การบำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศ ต้องทำอย่างไร

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย พระวัดหัวเขา, 23 กันยายน 2009.

  1. พระวัดหัวเขา

    พระวัดหัวเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,562
    ค่าพลัง:
    +4,805
    การบำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศ[​IMG]
    มีผู้เคยถามเราเกี่ยวกับเรื่องการบำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศว่า การที่มาเกิดในแต่ละชาตินั้น ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างไร เราจึงขอนำมากล่าวเพื่อความเข้าใจว่า.. ในความหมายของการบำเพ็ญในบารมีต่างๆ นั้น ล้วนคงต้องพึ่งพาอาศัยซึ้งกันและกันคนส่วนใหญ่ไม่เคยสังเกตในความมีความเป็นแห่งตน จึงไม่สามารถรู้ได้กว่าตนเองขาดสิ่งใดมากหรือน้อย เช่น การสังเกตในเรื่องการบำเพ็ญบารมีเรื่องของทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา.

    การบำเพ็ญบารมีทั้งหลายในชาติหนึ่งๆนั้นย่อมต้องบำเพ็ญทั้ง ๑๐ แต่จะหนักไปทางใดนั้นย่อมทราบเองเห็นเองด้วยการสังเกตในสิ่งที่เกิดในปัจจุบัน ว่าเราทำสิ่งใดเกิดความสำเร็จสมประสงค์หรือเป็นไปตามที่เราต้องการ เช่น


    การที่เรานึกคิดเพื่อปฏิบัติธรรมแล้วการปฏิบัติธรรมของเราเป็นไปด้วยดี แสดงว่าการบำเพ็ญบารมีด้านเนกขัมมะมาดี หรือเราตั้งสัจจะคิดทำสิ่งใดก็เป็นไปได้ด้วยดี แสดงว่าการบำเพ็ญบารมีด้านสัจจะ ของเราได้บำเพ็ญมาดีหรืออธิษฐานก็เหมือนกันถ้าทำแล้วสำเร็จสมประสงค์ ก็แสดงว่าใช้ได้เช่นกัน<O:p</O:p

    แต่ถ้าตั้งใจทำอะไรก็ตามแต่เป็นในความไม่สะดวกในทุกเรื่องนั้น แสดงว่าการบำเพ็ญในบารมีทุกอย่างยังใช้ไม่ได้ดังนั้น ควรเร่งบำเพ็ญให้มาก จริงให้มากในสิ่งที่ตนยังไม่มี ในความสำคัญเราไม่ควรประมาทในธรรม หรือในบารมีที่มีอยู่ทั้งหมด ในความหมายในปัจจุบันชาติสิ่งใดที่เต็มก็เต็มไปเราก็จะบำเพ็ญอย่างนี้ตลอดไป ให้เต็มที่ทั้ง ๑๐ทัศ และ๓๐ ทัศ มนุษย์ทุกคนย่อมบำเพ็ญบารมีทั้ง๑๐ อย่าง ในทุกๆ ปัจจุบันชาติจนกว่าบรรลุสู่มรรคผลพระนิพพาน
    ความหมายแห่ง บารมี ๑๐หรือทศบารมี

    ทศบารมี หรือบารมีทั้ง ๑๐ ในความหมายว่าปฏิปทาอัดยวดยิ่ง หรือคุณธรรมที่ประพฤติปฏิบัติอย่างยิ่งยวด คือ ความดีที่บำเพ็ญอย่างพิเศษ เพื่อบรรลุซึ่งจุดหมายอันสูง เช่น ความเป็นพระพุทธเจ้า และความเป็นมหาสาวก เป็นต้น การบำเพ็ญบารมีนั้นท่านกล่าวว่าจะต้องบำเพ็ญให้บริบูรณ์ ต้องให้ครบ ๓ ชั้น


    ๑.บารมี ระดับสามัญ เช่น ทานบารมี ได้แก่ การให้ทรัพย์สินเงินทอง สมบัตินอกกาย
    ๒.อุปบารมี ระดับรอง หรือจวนจะสูงสุด เช่นในทานอุปบารมี ได้แก่ การเสียสละอวัยวะเป็นทาน
    ๓.ปรมัตถ์บารมี ระดับสูงสุด เช่น ทานปรมัตถบารมี ได้แก่การสละชีวิตเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นเป็นต้น
    พระวัดหัวเขา
    ;enter

    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.737597/[/MUSIC]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2022
  2. พระวัดหัวเขา

    พระวัดหัวเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,562
    ค่าพลัง:
    +4,805
    การบำเพ็ญบารมีแห่งพระโพธิสัตว์
    ในการบำเพ็ญนั้นเราจะเห็นได้ในพุทธประวัติแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงบำเพ็ญมาใน "ทศบารมี ๑๐" หรือทศชาติของพระพุทธเจ้า....แต่ก่อนจะเล่าถึงการบำเพ็ญบารมีแต่ละชาติของให้อ่านมาทำความรู้กับ"พระโพธิสัตว์" ก่อน.......
    พระโพธิสัตว์เป็นคำเรียกสำหรับผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และต้องเคยได้รับการพยากรณ์ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ มี ๓ จำพวก คือ ..

    ๑. อุคฆคิตัญญูโพธิสัตว์ ได้แก่ พระโพธิสัตว์ประเภทมีปัญญามากกว่าศรัทธา ใช้เวลาในการบำเพ็ญบารมีน้อยกว่าพระโพธิสัตว์ประเภทอื่น ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด ๒๐อสงไขยกับเศษแสนมหากัป (คือปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา ๗ อสงไขย เปล่งวาจาต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้า ๙ อสงไขย และได้เป็นพระนิยตะโพธิสัตว์ ได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกและบำเพ็ญอีก ๔อสงไขยกับเศษแสนมหากัป จนสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า )

    ๒.วิปจิตัญญูโพธิสัตว์ ได้แก่พระโพธิสัตว์ประเภทมีศรัทธามากกว่าปัญญาใช้เวลาในการบำเพ็ญบารมีนานกว่าอุคฆติตัญญูโพธิสัตว์แต่น้อยกว่าเนยยโพธิสัตว์ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด ๔๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป (คือปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา ๑๔ อสงไขย เปล่งวาจาต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้า ๑๘ อสงไขย และได้เป็นพระนิยตะโพธิสัตว์ ได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกและบำเพ็ญอีก ๘ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป จึงสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า )

    ๓.เนยยโพธิสัตว์ ได้แก่ พระโพธิสัตว์ประเภทมีความเพียรมากกว่าปัญญาใช้เวลาในการบำเพ็ญบารมีนานกว่าพระโพธิสัตว์สองจำพวกข้างต้น ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด ๘๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป (คือ ตั้งความปรารถนาอยู่ในใจ เป็นเวลา ๒๘อสงไขยเปล่งวาจาต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา ๓๖อสงไขย และได้เป็นพระนิยตะโพธิสัตว์ ได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกและบำเพ็ญอีก ๑๖ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป จนสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า )
    สำหรับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดม ทรงเป็นประเภทอุคฆคิตัญญู และทรงบำเพ็ญบารมีมาทั้งสิ้น ๒๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป และทรงบำเพ็ญใน ๑๐ ชาติสุดท้าย ดังนี้.......
    ๑.พระเตมีต์ทรงบำเพ็ญเนกขัมมบารมี
    ๒.พระมหาชนก ทรงบำเพ็ญวิริยบารมี
    ๓. พระสุวรรณสาม ทรงบำเพ็ญเมตตาบารมี
    ๔. พระเนมิราชทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมี
    ๕. พระมโหสถ ทรงบำเพ็ญปัญญาบารมี
    ๖.พระภูริทัต ทรงบำเพ็ญศีลบารมี
    ๗.พระจันทกุมาร ทรงบำเพ็ญขันติบารมี
    ๘.พระนารทะ ทรงบำเพ็ญอุเบกขาบารมี
    ๙. พระวิธูรบัณฑิตทรงบำเพ็ญสัจจบารมี
    ๑๐. พระเวสสันดร ทรงบำเพ็ญทานบารมี

    พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ ทรงบำเพ็ญบารมีทั้ง ๑๐ให้เต็มและควบทั้ง ๓ชั้น ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว วันนี้เราจะเล่าเรื่องการบำเพ็ญในแต่ละชาติของพระพุทธเจ้ า ขณะยังคงเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ ในการบำเพ็ญแต่ละชาติ ล้วนน่าศึกษาเอาเป็นแบบอย่างในการบำเพ็ญบารมี ให้เกิดมีขึ้นแก่ตัวเรา...



    ๑. พระเตมีต์ - เนกขัมมบารมี
    ในตอนนี้จะกล่าวเรื่องการบำเพ็ญ ในการเกิดเป็นพระเตมีย์ชึ่งทรงบำเพ็ญบารมีในการออกบวช ที่เรียกว่า "การบำเพ็ญเนกขัมมบารมี" เรื่องมีอยู่ว่า ....
    ครั้งนั้นพระพุทธเจ้าของเรา เกิดเป็นพระโอรสแห่งพระเจ้ากาสีและพระนางจันทาเทวี ในกรุงพาราณสี นามว่า พระเตมีย์อยู่มาวันหนึ่งพระราชบิดาอุ้มออกว่าราชการโดยให้พระเตมีย์นั้นนั่งอยู่บนตัก <O:p</O:p
    พระเตมีได้เห็นคน ๔คนอยู่ต่อหน้าถูกพระราชบิดา ให้นำคนทั้ง ๔ คนนั้นไปประหารในตอนนั้นพระเตมีย์พระชนม์อายุได้เพียง ๑เดือน ขณะที่มองดูอยู่นั้นพระเตมีย์ก็ทรงระลึกชาติได้ว่า..เมื่ออดีตตนนั้นเคยเป็นกษัตริย์ และได้ตัดสินประหารชีวิตคนมานับเป็นจำนวนมาก เป็นเวลาที่ครองราชย์อยู่ ๒๐ปี เมื่อสวรรคตไดรับทุกข์ในนรกถึง ๘๐,๐๐๐ ปี ในตอนนั้น พระเตมีย์กลัวว่าถ้าเราเป็นกษัตริย์ต้องตกนรกอีกแน่นอนในช่วงนั้นเองมีเทพธิดาองค์หนึ่ง ซึ่งเคยเป็นมารดาในอดีตชาติ บอกให้แกล้งเป็นคนใบ้หูหนวกและเดินไม่ได้(ง่อย)
    พระเตมีย์ ก็ทรงทำตาม เมื่อเป็นเช่นนั้น พระราชบิดาและพระมารดาทรงกลุ้มใจมากทรงพยายามทุกวิธีทางที่จะให้พระเตมีย์ส่งเสียงพูด และเดินก็ไม่เป็นผลจนพระเตมีย์พระชนม์อายุ ๑๖ปีเอาสตรีมายั่วยวนก็ไม่ได้ผล.. เหล่าโหรหลวงกล่าวว่าพระเตมีย์เป็นเสนียดจัญไร ให้เอาไปฝังทั้งเป็น.... แต่ก่อนจะนำไปฝัง พระนางจันทาเทวีด้วยความสงสาร ทรงขอร้องพระบิดาให้พระเตมีย์ขึ้นครองราชย์เป็นเวลา ๗ วัน เพื่อความสุขของพระโอรสหลังจากพระเตมีย์ขึ้นครองราชย์ได้ ๗ วัน ตามคำขอของพระมารดา ในการนั้นพระราชบิดาก็สั่งให้ในพระเตมีย์ไปฝังให้ตายทั้งเป็น ตอนนั้นพระเตมีย์ก็ถูกนำขึ้นราชรถพาไปยังป่าช้า ที่ยังมีศพฝังอยู่ (ป่าช้าผีดิบ) แต่ไปยังไม่ถึงเทวดาได้ดลใจให้สารถีเกิดความเข้าใจผิด เห็นบริเวณป่าใหญ่นั้นว่า เป็นป่าช้าจึงลงจากราชรถเพื่อขุดหลุดฝังพระเตมีย์พระเตมีย์เมื่อเห็นเช่นนั้นก็ลุกเดินออกไปจากราชรถและบอกกับนายสารถีว่า เราจะขอถือบวชไปตลอดชีวิต ให้เจ้าไปบอกพระบิดามารดาด้วยขณะนั้นพระอินทร์ทรงให้วิษณุกรรมเทพบุตรนำบริขารมาให้ ..
    จากนั้นพระเตมีย์ได้บวชเป็นฤาษีทรงบำเพ็ญพรหมวิหารธรรมบรรลุฌานสมาบัติในวันนั้นเองพระบิดามารดาทราบก็ดีใจเมื่อสารถีกลับมาเล่าเรื่องให้ฟัง พระบิดามารดาจึงจัดขบวนเชิญชวนชาวเมืองไปเยี่ยมฤาษีเตมีย์ พระบิดามารดาเมื่อพบได้ฟังธรรมก็เลื่อมใสขอบวชเป็นฤาษีด้วย
    ในตอนนี้เรามาทำความเข้าใจในเรื่องการบำเพ็ญบารมีของพระเตมีย์ในชาตินี้ว่าท่านทรงบำเพ็ญในขันติ(อดทน) ก็มี สัจจะ(จริงใจ)ก็มี เป็นต้น

