถึงความตายว่าจะต้องเกิดขึ้นกับเราอย่างแน่นอนไม่วันใดวันหนึ่ง ก็ช่วยให้เราไม่จมอยู่ในความเฉื่อยเนือย แต่จะใช้ทุกนาทีอย่างมีค่าและมีชีวิตอย่างกระตือรือร้น รวมทั้งปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ ที่เคยทำให้เศร้าหมอง หดหู่ แค้นเคือง ได้ง่ายขึ้น

    ความตายนั้นหาใช่ศัตรูของเราไม่ มันสามารถนำสิ่งดี ๆ มาให้แก่เราหากรู้จักมองหรือใช้ให้เป็นชีวิต
    :- https://visalo.org/article/Image255604.html
     

แชร์หน้านี้

Loading...