ท่านพ่อลี ธัมมธโร วัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ เจ้ากรรมนายเวร

ในห้อง 'ทวีป อเมริกา' ตั้งกระทู้โดย Wat Pa Gothenburg, 1 ธันวาคม 2008.

  1. Wat Pa Gothenburg

    Wat Pa Gothenburg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    920
    ค่าพลัง:
    +260
    <table border="0" cellpadding="7" cellspacing="7" width="500"><tbody><tr><td colspan="3" align="center">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td colspan="3" align="center">[SIZE=+2]ท่านพ่อลี ธัมมธโร[/SIZE]</td> </tr> <tr> <td colspan="3" align="center">[SIZE=+1]วัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ[/SIZE]</td> </tr> </tbody></table> <center> เจ้ากรรมนายเวร </center>-> ในเรื่องของ กรรม นั้น พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “ถ้าเราไม่ทำกับเขา เขาย่อมไม่ทำกับเรา” เพราะเราเคยเบียดเบียนเขาไว้ก่อน เราจึงต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้นจากเขาบ้าง
    สัตว์ทั้งหลายที่เราได้เบียดเบียนชีวิตเขามาเป็นอาหารนั้น ความจริงเขาไม่ได้เต็มใจให้ชีวิตแก่เราเลยแต่เราก็กดขี่ข่มเหงบีบคั้นเขามา ฆ่ากินด้วยประการต่างๆ ถึงแม้เราจะไม่ได้ฆ่าเอง แต่ก็มีส่วนแบ่งในการกระทำบาปของผู้ที่ฆ่ามาให้เรากิน ฉะนั้น ท่านจึงว่า “บาปอยู่กับคนทำ กรรมอยู่กับคนกิน” เมื่อเป็นดังนี้ พวกสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นก็คงจะต้องมาทวงหนี้ชีวิตเลือดเนื้อของเขาในวัน หนึ่ง ถ้าเราไม่มีทรัพย์คือบุญกุศลสำหรับใช้หนี้เขา เราก็จะต้องลำบากหน่อยเวลาใกล้ตาย
    ชีวิตเลือดเนื้อทั้งก้อนกายนี้ มิใช่เป็นสมบัติของเราเองสักนิดเดียว ร่างกายนี้ล้วนแต่ได้มาจากสัตว์และพืชทั้งนั้น คือ พวกกุ้ง หมู ปู ปลา ฯลฯ และผักหญ้าทั้งหลาย ที่นำมาแปรรูปเป็นอาหารต้มแกงแล้วก็บริโภคเข้าไป ร่างกายก็บดย่อยกลั่นกรองเป็นโลหิตส่งไปบำรุงอวัยวะต่างๆ คือ ทำของสุกให้แปรรูปเป็นของดิบ เป็นหูเป็นตา เป็นมือเป็นแขน เป็นตัวเป็นตน แล้วก็เป็นผู้หญิงผู้ชาย เป็นคุณนายคุณหญิง ฯลฯ แล้วเราก็หลงอยู่ในสมมุติเหล่านี้
    แท้จริงมือนั้นก็เป็นมือฟักทอง ขนก็เป็นขนหมู กระดูกก็เป็นกระดูกเป็ดกระดูกไก่ เนื้อก็เนื้อวัวเนื้อควาย ฯลฯ ไม่มีอะไรเป็นของของเราสักอย่างเดียว แต่เราก็เหมาว่าเป็นของของเรา เป็นนั่นเป็นนี่ ลืมเจ้าของเดิมที่เราเอาเขามา เกิดความหวงแหนในอัตภาพร่างกาย เมื่อถึงเวลาเขาจะมาทวงก็ไม่ยอมให้ จึงเกิดความเดือดร้อนวุ่นวายเป็นความทุกข์ขึ้น ความทุกข์ทรมานอันใดที่เราได้รับจากก้อนกายนี้ ก็คือผลแห่งกรรมที่เราได้เคยทำกับเขาไว้ จะโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อมก็ดี ก็จัดว่าได้เป็นลูกหนี้บุญคุณเขาอยู่ ถ้าเรามีทรัพย์ใช้หนี้เขาเป็นที่พอใจ เขาก็ไม่รบกวนเรา ฉะนั้นท่านจึงให้พากันสร้างสมบุญกุศลไว้ เพื่อไถ่ถอนหนี้สินให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