    ฉะนั้น เราจะเห็นได้ว่าการบำเพ็ญแต่ละชาตินั้น เพื่อให้บารมีเต็มนั้นในชาติหนึ่งๆจะต้องบำเพ็ญบารมีทั้ง ๑๐ให้เป็นไปอย่างสามัคคีกัน คือในชาติหนึ่งๆต้องบำเพ็ญบารมีในทุกบารมีจึงจะสำเร็จประโยชน์ได้..ดังได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น

    วันนี้เท่านี้ก่อน. คราวหน้าจะนำเล่าเรื่องการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าในชาติที่เหลือต่อไป...

    ขอความเจริญในธรรมจงเกิดมีแก่ทุกท่าน.....
    ..พระวัดหัวเขา..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2022
  3. พระวัดหัวเขา

    พระวัดหัวเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,562
    ค่าพลัง:
    +4,805
    พระมหาชนก.jpg
    ๒.พระมหาชนกวิริยบารมี
    การบำเพ็ญเมื่อครั้งพระโพธิสัตว์เกิดเป็นพระมหาชนกตอนนั้นทรงเกิดเป็นราชโอรสของพระเจ้าอริฎฐชนก แต่ต้องมีเหตุให้จากบ้านจากเมืองไปเพราะบิดาถูกฆ่าโดยน้องชายของตน เพื่อชิงบัลลังก์ตอนนั้น พระมหาชนกยังอยู่ในท้องมารดาดังนั้น พระมารดาจึงตัดใจหนีออกมาจากเมืองในครั้งนั้น
    มีเรื่องเล่าว่าพระอินทร์เป็นผู้ขับเกวียนให้พาออกจากนครภายในวันนั้น เมื่อถึงเมืองกาฬจัมปาก์วันเดียวแม้ระยะทาง๓๒๐ โยชน์ จัดเป็นโชคช่วยได้มาพบกับอาจารย์ทิศาปาโมกข์รับเป็นน้องสาวให้ไปอาศัยอยู่ด้วยกัน
    จากนั้นพระมหาชนกก็ออกมาชมโลก และได้ชื่อว่า"มหาชนก"ซึ่งเดิมเป็นชื่อของปู่ซึ่งเป็นพระบิดาของพระเจ้าอริฎฐชนก
    เมื่อเด็กพระมหาชนกจะเฝ้าถามความเป็นมาของชาติกำเนิดตน แต่พระมารดาไม่บอกอยู่มาวันหนึ่งขณะกินนมอยู่ก็กัดเต้านมมารดาไว้แน่นแล้ว ขอให้พระมารดาบอกความจริงของชาติกำเนิดตน พระมารดาก็ย่อมบอกในเรื่องชาติกำเนิด เมื่ออายุได้ ๑๖ปีก็ขอทุนพระมารดา เพื่อขอไปค้าขายหวังหาทรัพย์สมบัติไว้ใช้ในการแก้แค้นและไปจัดหาสำเภาได้แล้วพร้อมพ่อค้าอีก ๗๐๐คนร่วมเดินทางไปด้วยเมื่อออกเดินทางไปได้ประมาณ๓ วันก็เจอพายุเรือสำเภาจมเป็นเหตุให้พ่อค้าและลูกเรือจมน้ำเป็นอาหารปลาร้ายในทะเล(ในช่วงพระมหาชนกเริ่มเดินทางน้องชายของพ่อ (ผู้เป็นอา) ก็ป่วยและในที่สุดก็ตาย)
    ส่วนพระมหาชนกได้กระโดดลงน้ำก่อนสำเภาแตกจึงรอดจากปลาร้ายทั้งหลายเมื่ออยู่ในน้ำพยายามว่ายน้ำไปด้วยความพากเพียรได้ประมาณ ๗วัน ก็ถึงวันพระอุโบสถ(วันพระ)
    <O:p</O:p

    พระมหาชนกก็อธิษฐานสมาทานศีลอุโบสถในเวลานั้นนางเมขลาเหาะมาเจอ (ในอดีตชาติเป็นมารดาของพระมหาชนก) เข้าก็สอบถามพูดคุยกับพระมหาชนกแล้วเห็นความพยายามที่จะว่ายน้ำ แม้ยังไม่รู้จะถึงฝังหรือไม่แต่ก็ไม่ยอมแพ้นางเมขลาจึงอุ้มพระมหาชนกไว้แล้วเหาะไปสู่เมืองมิถิลา
    เมื่อไปถึงก็ได้แต่งงานกับราชธิดาของพระเจ้าโปลชนกโดยได้ทำตามคุณสมบัติที่พระเจ้าโปลชนกตั้งไว้๔ข้อเป็นผลสำเร็จ เป็นที่ชื่นชนของประชาชนมากและครองบัลลังก์เป็นผลสำเร็จดังใจหวังเมืออยู่ไปได้ราชโอรสหนึ่งองค์ก็ให้ช่วยดูแลราชบัลลังก์
    ส่วนตนก็ดำเนินการปฏิบัติตนด้วยการรักษาศีลให้ทานโดยได้นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้ามารับภัตตาหารเป็นประจำ (ในความหมายของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นคือเป็นพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้เองแล้วจะไม่สอนใคร เพราะเหตุเมื่อพิจารณาแล้วธรรมทั้งหลายยากที่บุคคลทั่วไปจะรู้ได้จึงไม่สอนใครพระปัจเจกพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้น ก็ต่อเมื่อเป็นช่วงเวลาที่ว่างจากพระพุทธเจ้าเท่านั้นเมื่อยู่ถึงอายุขัยแล้วก็ดับขันธ์ไป
    ในการดำรงอยู่ของพระมหาชนกในบางครั้งก็ถือศีล เป็นเวลานาน ๔ เดือน ทำแบบนี้ตลอดจนออกบวชอยู่ป่าบำเพ็ญศีลภาวนาจนพระนางสีวลีผู้เป็นมเหสีต้องออกตามขอร้องให้กับพระนครก็ไม่กลับกลับบอกว่าจะบวชอยู่ตลอดไป
    การบำเพ็ญบารมีนั้นในชาติแห่งพระโพธิสัตว์นั้น ต้องบำเพ็ญควบคู่กันไปทุก ๆ บารมี พระมหาชนกก็เช่นกันท่านทรงบำเพ็ญทั้งทานบารมี ศีลบารมีเนกขัมมบารมี แต่ที่มากและสำคัญคือ วิริยบารมี คือ ความพากเพียร พยายาม
    ในเรื่องนี้เราสามารถเป็นตัวอย่างนำไปปฏิบัติได้ ในหน้าที่การงานและในทุกสิ่งที่มีอุปสรรค ปัญหา เรา็ใช้ความเพียรพยายามแก้ไขให้สำเร็จลงได้ จึงมีคำกล่าวว่า บุคคลล่วงทุกข์ได้ เพราะความเพียร
    เราจะเห็นได้ว่าในตอนที่พระมหาชนกว่ายน้ำอยู่ท่านยังสมาทานศีลอุโบสถเลยแล้วเราจะไม่รักษาศีลบ้างหรือ ในเมื่อศีลรักษาได้ไม่เลือกกาลเวลา ดังนี้ .......
    ขอความเจริญในธรรมจงเกิดมีแก่ทุกท่าน.....

    พระวัดหัวเขา
    :cool:<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2022
  4. Heureuse

    Heureuse เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2008
    โพสต์:
    857
    ค่าพลัง:
    +3,446
    อนุโมทนาสาธุ เเละนมัสการค่ะพระวัดหัวเขา อยู่ที่สุพรรณหรือป่าวคะ?
     
  5. พระวัดหัวเขา

    พระวัดหัวเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,562
    ค่าพลัง:
    +4,805
    <> สวัสดี ....
    <><> เปล่าไม่ได้อยู่สุพรรณ
    <><><> พระวัดหัวเขา.... นาโพธิ์ .....
     
  6. E-BanK-*

    E-BanK-* สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +10
    รอฟังอยู่ครับบบ
    อยากฟังให้ครบ 10 ชาติ เร็วๆ จัง
     
  7. พระวัดหัวเขา

    พระวัดหัวเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,562
    ค่าพลัง:
    +4,805
    มาแล้ว...ตามคำขอ...เมตตาบารมี

    ๓. พระสุวรรณสาม -เมตตาบารมี

    พระสุวรรณสามเป็นลูกของฤาษีทุกุลกับนางฤาษีณีปาริกาการเกิดแห่งสุวรรณสามนั้นเกิดโดยการที่ฤาษีทุกุลเอามือลูบท้องนางฤาษีณีปาริกาแล้วนางฤาษีณีก็ตั้งท้องไม่นานสุวรรณสามก็เกิด จัดว่าเป็นเด็นที่มีเมตตา โอบออ้มอารี มีจิตใจสูงส่งสัตว์ที่อยู่ในป่าล้วนเป็นมิตรเมื่อพ่อแม่ไปเก็บผลไม้ในป่าก็จะมีพวกกินรีมาคอยดูแลเสมอสุวรรณสามเป็นเด็กฉลาดและกตัญญูเมื่อพ่อแม่เดินทางเข้าป่ามักสังเกตทางเดินที่พ่อแม่เดินเข้าไปเพื่อว่าหากเกิดอันตรายจะได้ตามช่วยได้ทัน..

    ในการเกิดของสุวรรณสามลืมบอกไป..พ่อ(ฤาษีทุกุล)เป็นลูกนายพรานได้แต่งงานกับแม่(นางฤาษีณี) แต่ทั้งแม่และพ่อต่างมีความคิดเห็นว่าการครองเรือนเป็นทุกข์ และยังไม่ชอบในเรื่องกามเมฯด้วยดังนั้นจึงชวนกันออกบวชเป็นฤาษี
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ในครั้งนั้นเองมีพระอินทร์ท่านรู้ว่า อีกไม่นานฤาษีทั้งสองตนต้องลำบาก เพราะตาต้องบอดทั้งสองตนจึงเหาะลงมาบอกให้พ่อ(ฤาษีทุกุล)เอามือลูบท้องแม่(นางฤาษีณีปาริกา)จึงได้ท้องและคลอดสุวรรณสามออกมา เป็นชายผิวคล้ำสะอาดงดงาม
    การที่ฤาษีทั้งสองตาบอดเพราะเข้าไปหาผลไม้ในวันนั้นฝนตกหนักจึงเข้าไปหลบฝนที่ใกล้จอมปลวกในต้นไม้ได้มีงูเห่าออกมาเจอจึงแผ่พังพานพ่นพิษใส้ฤาษีทั้งสองทำให้ฤาษีทั้งสองตาบอดสนิททันที ฝ่ายสุวรรณสามเห็นฝนตกหนักก็คิดเป็นห่วงพ่อแม่จึงออกตามเมื่อไปเจอพ่อแม่ ก็รู้ว่าพ่อแม่ได้ตาบอกแล้วเกิดความเสียใจร้องไห้ แล้วสักพักก็หัวเราะ พ่อแม่เกิดสงสัยจึงถาม ได้คำตอบว่าร้องไห้เพราะสงสาร หัวเราะเพราะดีใจทีจะได้เลี้ยงดูพ่อแม่ ขณะนั้นสุวรรณสามอายุได้๑๖ปี เฝ้าปรนนิบัติดูแลทำทางเดินไปถ่าย และที่พักในเวลากลางวันและกลางคืนที่กินข้าว ที่เดินจงกลม เป็นต้น...
    ต่อมาสุวรรณสามออกไปเก็บผลไม้ในขณะที่ลงไปตับน้ำก็ถูกยิงด้วยลูกธนูอาบยาพิษเลือดไหลนองท่าน้ำฝูงสัตว์ที่อยู่ใกล้ไกลต่างแตกตื่นวิ่งหนี้ไปเมื่อรู้ว่า ตนถูกยิงก็ประคองกายมิให้ล้ม แล้วนอนหันศีรษะไปหาอาศรมทีอยู่ของพ่อแม่แล้วพูดว่า
    <O:p</O:p
    ใครหนอทำร้ายเรา เป็นกษัตริย์เป็นพราน ธรรมดาฆ่าเสือเอาหนังแต่ฆ่าเราไม่ได้ประโยชน์เลยแล้วยังหลบหน้าไม่ให้เรารู้จัก จงออกมาเถิด<O:p</O:p
    <O:p</O:p


    พระเจ้ากปิลยักษ์เมื่อได้ฟังเสียงที่อ่อนหวาน จึงออกมาและได้พูดคุยกันว่าตัวที่ถูกยิงตายไปไม่เป็นไร แต่พ่อแม่เราคงร้องไห้ไม่หยุด แล้วใครจะดูแลท่านตาท่านก็บอดเมื่อเราไม่อยู่ใจท่านคงแตกสลาย..
    ต่อมาสุวรรณสามก็สลบไปพระเจ้ากปิลยักษ์คิดว่าสิ้นใจแล้วก็ไปที่พักของฤษีทั้งสองบอกความผิดของตนแล้วพาฤษีทั้งสองไปยังร่างของลูกชายตนเมื่อจับดูรู้ว่ายังไม่ตายจึงอธิษฐานในความดีของสุวรรณสาม
    ในตอนนั้นนางสุนทรีเทพธิดาผู้เคยเป็นแม่ของสุวรรณสามมาแล้ว ๗ชาติก็อธิษฐานช่วย และความอัศจรรย์ ๔อย่างก็เกิดขึ้น.....สุวรรณสามฟื้น พ่อแม่ตาก็หายเป็นปกติ แสงอรุณขึ้นพอดี ทั้งสี่คนลอยสู่อากาศไปลงที่อาศรมในกาลต่อมาทั้งสามคนก็บำเพ็ญสมณะธรรม จนสิ้นอายุแล้วไปเกิดในพรหมโลก....
    ในการบำเพ็ญบารมีในชาตินี้ เราจะเห็นได้ว่าพระโพธิสัตว์ของเราทรงมีเมตตาต่อสรรพสัตว์และแม้แต่ผู้ที่ทำร้ายตนก็ยังทรงให้ความเมตตาอภัยให้การบำเพ็ญเมตตาบารมีนั้นพระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญมากในชาตินี้แต่ก็ยังทรงบำเพ็ญศีลทาน(อภัยทาน) เนกขัมมะ สัจจะด้วย<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ฉะนั้น ในชาติหนึ่งๆนั้น เราก็ควรบำเพ็ญบารมีที่เกิดขึ้นในขณะที่รู้คือ เมื่อต้องให้ก็ควรให้เมื่อต้องจริงใจก็ต้องจริงใจ ดังนี้ ในตอนหน้าจะกล่าว
    ในความหมายแห่งเมตตา คือ..ความรักโดยไม่ปรารถนาที่จะครอบครองหรือให้ได้มาในสิ่งที่รัก เพราะเราต่างรู้ว่าบุคคลและสัตว์ทั้งหลายล้วนมีเกิด แก่ตาย เป็นไปตามสภาพที่ไม่จีรัง ทุกสรรพสิ่งล้วนมีสภาพเดียวกันในความเมตตาจัดได้ว่า เป็นความรักอันประเสริฐทีมีแต่ให้และปรารถนาดี
    อานิสงส์แห่งเมตตา...มีดังนี้.....
    - นอนเป็นสุข ตื่นเป็นสุข
    - ไม่ฝันร้าย

    - เป็นที่รักแห่งมนุษย์ทั้งหลาย
    - เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลายเป็นที่รักแห่งเทวดา
    - ไฟ ยาพิษและอาวุธไม้กล้ำกราย
    - จิตใจย่อมเป็นสมาธิเร็ว

    - ผิวหน้าผ่องใส
    - เมื่อจะตายก็ไม่หลงทำกิริยา
    - เมื่อไม่บรรลุธรรมเบื้องสูง แต่อย่างต่ำก็ไปเกิดในพรหมโลก<O:p</O:p
    ขอธรรมแห่งเมตตา จงเกิดมีขึ้นในท่านทั้งหลาย
    ขอเจริญในธรรมปฏิบัติ.....

    พระวัดหัวเขา<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2022
  8. พระวัดหัวเขา

    พระวัดหัวเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,562
    ค่าพลัง:
    +4,805
    เพิ่งเสร็จงานกฐินมา... โมทนากับหลวงพ่อด้วยนะ....

    ๔. พระเนมิราช-อธิษฐานบารมี
    พระเนมิราช ทรงเป็นพระราชาครองเมืองมิถิลาพระองค์สืบเชื้อสายจากพระเจ้ามฆเทวะ ในราชวงค์นี้จะสละราชบัลลังก์ออกบวชทุกพระองค์เมื่อใดทรงพบพระเกศาหงอกเพียงเส้นเดียวก็จะออกบวชทันที จนครบ ๘๔,๐๐๐ พระองค์ในพระเจ้าเนมิราชจัดเป็นองค์ที่ ๘๓,๙๙๙
    พระเจ้าเนมิราช ครั้งเมื่อครองราชย์สั่งสร้างโรงทานไว้หลายแห่ง เพื่อไว้บริจาคทาน และยังทรงชอบรักษาศีลนอกจากพระองค์จะทรงบริจาคทานและรักษาศีลเฉพาะตนแล้ว พระองค์ยังคงชวนชาวบ้านประชาชนทำการให้ทานรักษาศีลด้วยจนชื่อเสียงขจรไปทั่วแผ่นดิน และขจรขจายไปสู่สวรรค์ด้วย <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เหตุที่ชื่อเสียงขจรไปสู่สวรรค์นั้น เพราะชาวเมืองที่ชราแก่เฒ่าได้ตายไปเกิดในสวรรค์ก็นำเอา เรื่องคุณความดีไปเล่าให้เทวดาทั้งหลายได้ฟัง..จึงเป็นเหตุให้พระอินทร์และเทวดาทั้งหลายอยากเห็นพระองค์

    ในคืนหนึ่งพระเนมิราชเกิดสงสัยว่า ทาน หรือศีล สิ่งใดมีอานิสงส์มากกว่ากัน เมื่อใกล้สว่างพระอินทร์เสด็จลงมาบอกว่า ทานให้ผลแก่โลกมนุษย์ แต่ศีลให้ผลทั้งโลกมนุษย์และสวรรค์ไปจนถึงพรหมและเข้าสู่นิพพาน

    ดังนั้นศีลย่อม มีอานิสงส์มากกว่า เมื่อพระอินทร์กลับไป ก็ไปเล่าเรื่องความดีงามของพระเจ้าเนมิราชให้เทวดาทั้งหลายฟังเหล่าเทวดาต่างอยากเห็นจึงให้มาตาลีเทพบุตรมารับพระเจ้าเนมิราชไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก่อนถึงสวรรค์นั้นมาตลีเทพบุตรได้พาพระเจ้าเนมิราชไปเทียวชอบนรกทั้ง ๑๕ ขุมเช่น นรกบ่อไฟนรกสุนัข นรกหม้อทองแดง เป็นต้น และยังพาชมสวรรค์ทุกๆชั้น เช่น
    <O:p</O:p
    วิมานของวารุณีเทพธิดา ซึ่งเป็นวิมานแก้วมณีมีสวนและสระโบกขรณีน่ารื่นรมย์เหตุเมื่อครั้งสมัยองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า <O:p</O:p
    พระกัสสปพุทธเจ้า นั้น นางวารุณีเกิดเป็นคนใช้ของพราหมณ์ และทำหน้าที่จัดภัตตาหารถวายพระสงฆ์ด้วยอานิสงส์ที่มีใจรักในหน้าที่ และศรัทธาในบุญจึง ได้เกิดในสวรรค์...<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พระเจ้าเนมิราชอยู่บนสวรรค์ได้๗ วันก็กลับสู่โลกมนุษย์เมื่อกลับมาพระเจ้าเนมิราชได้เล่าเรื่องต่างๆที่เห็นให้แก่พสกนิกรฟังและอีกไม่นานในวันหนึ่งพระองค์ทรงเห็นพระเกศาหงอกก็เกิดความสลดใจจึงออกบวช ดังเช่นเดียวกับบุรพกษัตริย์ของตนพระเจ้าเนมิราชจัดเป็นองค์ที่ ๘๔๐๐๐ พอดี ในราชวงค์มฆเทวะ.....
    ในการบำเพ็ญอธิษฐานบารมีนั้นพระโพธิสัตว์มีการเห็นซึ่งความไม่เที่ยงของสังขารและแม้สรรพสิ่งในโลกล้วนไม่เที่ยงดังนั้นจึงตั้งจิตอธิษฐานในความเป็นไปแห่งชีวิตเพื่อการเข้าถึงเป้าหมายตามคำอธิษฐานไว้อย่างเด็ดเดียวเมื่อถึงเวลาอันควร..ในเรื่องกล่าวว่าราชวงศ์มฆเทวะนั้นได้ทรงอธิษฐานออกบวชทุกองค์ในจำนวน ๘๔๐๐๐ องค์ โดยเป็นเจตตาสืบต่อกันมา..ดังนี้..
    อนุโมทนาขอเจริญในธรรม
    พระวัดหัวเขา....นาโพธิ์