    พวกสัตว์ต่างๆที่เรากินเขาเข้าไปนี้ ถ้ามันเดินออกมาจากตัวเราได้ทุกๆคนเดี๋ยวนี้แล้ว ไม่พูดถึงสัตว์ใหญ่ๆ เช่น วัวควาย พูดเฉพาะแต่เพียงเจ้าตัวเล็กๆ เช่น กุ้ง ปลา หอย ปู เป็ด ไก่ หมู เท่านั้น ศาลานี้ก็ไม่มีที่จะให้มันอยู่ พวกโยมทั้งหลายก็อยู่ไม่ได้แล้วในวัดอโศการามนี้ คนๆหนึ่งกินหมูเข้าไปกี่ตัว เป็ด ไก่ กุ้ง ปลาคนละกี่เข่ง ถ้าคำนวณดูแล้วก็ไม่ทราบว่าคนๆหนึ่งกินเข้าไปจำนวนเท่าไร ตั้งแต่เราเกิดมาจนบัดนี้ ทั้งที่ไปล่าเอาชีวิตเขามาด้วยตนเองบ้าง ที่คนอื่นเขานำมาให้บ้าง คิดดูสิว่าเขาจะไม่มาทวงหนี้เราอย่างไร ถ้าเราไม่มีให้เขาก็จะต้องยึดทรัพย์เราแน่ เวลาใกล้จะตายนั่นแหละ เขาจะมารุมทวงกันใหญ่ ถ้าไม่มีให้เขาเขาก็จะต้องทำเราลงนอนแผ่ละ ถ้ามีให้เขาพอเพียงก็ไม่เป็นไร ถ้าเราทำบุญกุศลไว้ให้มากๆ ความทุกข์เวทนาอันใดจะมีมา เราก็ต้องสู้ได้ เราก็แบ่งส่วนบุญยอมสละร่างกายคืนให้เขาเสียโดยดี คือปล่อยวางความยึดถือในอัตภาพร่างกาย เราก็จะมีความสุข เราควรรู้ว่า ร่างกายนั้นเขาวางเราและหนีเราไปทุกวันๆ แต่เราสิไม่เคยหนีเขา ไม่ยอมวางเขาเลยสักที เราติดเขาทุกๆอย่าง เหมือนเรากินข้าว ข้าวก็ไม่ร้องไห้สักที มีแต่เราติดมันฝ่ายเดียว
    สุขในอัตภาพร่างกายเป็นความสุขของโลก สุขชั่วขณะหนึ่งแล้วก็จะแปรปรวนไป ไม่ยั่งยืนถาวร จงสังเกตอาหารที่เรารับประทานว่า ความดี ความอร่อย มันอยู่ตรงไหน มันก็เป็นของดีของวิเศษขณะที่วางอยู่ในจานสวยๆเท่านั้น ส่วนความเอร็ดอร่อยก็มีอยู่ขณะที่มันอยู่ในปาก พอพ้นลำคอล่วงไปแล้ว มันจะเป็นอย่างไรแล้วลงในถึงลำใส้ใหญ่จนออกทวาร มันเป็นอย่างไร มันก็แปรรูปไปทุกๆเมื่อ เห็นอย่างนี้แล้วเราก็น่าจะเกิดความเบื่อหน่ายทุกสิ่งทุกอย่างในโลก
    สุขโลกีย์มันก็ดีแต่ใหม่ๆสดๆร้อนๆเท่านั้น เหมือนข้าวสุกที่เราตักใส่จานใหม่ๆ ยังร้อนๆควันขึ้น ก็น่ารับประทาน แต่พอตักไว้นานจนเย็นชืดก็จะกินไม่อร่อย ยิ่งทิ้งไว้จนแข็งเป็นข้าวเย็นก็ยิ่งกลืนไม่ลง พอข้ามวันก็เหม็นบูดต้องเททิ้ง กินไม่ได้เลย
    ส่วนสุขทางธรรมนั้น สุกเหมือนดาวบนท้องฟ้า สุกเหมือนทองคำ สุกดาวนั้นเป็นสุกที่สว่างใส ใครมองเห็นก็ชื่นใจ คนมีทุกข์มองดูก็หายทุกข์ ส่วนทองคำนั้นก็สุกปลั่งเป็นสีเหลืองอยู่เสมอ ใครจะเอาทองคำไปทำเป็นอะไรๆ ทองคำก็ไม่เปลี่ยนสีไปจากเดิม ก็คงสุกเหลืองอยู่อย่างนั้น ไม่กลายเป็นสีอื่นไปได้ สุขธรรมจึงเป็นสุขที่คงที่ ทำความเบิกบานแจ่มใสให้แก่ผู้ปฏิบัติเสมอตลอดกาลนาน บุคคลผู้ฉลาดจึงต้องการแสวงหาความสุขในทางธรรม โดยทิ้งโลกิยสุขอันไม่มีสาระแก่นสารเสีย เพื่อแลกเปลี่ยนกับความสุขที่ถาวร มาบำเพ็ญสมถกรรมฐาน ทำกายและจิตของตนให้ถึงซึ่งความดีงามบริสุทธิ์ อันจักพ้นจากเวรกรรมทั้งปวงได้

    *********
     

แชร์หน้านี้

Loading...