    O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2022
  9. หลงวัฏ

    หลงวัฏ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +31
    อนุโมทนาคับ

    พระรัตนตรัย
    พระพุทธะ พระธรรมะ และพระสงฆ์
    ล้วนต่างองค์ เป็นสามพระ หรือไฉน
    หรือเป็นองค์ เดียวกัน ที่ชั้นใน
    ดูเท่าไร ก็ไม่เห็น เป็นสามองค์
    นั่นถูกแล้ว ถ้าดูกัน แต่ชั้นนอก
    คือดูออก มีพุทธะ จอมพระสงฆ์
    ได้ตรัสรู้ ซึ่งพระธรรม ทรงจำนง
    สอนพระสงฆ์ ทั้งหลาย ให้รู้ตาม
    แต่เมื่อดู ชั้นใน กลับได้พบ
    ว่าธรรมหนึ่ง ซึ่งอยู่ครบ ในพระสาม
    ทั้งพุทธ สงฆ์ หรือว่าองค์ พระธรรมงาม
    ล้วนมีความ สะอาด สว่าง สงบ บรรจบกัน ฯ
    *** กลอนของ ท่าน พระธรรมโฆษาจารย์ (พุทธทาสภิกฺขุ) ***
     
  10. พระวัดหัวเขา

    พระวัดหัวเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,562
    ค่าพลัง:
    +4,805
    ๕. พระมโหสถ ทรงบำเพ็ญปัญญาบารมี

    มาว่ากันเรื่องการบำเพ็ญปัญญาบารมี .....
    ในครั้งที่พระพุทธเจ้าของเราเสวยพระชาติเป็นมโหสถในสมัยแห่งพระเจ้าวิเทหราชหะเมืองมิถิลา มโหสถเข้ารับราชการเป็นราชบัณฑิตแห่งพระเจ้าวิเทหราช เดิมทีพระเจ้าวิเทหราช ทรงมีนักปราชญ์ราชบัณฑิตประจำ ราชสำนัก ๔ คน คือ เสนกะ ปุตกุสะ กามินท์ และ เทวินทะและมโหสถเป็นคนที่ ๕ ซึ่งเป็นราชบัณฑิตที่หนุ่มที่สุดเรื่องมีอยู่ว่า... <O:p</O:p
    <O:p</O:p


    มโหสถเป็นลูกเศรษฐี ชื่อ สิริวัฒนะ ภรรยาชื่อ นางสุมนาเทวี มโหสถกุมารเกิดในหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองเล่ากันว่า ในวันที่เกิด มีเทวดามามอบยาวิเศษให้ จัดเป็นยาที่รักษาได้ทุกโรคดังนั้น จึงได้ชื่อว่า "มโหสถ" แปลว่า "ผู้มียาขนานเอกยาที่ว่านั้นก็คือ"สติปัญญา"นั้นเอง.....
    เมื่ออายุได้๑๖ ปี มโหสถพบกับหญิงสาวชาวนาคนหนึ่ง เธอเป็นคนสวย ฉลาด เป็นผู้มีศีลมโหสถได้คบหาลองใจ ดูใจกันจนเกิดความมั่นใจ จึงแต่งงานและก็ได้เข้ารับราชการเป็นราชบัณฑิตในราชวัง...
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ด้วยเหตุที่มโหสถฉลาดในทุกเรื่องแก้ปัญหาต่างๆได้ดี จึงเป็นเหตุให้ราชบัญฑิตทั้ง๔ คน มักหาเรื่องใส่ความแก่มโหสถแต่ก็ไม่เป็นผล เพราะมโหสถแก้ปัญหาได้ตลอด..ในเรื่องกล่าวว่า มโหสถฉลาดในการออกแบบก่อสร้างตั้งแต่อายุ ๗ขวบคือ ออกแบบได้สวยงามแล้ว ยังใช้ประโยชน์ได้คุ้มทุนที่ก่อสร้างไปไม่ว่าจะเป็นที่พักริมทางก็จะมีห้องพักโดยจัดเป็นห้องๆ เช่นที่พักพระสงฆ์ที่อาศัยคนยากจน ที่พักพ่อค้าคนเดินทาง และยังจัดห้องพักในการคลอดลูกยามฉุกเฉินด้วยเป็นที่พอใจของคนที่ได้บริจาคทรัพย์ช่วยเหลือในการก่อสร้าง...

    <O:p</O:p
    ในเรื่องของปัญญาของมโหสถนั้น จัดได้ว่า เป็นบัณฑิตที่สามารถแก้ปัญหา หรืออุบายต่างๆได้ดีเป็นผู้ฉลาดในการแก้ปริศนาได้ดี<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    มีครั้งหนึ่งพระเจ้าวิเทหราชทรงรับสั่งให้ชาวบ้านนำ วัวเผือกมี เขาที่ขามีโหนกที่หัวและสามารถร้องได้ ๓เวลา คือ ให้นำไปให้พระองค์โดยด่วน<O:p</O:p
    ข่าวนี้รู้ถึงมโหสถก็รู้ได้ว่า ต้องเป็นปริศนาแน่นอนว่า พระราชาคง หมายถึง ไก่ขาวตัวผู้ เพราะไก่ตัวผู้มีเดือยที่เท้าเหมือนเขาวัวและมีหงอนที่หัวเหมือนโหนกวัว ไก่มักขันวันละ ๓เวลา นำเข้าถวายพระราชา<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เรื่องแสดงให้เห็นถึงการไขปริศนาแก้ปัญหาได้ด้วยปัญญา.....เอาจะกล่าวให้เห็นถึงปัญญาของมโหสถอีกสักเรื่อง....เรื่อง การวินิจฉัยพิจารนาให้ความเป็นธรรม มีเรื่องเล่าว่า ...
    มีหญิงคนหนึ่งวางลูกไว้ริมสระน้ำ แล้วลงอาน้ำอยู่ในช่วงนั้นมีหญิงคนหนึ่งมาอุ้มลูกเธอไปหญิงผู้เป็นแม่ก็ขึ้นจากน้ำเข้าไปทวงลูกคืน แต่หญิงคนนั้นไม่ยอมคืนให้ จึงเกิดเป็นคดีความขึ้น เพราะต่างฝ่ายต่างว่าเป็นลูกของตนดังนั้น จึงต้องมีผู้ตัดสินด้วยหลักฐานและเหตุผล ท่านมโหสถจึงต้องตัตสินในเรื่องนี้โดยมีชาวบ้านจำนวนมากมาฟังการตัดสินด้วย
    ท่านมโหสถ จึงตัดสินด้วยการให้หญิงทั้งสองจับเด็กคนละข้าง คือคนหนึ่งจับขาคนหนึ่งจับมือแล้วแบบเส้นเขตให้หญิงทั้งสองดึงเด็ก เมื่อเริ่มดึงเด็กก็ร้องเพราะเจ็บปวดหญิงผู้เป็นแม่ก็ปล่อยเด็กทันที เท่านี้ มโหสถก็รู้ว่า ใครเป็นแม่ของเด็กเพราะย่อมมีความรักเมตตาไม่ยอมให้ลูกเจ็บปวดได้นางจึงได้ลูกของนางคืนชาวบ้านต่างชื่นชมมโหสถเป็นอย่างมาก
    ในการแก้ปัญหาของมโหสถนั้น มีมากหลายเรื่อง เช่นเรื่องโจรขโมยวัว มโหสถก็แก้ได้และมโหสถแสดงเหตุผลในการเห็นผิดในเรื่อง"ทรัพย์กับปัญญาอันไหนประเสริฐกว่ากัน"เรื่องนี้ มโหสถได้เข้ารับราชการแล้วและเหล่าบัญฑิตที่อยู่เก่า ก็เกิดการริษยาที่พระราชาโปรดปรานมโหสถ......จึงเกิดการโต้ตอบกันต่อหน้าพระพักตร์ของพระราชา
    <O:p</O:p


    คำถามว่า"คนมีทรัพย์กับคนมีปัญญาใครจะดีกว่ากัน".....<O:p</O:p

    <O:p</O:p

    เหล่าเสนกะอำมาตย์กล่าวก็ว่า.."คนในโลกไม่ว่าคนดีหรือชั้วมีความรู้หรือไม่มีความรู้ จะเป็นคนตระกูลสูงหรือต่ำก็ตามหากไม่มีทรัพย์ย่อมเป็นคนรับใช้ของคนมีทรัพย์เพราะคนมีทรัพย์ย่อมเป็นนายคนที่ไม่มีทรัพย์แม้คนนั้นจะมีปัญญามากก็ตามก็ย่อมเป็นคนใช้ของคนมีทรัพย์อย่างแน่นอน".....
    ส่วนมโหสถ ก็กล่าวทูลว่า "ธรรมดาคนมีทรัพย์แต่อัปปัญญาย่อมทำแต่สิ่งไม่เป็นประโยชน์มีทั้งในปัจจุบันและอนาคตส่วนคนมีปัญญามักเห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์และมุ่งประโยชน์เป็นหลัก ก็ประโยชน์มิใช้หรือที่เป็นเป้าหมายของการมีทรัพย์ ทรัพย์นั้นไม่มีคุณค่าในตัวมันเองหากไม่นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ฉะนั้น คนมีปัญญาจึงเห็นประโยชน์มากกว่าคนมีทรัพย์ดังนั้นคนมีปัญญาย่อมดีกว่า".....
    เมื่อได้ฟังคำตอบแล้ว...เสนกะอำมาตย์ก็แย้งว่าท่านมโหสถกล่าวอ้อมค้อมพระองค์อย่าเชื่อ ในโลกนี้คนมีทรัพย์ทั้งหลายที่เห็นก็มีแต่เป็นนายคนอยู่เหนือทุกคนและยังทำให้คนทั้งหลายมีงานทำมีอยู่มีกินเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่มีผลดกย่อมเป็นที่อาศัยของนกกาแต่คนมีปัญญาแต่ไร้ทรัพย์ก็เหมือนต้นไม้ที่ไม่มีผลก็ไม่มีประโยชน์แก่นกกาหรือใครเลยดังนี้.
    มโหสถ เมื่อได้ฟังก็กล่าวทูลต่อไปว่า "คนมีทรัพย์ที่ขาดคุณธรรมและปัญญาไม่รู้ผิด ชอบชั่วดีมีแต่ความโลภเห็นแก่ตัวโดยไม่รู้จักการดูแลทรัพย์ให้ทรัพย์นั้นเกิดประโยชน์ แต่กลับนำทรัพย์ไปสร้างอำนาจเพื่อตัวเพื่อตนโดยไม่คิดถึงความดีงาม<O:p</O:p
    ฉะนั้น เขาคนนั้นก็เหมือนตันไม้ที่มีผลเป็นพิษ แม้มีผลมากก็ทำให้นกกามาอาศัยกินอยู่ก็ตายจากไปเหมือนคนใช้ที่อาศัยอยู่ได้ ตายจากความดีงาม ประสบกับความพินาศส่วนคนที่มีปัญญามักสอนดูแลแนะประโยชน์ให้คนทั้งหลายแสวงหาทรัพย์แต่ในทางสุจริตดังนั้นคนมีปัญญาย่อมดีกว่า".....
    ในตอนนี้อำมาตย์เริ่มหงุดหงิดแล้วกล่าวทูลว่า.."คนมีทรัพย์ไปที่ใดก็ดูดีแต่คนมีปัญญาไปไหน หรือเข้าใกล้คนมีทรัพย์มักดูอับเฉาไม่องอาจ ดูไม่หน้าเชื่อถือ "
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    มื่อมโหสถได้ฟัง ก็แก้ว่า " โดยหลักการ คนมีปัญญาเมื่ออยู่ที่ใดย่อมดูดีสง่าผ่าเผยมากกว่าคนโง่แม้การกระทำของตนมีปัญญาก็ทำด้วยเหตุด้วยผล แต่คนโง่มักกระทำสิ่งที่ไร้เหตุไร้ผลในความจริงเราจะมีทรัพย์ได้นั้น จะต้องมีป้ญญาเป็นเครื่องนำไปหาทรัพย์เพราะกิจการงานทุกอย่างล้วนต้องอาศัยปัญญานำทาง ฉะนั้น ปัญญาย่อมดีกว่า"<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    นที่สุดอำมาตย์ทั้ง ๔ ก็ยอมหมดข้อที่จะตอบโต้อีก...แต่เรื่องยังไม่จบเพราะความอิจฉาตาร้อนแห่งอำมาตทั้ง ๔คนยังไม่ยอมแพ้....
    มาว่ากันต่อเรื่องปัญญาของท่านมโหสถ... เหล่าอำมาตย์ทั้ง ๔คนยังคงชักชวนกันใส่ความแก่ท่านมโหสถอยู่ตลอดเวลา แม้ในบางครั้งพระราชาไม่ทรงเชื่อก็ตามก็ยังคงสร้างเรื่องให้ท่านมโหสถอยู่ตลอด
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    จนในวันหนึ่งได้กล่าวทูลพระพระเจ้าวิเทหะว่า ท่านมโหสถคิดใช้ปัญญาและความสามารถล่มล้างราชบัลลังก์ของให้พระองค์ระวังไว้ในครั้งนี้พระเจ้าวิเทหราชทรงเชื่อ จึงเป็นเหตุให้มโหสถออกจากเมืองไป....อยู่ในชนบทชายแดนของเมือง<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    หลังจากท่านมโหสถออกไป เมื่อมีปัญหาต่างๆก็ไม่มีใครแก้ไขได้...ดังนั้นพระวิเทหะจึงสั่งให้ตามมโหสถกับมาแก้ปัญหาที่เทวดาถามไว้.........

    ปัญหาที่ท่านมโหสถกลับมา จึงแก้ไขปัญหาถามว่า.....

    ๑.ใครเอ่ยยิ่งเตะ ยิ่งชก ยิ่งต่อย ยิ่งตีก็ยิ่งเป็นที่รัก.....<O:p</O:p
    ๒. ใครเอ่ยยิ่งด่ายิ่งแช่งก็ยิ่งเกิดความรักใคร่เอ็นดู.....<O:p</O:p
    ๓. .ใครเอ่ยยิ่งกล่าวร้าย ใส่ความก็ยิ่งเป็นที่รักของกันและกัน..<O:p</O:p
    ๔. ใครเอ่ยยิ่งขนเอาสิ่งของไปก็ยิ่งเป็นที่รักที่นับถือของเจ้าของทรัพย์.... <O:p

    ท่านมโหสถก็แก้ไขปัญหาว่า....
    ๑.บุคคลผู้ยิ่งเตะยิ่งต่อยยิ่งตีที่เป็นที่รักนั้น...ได้แก่..ทารกน้อยๆ ผู้นอนอยู่บนตักมารดา มักหยอกล้อเล่นกับมารดาแล้ว เตะต้อยทุบตีมารดาด้วยมือและเท้าที่อ่อนนุ่มแม้เด็กน้อยตัวเล็กจะดึงผมตีปากมารดาด้วยกำปั้น ก็ยิ่งเป็นที่รักของมารดา....
    ๒.บุคคลที่ยิ่งด่ายิ่งแช่งก็ยิ่งเป็นที่รัก..ได้แก่.. มารดา ผู้ด่าแช่งบุตรน้อยของตนผู้มีอายุเข้า๗-๘ ขวบ ชึ่งวิ่งเล่นซุกซนตามประสาเด็กเมื่อแช่งด่าแล้วก็เกิดความเมตตารักใคร่บุตรน้อยของตนมากขึ้น....
    ๓.บุคคลที่ยิ่งกล่าวร้ายใส่โทษกันและกันแล้ว ยิ่งเป็นที่รักของกันและกัน..ได้แก่..สามีภรรยาที่อยู่ด้วยกันใหม่ๆ เมื่ออยู่สองต่อสองก็แกล้งใส่โทษกันและกันว่า "เธอไม่รักฉัน เธอไปมีคนอื่นหัวใจเธอไม่อยู่กับฉัน"เป็นต้น..โดยโต้ตอบหยอกเย้ากันไปมาอย่างนี้ก็ยิ่งทำให้รักกันมากขึ้น......
    ๔.บุคคลที่ยิ่งขนเอาของไปก็ยิ่งเป็นที่รักที่นับถือของเจ้าของนั้น....ได้แก้..สมณพราหมณ์ ผู้มีศีลมีธรรมปฏิบัติที่ดีงาม ซึ่งนำเอาปัจจัย๔ ของชาวบ้านไปยิ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้าน....

    เมื่อการแก้ปัญหาจบลงพระเจ้าวิเทหราช ตรัสถามมโหสถว่า โกรธใครหรือไม่มโหสถบอกไม่โกรธ เพราะบุคคล ๔พวกนี้ เป็นบุคคลดูไม่ดีงามคือ..คฤหัสถ์ผู้เกียจคร้าน... บรรพชิตผู้ไม่สำรวม...ผู้ครองเรือนที่ไม่มีวิจารณญาณ... และนักปราชญ์ขี้โกรธ....ดังนี้...
    พระราชาถามต่อว่า "ท่านเป็นบัณฑิตมีปัญญา เมื่อตกทุกข์ได้ยาก
    คิดจะทำชั่ว เพื่อเอาตัวรอบบ้างไหม"...<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    มโหสถตอบว่า "บัณฑิตที่แท้จะไม่ทำชั่วเพื่อเอาตัวรอบเพราะการทำชั่วนั้นจะเป็นการซ้ำเติมชะตาชีวิตให้ตกต่ำอีกด้วยอำนาจแห่งกรรมชั่ว...

    นอกจากไม่ทำแล้วยังคิดตอบแทนคุณท่านอีกไม่คิดทรยศต่อผู้มีคุณอีกแม้ต้นไม้ที่เข้าไปอาศัยร่มเงาก็ไม่หักกิ่งไม้ตันนั้นแม้ถ้าทำเช่นนั้นก็ถือว่าทำร้ายผู้มีคุณ"...
    นอกจากนี้ ท่านมโหสถยังมีความสามารถในการวางยุทธศาสตร์ เพื่อรักษาเมืองไว้ได้เมื่อครั้งมีศัตรูเข้ารุกราน เพื่อยึดเมือง แต่ด้วยแผนการของ มโหสถ จึงรอดพ้นได้...
    นี้เป็นเรืองที่เราควรพิจารณาว่า ปัญญานั้นมีความสำคัญในการดำรงชีวิตเมื่อชีวิตปัญหา..ปัญญาสามารถช่วยแก้ไขได้..พระพุทธเจ้าจึงสอบให้เราใช้ปัญญาในทุกๆเรื้อง....

    ขอจบปัญญาบารมี...เพียงเท่านี้
    ขอเจริญในธรรม.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2022
  11. พระวัดหัวเขา

    พระวัดหัวเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,562
    ค่าพลัง:
    +4,805
    มารักษาศีลกัน ศีลเป็นเหตุให้ได้เกิดในสวรรค์....

    ๖.พระภูริทัตต์-ศีลบารมี
    มาดูต่อในเรื่องบารมี ๑๐ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา พระนาม พระสมณโคดม ...ในเรื่อง"ศีลบารมี"
    ในการบำเพ็ญบารมีแห่งพระพุทธเจ้าในชาติที่เสวยพระชาติเป็น พระภูริทัตต์ในชาตินั้นกล่าวว่า แม้ตนจะถูกทรมานทำให้เจ็บปวดเจียนตายท่านก็ไม่คิดที่จะทำร้ายคนที่ทรมานตนด้วยเหตุเกรงว่า ศีลจะขาดหรือเสียศีล...มีเรื่องเล่าว่า...พระนางสุมททชา ซึ่งเป็นธิดาของพระเจ้าพรหม มีมารดาเป็นนาคและได้อภิเษกสมรสกับนาคชื่อว่า.."ฐตรฐ"กษัตริย์แห่งเมืองนาค มีโอรส ๔องค์ ชื่อว่า สุทัสสนะ ทัตตะ สุโภคะ และ อริฏฐะ
    <O:pทัตตกุมาร เป็นองค์ที่ ๒ จากพระโอรสทั้งสี่องค์นั้น มีภูริทัตฺต์เท่านั้น ที่ฉลาดกว่าใครๆคำว่า ภูริทัตต์คือ ทัตตะผู้เรืองปัญญาจึงเป็นที่รักของพระบิดาและพระบิดาเองก็มักพาออกสังคมเป็นประจำ
    มีอยู่ครั้งหนึ่ง พระบิดาพาไปเฝ้าท้าววิรูปักษ์ ผู้เป็นราชาแห่งนาคทั้งหมดในครั้งนั้น ท้าววิรูปักษ์ กำลังพาพวกนาคขึ้นเฝ้าพระอินทร์ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์.. ทัตตกุมารจึงได้ไปด้วย <O:p</O:p
    เมื่อไปถึงทรงเห็นเหล่าเทวดาต่างบอกปัญหาของพระอินทร์บ้างก็ตอบได้ บ้างก็ตอบไม่ได้ทัตตกุมารจึงมีโอกาสได้ช่วยตอบปัญหาที่เหล่าเทวดาตอบไม่ได้..ทัตตกุมารเมื่อได้ตอบปัญหาที่เทวดาตอบไม่ได้ ได้อย่างถูกต้องแล้วนั้นพระอินทร์ก็รู้สึกโปรดทัตตกุมารมาก..ดังนั้น จึงได้ตั้งชื่อให้ทัตตกุมารใหม่เป็น ภูริทัตตกุมาร ชึ่งแปลว่า กุมารที่มีปัญญากว้างใหญ่เหมือนแผ่นดิน"
    เมื่อกลับมา ก็มีความคิดอยากเกิดในสวรรค์แต่การจะเกิดในสวรรค์ได้ต้องรู้จักรักษาศีลดังนั้นจึงทรงขออนุญาตออกไปรักษาศีล ๘ ในที่สงัดแต่อยู่ไม่ได้เพราะถูกรบกวนจากพวกนางนาคสาวๆ...จึงมีความคิดที่จะขึ้นไปจำศีลแปดที่เมืองมนุษย์ดังนั้น จึงไปขออนุญาตจากพระบิดาขึ้นมาจำศีลในบริเวณริมแม่น้ำในจอมปลวกใต้ต้นไทร.....
    ในครั้งนั้นมีพรานสองพ่อลูกมาพบเข้า พระภูริทัตต์ซึ่งแปลงกายเป็นมนุษย์แล้วได้พูดจากัน และบอกว่าตนเป็นนาค และก็พาเที่ยวชนเมืองนาค จนเป็นที่พอใจของพราน ในครั้งเหล่าพวกนาคก็ให้การต้อนรับอย่างดีเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม เรื่องที่พรานสองพ่อลูกอยู่ในเมืองนาค เมื่อกลับสู่เมืองมนุษย์ ภูริทัตต์ก็บอกให้พรานทั้งสองปิดเรื่องนี้ ไว้เป็นความลับ ..แต่แล้วคนที่ไม่มีศีลไม่เคยฝึกใจ เมื่อเห็นสิ่งที่เป็นที่หน้าพอใจก็เกิดความอยากจน ลืมคำสัญญา....เกิดความโลภในแก้วมณีที่ได้เห็นจากพราหมณ์เข้า หลังจากกลับมาจึงได้บอกความลับเพื่อแลกกับแก้วมณีจึงทำสิ่งที่เลวร้ายกับเพื่อนผู้บริสุทธิ์ได้......
    ในมนุษย์ทุกคนย่อมมีความอยากนั้นเป็นเรื่องธรรมดา บางคนอยากมากบางคนอยากน้อย..กิเลสตัณหาไม่เคยปราณีใคร...
    ดังเช่นนายพรานสองพ่อลูกเมื่อเห็นแก้วมณีจากพราหมณ์ผู้ทรงเวชมนต์ชื่ออาลัมพายน์พราหม์ผู้นี้มีวิชา ในเรื่องการจับงูด้วยเหตุนี้ พรานผู้เป็นพ่อจึงได้บอกเรื่องความเป็นอยู่ และพาไปยังที่อยู่ของภูริทัตต์ทั้งๆที่ลูกชายของตนไม่เห็นด้วยในความคิดของพ่อลูกชายจึงได้จากไปแล้วก็บวชเป็นฤาษี....

    กล่าวถึงภูริทัตต์นาคเมื่อเห็นนายพรานพาพราหมณ์มาก็ไม่คิดโกรธ หรือคิดทำร้ายเพราะกลัวศีลที่ตนเฝ้ารักษาจะขาด จึงยอมหลับตาซุกศีรษะไว้ในขนดแล้วอธิษฐานยอมสละชีวิต เพื่อรักษาศีล <O:p</O:p
    นายพรานก็ขอแก้วมณีจากพราหมณ์แต่ด้วยความประมาท นายพรานได้ทำลูกแก้วมณีตกน้ำไปจมลงสู่นาคพิภพ...นายพรานผู้ทรยศต่อเพื่อนผู้มีคุณนั้นจึงเป็นเหตุให้เขาต้องเสียของสามอย่างที่เดียวพร้อมกันคือ..เสียไมตรีกับภูริทัตตนาค เสียแก้วมณีและก็ต้องเสียลูกชายที่แยกตัวไปเพราะความโลภของตน...
    ต่อมาอาลัมพายน์พราหมณ์ก็ร่ายเวทย์มนต์แล้วเข้าจับภูริทัตตนาคแล้วกระชากเต็มแรงกดหัว งัดปากให้อ้าเอายาลงไปในปากแล้วจับภูริทัตตนาคฟาดกับพื้นและยังทรมานอีกหลายอย่าง..ทำให้ภูริทัตตนาคได้รับทุกขเวทนาเป็นอย่างมากแต่ก็ต้องอดทนเพราะกลัวจะเสียศีล....
    จากนั้นก็จับไปเที่ยวพาไปแสดงในที่ต่าง ๆเพื่อแลกเงินทองโดยให้ภูริทัตตนาคแสดงทำตัวให้เล็กบ้างใหญ่บ้าง พ่นไฟบ้าง พ่นน้ำบ้างหรือควันบ้าง ส่วนภูริทัตตนาคทำตามเพราะคิดว่า เมื่อพราหมณ์ได้เงินทองมากแล้วจะปล่อยตน แต่ก็ไม่เป็นไปตามที่คิดดังนั้น ภูริทัตตนาคต้องอยู่แสดงในที่ต่างๆ จนทางญาติพี่น้องต้องออกตามหา....เพราะเห็นหายไปนาน...<O:p</O:p

    หลังจากภูริทัตตนาคหายไปเดือนเศษพี่และน้องชายทั้งสามกับน้องหญิง ชึ่งต่างมารดา ก็พากันออกตามหาโดยแยกทางกันไปกันคนละทาง คือ... สุทัสสนนาคไปหาที่โลกมนุษย์สุโภคนาคไปหาที่ป่าหิมพานต์ ส่วนอริฎฐนาคไปหาบนสวรรค์เมื่อพี่น้องปรึกษากันแล้วก็ต่างก็ออกเดินทางไปในที่ๆ ตนกำหนด...<O:p</O:p

    ในครั้งนั้น สุทัสสนนาค เมื่อไปเมืองมนุษย์ก็ทราบข่าวถึงที่อยู่ของภูริทัตตนาคว่ามีพราหมณ์ได้พาตัวภูริทัตตนาคเที่ยวออกแสดงตามงานต่างๆ เพื่อเก็บเงินเป็นค่าดูการแสดงดังนั้น จึงได้ชวนน้องสาวต่างมารดาโดยสุทัสสนาคได้แปลงร่างเป็นฤาษี และให้อริฎฐนาคน้องสาวต่างมารดาแปลงร่างเป็นเขียดน้อยซ่อนตัวอยู่ที่มวยผมของฤาษีผู้พี่...

    ณ. ที่ประตูเมืองพาราณสีนั้นพราหมณ์ ได้จัดการแสดงอยู่มีประชาชนดูอยู่มากและฤาษีแปลง ผู้เป็นพี่ชายก็เข้าไปแล้วก็ท้าทายให้พราหมณ์นำภูริทัตตนาคมาสู้กับเขียดน้อยของตนพราหมณ์ เมื่อเห็นดังนั้นก็รับคำท้าทายจากนั้นเจ้าเขียดน้อยก็ออกมาแล้วคายพิษออกมาสามหยดลงบนฝ่ามือของฤาษีแปลงแล้วก็กลับเข้าไปอยู่ในมวยผมเหมือนเดิมจากนั้นยังไม่ได้สู้กันเลย แต่ด้วยพิษของนางนาคเจ้าเขียดน้อยแปลงนั้นร้ายกาจมากเพียรแต่ไอของพิษได้ถูกตัวพราหมณ์เท่านั้นผิวหนังของพราหมณ์ก็เกิดเป็นโรคเรื้อนขึ้นมาทันที..
    พราหมณ์เกิดอาการกลัวมาก จึงจำต้องปล่อยภูริทัตตนาคให้เป็นอิสระเขาเล่าว่า พิษของนาคนั้น ร้ายแรงมากหากทิ้งลงบนพื้นดิน ไม่นานพืชพันธุ์ธัญญาหารก็จะตายหมดถ้าเทลงในน้ำสัตว์ต่างๆนานาชนิด ก็ต้องตายหมดและหากโยนขึ้นไปในอากาศ ก็จะเกิดฝนแล้งติดต่อกันถึงเจ็ดปีนี้คือ ความร้ายกาจจากพิษแห่งนาค
    พิษนาคที่ว่าร้ายก็ยังแพ้พิษที่เกิดจากความโลภ โกรธ หลง.....มาว่ากันต่อ...
    จากนั้นสุทัสนนาคและน้องสาวต่างมารดา ก็พาภูริทัตตนาคกลับสู่นาคพิภพในตอนนั้นเมืองนาคที่เหงาไปก็กลับมีความสดชื่นขึ้นมา เพราะภูริทัตตนาคได้กลับมาอย่างปลอดภัย...

    กล่าวถึงนายพราน ขณะอาบน้ำอยู่ที่แม่น้ำยมุนาจึงเจอกับสุโภคนาคที่กลับจากป่าหิมพานต์ สุโภคนาคจำนายพรานได้เพราะเคยเห็นภูริทัตตนาคพามาเที่ยวยังเมืองนาคจึงจำได้ดี และก็ได้จับนายพรานมายังเมืองนาค เพื่อสอบสวน เมื่อทราบว่าพรานเป็นต้นเหตุก็จะทำโทษแต่ภูริทัตตนาคขอร้องไว้ เพราะไม่อยากจองเวร....
    เมื่อเหตุร้ายต่างๆหายไปภูริทัตตนาค ก็ได้บำเพ็ญศีลเจริญภาวนาอย่างสงบสุขโดยไม่มีเรื่องมีราวอีกต่อไป.......จากนั้นทั้งโลกมนุษย์และเมืองนาคพิภพก็อยู่ดีมีสุขตลอดไป...
    การรักษาศีลนั้นเราท่านทั้งหลายควรที่จะเร่งปฏิบัติให้เกิดมีในกาย ในวาจาและใจเพราะศีลเป็นพื้นฐานให้เกิดความสุข เป็นพื้นฐานให้เกิดความสงบเย็น ดังนั้นจึงอยากชวนให้ท่านทั้งหลายมารักษาศีลกัน...
    ขอจงเจริญในธรรม
    พระวัดหัวเขา....นาโพธิ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2022
  12. พระวัดหัวเขา

    พระวัดหัวเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,562
    ค่าพลัง:
    +4,805
    ...ขนฺตีปารมํ ตโปตีติขา....ขันติคือตะบะอย่างยิ่ง...

    ๗.พระจันทกุมาร - ขันติบารมี
    ความอดทนทั้งหลายเป็นหัวใจของนักปฏิบัติบุคคลในขาดความอดทนแล้วไซร้ ย่อมเป็นคนที่พ่ายแพ้ในทุก ๆ เรื่อง ....
    ในตอนนี้ก็จะเล่าเรื่องบารมี ๑๐ ให้ได้ฟังต่อไป...ว่าด้วยเรื่องความอดทน...ที่เรียกว่า " ขันติ "...
    ในสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทรงเสวยพระชาติเป็น"พระจันทกุมาร" จันทกุมารเป็นราชโอรสของพระเจ้าเอกราช ผู้ครองเมือง"บุปผวดี"ครั้งเมื่อเติบใหญ่ พระราชบิดาจึงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นอุปราช....เมื่อพระราชาแต่งตั้งจันทกุมารเป็นอุปราชแล้วก็ทรงช่วยว่าความ และแก้คดีความตามความสามารถ จึงเป็นที่ชื่นชอบของประชาชนด้วยความดีและเก่งในการว่าความ ดังนั้น ย่อมเป็นที่อิจฉาของเหล่าปุโรหิตและคนที่มักมีความโลภมาก เป็นคนที่ทุจริตในหน้าที่การงาน....
    ในครั้งนั้นเอง ก็มีปุโรหิตคนหนึ่งนามว่า"กัณฑหาลพราหมณ์" ซึ่งที่ได้รับการ แต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาคดีความต่าง แต่ปุโรหิตคนนี้เป็นคนโลภทุจริต มักติดสินให้คนใดผิดก็ตาม แต่ถ้ามีเงินให้ตนเขาก็จะตัดสินจากผิดให้เป็นถูกก็ได้..
    ในครั้งนั้นจันทกุมารซึ่งก็ดำรงตัวเป็นอุปราชได้รับการร้องเรียนจากผู้ที่แพ้คดีว่าทำไม่เราเป็นผู้บริสุทธิ์แท้ ๆแต่กับเป็นผิดได้ แพ้คดีได้...คือ จากผิดเป็นถูก จากถูกเป็นผิด...
    ดังนั้นจันทกุมารก็รับสั่งรื้อฟื้นคดีขึ้นใหม่เพื่อพิจารณาทรงตัดสินตามจริงโดยจัดเก็บหลักฐานและพยานที่ถูกต้องมาดำเดินงานพิจารณาคดีความจนเอาผิดกับคนผิดได้อย่างยุติธรรม....


    หลังจากจันทกุมารทรงตัดสินความเอาคนผิดที่แท้จริงเข้ารับโทษแล้วพระเจ้าเอกราชทรงทราบจึงได้แต่งตั้งให้จันทกุมารเป็นผู้วินิจฉัยคดีความแทนกัณฑหาลพราหมณ์ ...

    ดังนั้น เรื่องรางต่าง ๆ ของจันทกุมารจึงเกิดขึ้นเป็นที่เล่าสืบต่อกันมาใน"ขันติบารมี"..เพราะเหตุที่กัณฑหาลพราหมณ์ถูกปลดออกทำให้เสื่อมจากลาภสักการะ และได้รับความอับอายมากจึงผูกจิตคิดอาฆาตพยาบาทต่อจันทกุมาร... คนเราเมื่อเกิดโกรธหรือพยาบาทแล้วมักทำได้ในทุกสิ่ง ไม่ว่าผิดหรือถูก แม้ญาติเมื่อทำให้โกรธก็ไม่เว้นเช่นกัน พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า.. "ความโกรธ คือ ไฟในอก".. ต่อมาฝ่ายกัณฑหาลพราหมญ์ก็มักหาความให้จันทกุมารตลอดมาจนในที่สุดก็มีเหตุคือ..ในคืนหนึ่งพระเจ้าเอกราชทรงสุบินนิมิตเห็นเมืองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และเมื่อตื่นจากบรรทมก็มีความประสงค์จะเสด็จไปเมืองสวรรค์ดังที่ฝัน
    ครั้นรุ่งเช้าก็ตรัสถามทางไปสวรรค์กับกัณฑหาลพราหมณ์เมื่อกัณฑหาลพราหมณ์ได้ยินก็จัดเป็นโอกาสเหมาะที่จะสร้างเรื่องหาอุบายใส่ความจันทกุมารเพราะเหตุแห่งความโกธรแค้น จึงคิดอุบายในใจว่า..."เราจะต้องสร้างเรื่องให้พระราชาเห็นตามความคิดของเราโดยเอาเจ้าชายจันทกุมารเข้ามาอยู่ในเรื่อง แต่จะเอาเข้ามาอยู่คนเดียวไม่ได้พระราชาต้องสงสัยแน่ ดังนั้น เราควรเอาสิ่งอื่นหรือบุคคลอื่น ๆ มาเข้าในเรื่องด้วยคือถ้าหาเรื่องฆ่าเจ้าชายจันทกุมารองค์เดียวจะหาว่าทำเพราะโกรธแค้น..จึงต้องหาผู้อื่นๆ เข้าร่วมรับบาปด้วย..." นี้แสดงให้เห็นถึงอำนาจความโกรธแค้นพยาบาทนั้น..ร้ายกาจมากโดยเฉพาะกัณฑหาลพราหมญ์จัดเป็นคนใจชั่วจริงๆ......ครั้นเมื่อกัณฑหาลพราหมณ์ได้คิดวางแผนในใจเป็นที่ดีแล้วก็กราบทูลต่อพระเจ้าเอกราชว่า....
    หากพระราชาต้องการทางไปสู่สวรรค์นั้นพระราชาต้องทำการบูชายัญด้วยสิ่งอันเป็นที่รัก คือ..พระราชโอรส ... พระราชธิดา ...พระมเหสี ... ช้างแก้ว ... ม้าแก้ว...และเศรษฐีโดยใช้ทุกอย่าง อย่างละสี่อย่าง.....นี้คือความชั่วร้ายที่เกิดจากแรงแค้น การผูกโกรธของคนที่ไม่รู้จักปล่อยไม่รู้จักวาง..... เมื่อพระเจ้าเอกราชได้ฟังก็เกิดความหลงผิดคิดว่าถ้าทำในสิ่งที่ว่านี้แล้ว เราต้องได้หนทางสู่สวรรค์แน่ดังนั้น จึงรับสั่งให้เอาคนและสัตว์อย่างละสี่เข้ามารวมกัน โดยจัดขังไว้...
    ข่าวนี้ดังออกไปทำให้ข้าราชการ บริวารประชาชนชาวบ้านต่างก็หวาดกลัวเสียขวัญในเรื่องอาเพศเหตุร้ายในแผ่นดินเนื่องจากพระราชาหลงผิด... เราจะเห็นได้ว่าในความอยากความต้องการนั้นไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไร แม้สิ่งนั้นจะเป็นที่รักที่ใคร่ก็ตามก็สามารถทำได้โดยไม่คิดถึงว่าสิ่งนั้นจะถูก หรือจะผิดก็ตาม.... นี้คือตัว"ตัณหา"ความอยากมี อยากเป็น ไม่อยากมีไม่อยากเป็น......
    หลังจากคนทั้งหมดไปร่วมกันแล้วความกลัวตายทำให้ทุกคนต่างส่งเสียง ขอร้อง วิงวอนต่อองค์ราชาแต่ก็ไม่เป็นผล ในขณะนั้นเองเจ้าชายจันทกุมารก็กล่าวต่อหน้าองค์ราชาว่า....
    การที่กัณฑหาลพราหมณ์กล่าวในเรื่อง การบูชายัญนั้นก็เพื่อเอาชีวิตตนเพราะเหตุแห่งความแค้นส่วนตัวเท่านั้นแต่ที่เอาคนอื่นเข้ามาเพื่อบูชายัญร่วมด้วยนั้น ก็เพื่อไม่ให้เป็นที่ครหาของผู้คนจึงแต่งเรื่องแสร้งกล่าวเพ็ดทูลให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต ให้เป็นที่หน้าเชื่อถือ....

    พระราชา เมื่อได้ฟังคำของเจ้าชายจันทกุมารกล่าวชี้แจงและคำอ้อนวอนของเหล่าผู้คนแล้วก็เกิดความโลเลในเหตุและผล.... ที่ได้ฟัง ดังนั้นจึงได้สั่งปล่อยคนและสัตว์ไปก่อนชั่วคราวส่วนกัณฑหาลพราหมณ์ ก็คงเข้าไปหากล่าวเรื่องราวเกลี้ยกล่อมโดยยกเอาเรื่องของสวรรค์มาล่อต่างๆ นานา จนในที่สุดพระราชาก็สั่งจับตัวคนและสัตว์ทั้งหมดมารวมกันอีก.....

    พระราชาทรงสั่งให้ปล่อยและจับคนและสัตว์อยู่อย่างนี้ถึงสามครั้งตามคำขอร้องและคำยุยงของทั้งสองฝ่าย...ในแต่ละครั้งนั้น ทำให้คนและสัตว์ได้รับความทรมานมาก<O:p</O:p

    ส่วนประชาชนชาวเมืองต่างขวัญผวาโศกเศร้าเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้แต่นกกาที่จับอยู่บนต้นไม้ส่งเสียงร้องบินไปบินมาในอากาศทำให้บรรยากาศในเมืองในครั้งนั้นเหมือนเกิดอาเพศเหตุร้ายท้องฟ้าก็มืดครึ้ม ดูหน้ากลัวและวังเวงยิ่งนัก....

    ต่อมาด้วยความหลงผิดของพระราชา ซึงมีความอยากได้สวรรค์ตามที่ตนสุบินเห็นบวกกับคำยุยงของกัณฑหาลพราหมณ์ที่คอยยุยง จนพระราชาต้องสั่งจับตัวพระมเหสีพระราชโอรส พระราชธิดา ช้างแก้วและขุนคลังมาอีกครั้ง...โดยในความคิดของพระราชาในตอนนั้นทรงคิดว่าเมื่อบุคคลและสัตว์เหล่านั้นเมื่อเราบูชายัญแล้วตายไปก็จะไปสู่สวรรค์รออยู่ในที่ๆตนจะไปอยู่เช่นกัน.......ในขณะที่จะเริ่มพิธีบูชายัญจะเริ่มขึ้นนั้น ....พระราชาก็สั่งให้เอาเจ้าชายจันทกุมารมาเป็นคนแรกโดยการตัดพระศอ(คอ)เอาเลือดมาบูชายัญเป็นคนแรก.....
    ในขณะนั้นพระนางจันทาพระชายาของเจ้าชายจันทกุมารก็ทรงอธิษฐานถึงคุณงามความดีที่เจ้าชายจันทกุมารทรงบำเพ็ญมาและจิตใจของจันทกุมารที่แม้กัณฑหาลพราหมณ์จะทำร้ายอย่างไรเจ้าชายจันทกุมารก็ไม่เคยโกรธ และผูกแค้นเลย แม้กัณฑหาลพราหมณ์จะฆ่าก็ตาม...จึงขอให้เทพเทวาเป็นพยานและช่วยให้เจ้าชายพร้อมทั้งพระปยูรญาติพ้นจากภัยพิบัติ..ในครั้งนี้ด้วย....

    ครั้งได้ฤกษ์แล้ว ที่กัณฑหาลพราหมณ์ จึงถือดาบเข้าไปหาเจ้าชายจันทกุมาร เพื่อจะบั่นพระศอ(คอ)ของเจ้าชายให้ขาดกระเด็น ให้สมกับความแค้นที่ตนมีในขณะที่กัณฑหาลพราหมณ์ ผู้อำมหิตจะลงมือประหารนั้น...ก็มีเสียงดังแหวกลงมาจากอากาศตวาดเสียงดังลั่นห้ามไม่ให้ทำร้ายเจ้าชายจันทกุมารมิฉะนั้นจะโดนทุบด้วยค้อนเหล็กแดงเมื่อสิ้นเสียงทุกคนต่างมองขึ้นไปดูที่ๆมาของเสียงก็ได้เห็นพระอินทร์ทรงถือค้อนเหล็กแดงอันมีเปลวไฟลุกโชติช่วงลอยลงมาจากอากาศเข้ามาหาตนกัณฑหาลพราหมณ์ ก็ตกใจทิ้งดาบหมอบลงแทบกับพื้น..... มีคำพูดคำหนึ่งว่า"คนดีผีคุ้ม"..... จากนั้นพระอินทร์ทรงบอกให้ปล่อยคนและสัตว์พร้อมขู่พระราชาว่าจะส่งพระราชาลงนรกหมกไหม้ให้ทรมานแสนสาหัสชั่วนิรันดร...จากนั้นก็หายตัวไปในอากาศ........
    ส่วนพระราชาเกิดความหวาดกลัวมากจึงรับสั่งให้ปล่อยคนและสัตว์ส่วนประชาชนที่ดูอยู่ ก็ต่างกรูเข้าไปจะทำร้ายกัณฑหาลพราหมณ์และพระราชาด้วย. หวังจะให้ถึงแก่ความตายแต่เดชบุญของพราหมณ์และพระราชา ที่เจ้าชายจันทกุมารไม่ผูกโกรธ จึงได้ขัดขวางไว้....
    จากนั้นพระราชาก็ถูกถอดจากการเป็นกษัตริย์ และก็ถูกเนรเทศออกจากเมืองไปแม้เจ้าชายจันทกุมารก็ไม่สามารถฝีนมติของมหาชนได้จากนั้นก็ตั้งตนเป็นกษัตริย์ปกครองเมืองต่อไปและก็สั่งอภัยโทษแก่พระราชบิดาทรงดูแลปฏิบัติเป็นอย่างดี....การครองเมืองบุปผวดีของพระจันทกุมารก็เข้าสู่ภาวะปกติ ประชาราษฎร์อยู่กันอย่างสุขสบายร่มเย็น.... ด้วยบุญบารมีของพระจันทกุมาร...

    ขอจบขันติบารมีแต่เพียงเท่านี้....
    ขอจงเจริญในธรรม,,,,
    พระวัดหัวเขา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2022
  13. พระวัดหัวเขา

    พระวัดหัวเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,562
    ค่าพลัง:
    +4,805
    ..อุเบกขาบารมี สัมปันโน อิติปิโสภควา....

    ๘.พระนารทะ -อุเบกขาบารมี
    ในครั้งนั้นพระพุทธเจ้าของเราเกิดอยู่ในชั้นพรหม ยังบำเพ็ญตนเป็นโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นท้าวมหาพรหมองค์หนึ่งนามว่า.. "นารทะ"....
    พระนารทพรหม ผู้บำเพ็ญอุเบกขาเพื่อสร้างบารมี ในหลักของการเจริญอุเบกขานั้นจะต้องทำอารมณ์ที่เฉยๆแต่ในความเฉยนั้นจะมีอารมณ์ที่มีเมตตาและกรุณาอยู่ด้วยในความเฉยๆนั้น...
    เราจะเห็นได้ว่าตัวอุเบกขาจะเป็นความวางเฉยคือ สงสาร ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น แต่ก็ไม่สามารถช่วยได้เช่น เห็นคนตกน้ำ เราต้องการช่วย แต่เราไหว้น้ำไม่เป็น จึงไม่สามารถช่วยได้ในตอนนั้นเราสงสารอยากช่วยแต่ไม่สามารถทำได้ก็ต้องดูอยู่ด้วยการพิจารณาในเรื่องของกรรม..ดังนี้..

    ในอดีต ยามราตรีคืนเดือนเพ็ญ ณ. เมืองมิถิลา แคว้นวิเทหะ บนท้องฟ้ามองเห็นดวงจันทร์ โคจรอยู่บนท้องฟ้าเต็มดวงดูสวยงามในวันเพ็ญเดือน ๑๒ เหล่าชาวเมืองต่างสนุกกับการเล่นชมดูมหรสพ เนื่องในวันนักขัตฤกษ์....ของคืนเดือนเพ็ญ.......
    กษัตริย์แห่งเมืองมิถิลาชื่อ พระเจ้าองคติราชนั้น ได้ทรงประทับณ.ท่ามกลางอำมาตย์ข้าราชบริพาร ภายใต้แสงจันทร์ใกล้กับสระโบกขรณีในท่ามกลางบรรยากาศอันงดงามนี้ ก็เกิดการสนทนาเพื่อหาสาระที่แท้จริงของชีวิต และก็หาขอสรุปในวิธีปฏิบัติในการดำรงชีวิตให้ถูกต้องเกิดประโยชน์ต่อตนเองและประโยชน์ของผู้อี่น.....
    ดังนั้น การสนทนาก็เริ่มขึ้น โดยมีท่านอลาตอำมาตย์กราบทูลเป็นคนแรกว่า...

    <O:p</O:p
    หลังจากพระราชาได้กล่าวในเหตุแห่งปัญหาที่จะปรึกษาหารือในความดีงามในการดำรงอยู่ให้เป็นไป เพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน....
    ในตอนนั้นเองก็มีอลาตอำมาตย์ได้กล่าวว่า....

    "ในยามนี้ในบ้านในเมืองอื่นเขาต่างสนุกและมัวเมาอยู่ในค่ำคืนนี้ ข้าพระองค์ควรยกทัพไปตีเอาเป็นเมืองเสีย มิบังควร พระเจ้าข้า"
    อำมาตย์สุนามทูลคัดค้านแล้วกล่าวต่อไปว่า"บัดนี้บ้านเมืองสงบ ฉะนั้นในราตรีเช่นนี้เราควรจัดให้มีการเลี้ยงฉลอง มีการฟ้อนรำดีดสีตีเป่าให้สนุก สุขสำราญพระเจ้าข้า"...
    ในช่วงนั้นเอกยังไม่ทันที่ พระเจ้าอังคติราชจะตรัสว่าประการใดท่านวิชัยอำมาตย์ก็กราบทูลก่อนว่า...
    <O:p</O:p
    "ในราตรีที่แสนงามนี้..เราควรเข้าปรึกษาหาท่านสมณพราหมณ์ ท่านผู้ทรงศีลเข้าถามหาคำตอบในสิ่งที่ควรทำอันจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ที่แท้จริง"..
    พระราชาทรงเห็นชอบตามคำของวิชัยอำมาตย์ที่เสนอมา จึงได้ลงความเห็นตรงกันแล้วอลาตอำมาตย์จึงกราบทูลให้ไปพบ"คุณาชีวก"ซึ่งขณะนั้นทรงบำเพ็ญตนอยู่ที่ป่ามิคทายวัน..... ณ.ป่ามิคทายวันในคืนนั้นหลังจากทำการสนทนาได้เป็นที่เห็นสมควรแก่ฐานะแล้ว...พระเจ้าอังคติราชก็ตรัสถามคำถามไปว่า.....
    "คนเราทำกรรมอย่างไร จึงไปสวรรค์และทำกรรมอย่างไร จึงตกนรกพระราชาควรปฏิบัติธรรมข้อใดอะไรบ้าง และควรปฏิบัติชอบต่อพ่อแม่ ครูอาจารย์บุตรภรรยา ผู้มีอายุ สมณชีพราหมณ์ ต่อถึงพลเมือง หรือไม่ อย่างไร และสิ่งที่ดี ชั่วถูก ผิดมีอยู่จริงหรือไม่ อย่างไรและถ้ามีหลักการปฏิบัตินั้นคืออะไร"....
    หลังจากพระราชาได้ถามคำถามไปแล้ว ท่านคุณาชีวกก็เริ่มขยับตัวเล็กน้อยแสดงอาการครุ่นคิด....แต่คิดๆอย่างไรก็ไม่รู้คำตอบในหลัก
    ธรรมที่พระราชาถามมา...จึงแสดงทิฐิ(ความเห็น)ของตนที่ตนคิดว่าต้องถูกและต้องเป็นอย่างนี้ แน่นอน.....(คนเรามักเอาความคิดของเป็นใหญ่ คิดว่าความคิดความเห็นของตนถูกเสมอ )...
    ดังนั้นเมื่อเชื่อมั่นแล้วก็ตอบไปว่า "พระองค์จะสนพระทัยเรื่องเหล่านี้ไปทำไม ไม่มี ประโยชน์อันใดเลยพระเจ้าข้าโปรดฟังข้าพเจ้าเถิด ในโลกนี้ บุญไม่มี บาปไม่มี ปรโลกไม่มี ไม่มีบิดา มารดาปู่ย่าตายาย สัตว์ทั้งหลายเกิดมาเสมอกัน หมด จะได้ดีได้ชั่วก็ได้เอง ทานไม่มี ผลแห่งทานก็ไม่มี ร่างกายที่ประกอบกันขึ้นมานี้ เมื่อตายไป แล้วก็สูญสลายแยกออกจากกันไปสุขทุกข์ก็สิ้นไป ใครจะฆ่า จะทำร้าย ทำอันตราย ก็ไม่เป็นบาป เพราะบาปไม่มีสัตว์ทุกจำพวก เมื่อเกิดมาครบ ๘๔กัปป์ก็จะบริสุทธิ์พ้นทุกข์ ไปเอง ถ้ายังไม่ครบถึงจะทำบุญทำกุศลเท่าไร ก็ไม่อาจบริสุทธิ์ไปได้ แต่ถ้าถึงกำหนด ๘๔กัปป์แม้จะทำบาปมากมาย ก็จะบริสุทธิ์ไปเอง"
    แต่ในขณะช่วงนั้นเอง..อลาตอำมาตย์ผู้ระลึกชาติได้เพียงหนึ่งชาติก็กราบทูลว่า
    "เรื่องนี้จริงแท้เพราะเมื่อชาติก่อนข้าพระองค์เกิดเป็นคนฆ่าวัวทำบาปทำกรรมไว้มาก แต่ตอนกลับมาเกิดในตระกูลขุนนางมีทรัพย์มากนั้นย่อมแสดงว่าบาปบุญคุณโทษไม่มีอยู่จริง"..
    เมื่ออลาตอำมาตย์กล่าวจบ ก็มีชายผู้เข็ญใจผู้หนึ่งร้องไห้พลางกล่าวไปว่า..
    "ข้าพเจ้าเคยเป็นเศรษฐี ทำความดีให้ทานรักษาศีลเป็นประจำในชาติที่แล้ว แต่เมื่อตายจากชาตินี้แล้วกลับต้องมาเกิดเป็นยาจกเข้ญใจ นี้แสดงว่าบาปบุญคุณโทษไม่มีอยู่จริง"
    เมื่อชายเข็ญใจกล่าวได้เท่านั้นก็ร้องไห้เดินจากไป ...
    ความจริงเหล่าอลาตอำมาตย์และชายเข็ญใจนั้นเพียงระลึกชาติได้เพียงชาติเดียวก็เกิดความคิดเห็นผิดไปเพราะกรรมที่ได้ทำมานั้นยังคงไม่ให้ผล ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีของชายเข็ญใจหรือกรรมชั่วของอลาตอำมาตย์.....
    เมื่อพระราชาได้ยินทั้งอำมาตย์และชายเข็ญใจกล่าวแบบนั้น ก็ยิ่งทำให้เชื่อคำพูดของคุณาชีวกอย่างสนิทใจการปฏิบัติตนของพระราชาก็สอดคล้องกับความเชื่อดังกล่าวทรงใช้ชีวิตให้เพลิดเพลินไปกับกามารมณ์ แสวงหาความสุขจากกามอย่างเต็มที่ทรงละทิ้งราชกิจและการปกครองละทิ้งการทำทานโดยเอาเงินทองที่เคยใช้ในการบริจาคนั้นไปปรนเปรอเหล่านางสนมกำนัลและใช้เป็นค่าสุราอาหารจนหมด....
    ในครั้งนั้นพระธิดาซึ่งเป็นธิดาองค์เดียวของพระอังคติราชนั้น..ทรงเป็นห่วงพระบิดามากที่พระบิดาไปหลงเชื่อคำของคุณาชีวก และทรงปฏิบัติตนไปในทางเสียหาย พระธิดาก็พยายามชี้แจงให้พระบิดาเข้าใจว่าพระบิดาไปเชื่อคนผิด แล้วมาปฏิบัติตนแบบนี้ก็ยิ่งจะจนลงสู่ความผิดแม้ตัวคุณาชีวกเองสอนว่าบาปไม่มี บุญไม่มี แต่ตนเองกลับไปบำเพ็ญพรตอยู่..แม้คำพูดของสองคนนั้นก็เช่นกัน เราไม่อาจเชื่อถือได้....ในสิ่งที่ได้ฟัง....จากนั้นพระธิดาก็พยายามชี้แจงกับพระบิดาอยู่เสมอว่า...
    <O:p</O:p
    "คนเราหากคบคนเช่นไรก็จะเป็นเช่นนั้น คบคนพาล พาลไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล หากครูอาจารย์มีความเห็น ก็ทำให้ศิษย์เห็นผิดตามไปด้วยเมื่อเห็นผิดตามครูก็จะพาไปให้เกิดในนรกด้วย"....
    แม้พระธิดาจะพยายามแค่ไหนทรงยกเหตุยกผลเท่าใด พระบิดาก็ไม่เปลี่ยนพระทัยในที่สุดพระธิดา ก็ทรงยกมือประนมขึ้นเหนือพระเศียรไหว้เหล่าเทวาอารักษ์ทั่วทุกทิศขอให้ช่วยให้พระบิดามีความเห็นถูกต้อง รู้บุญ รู้บาปมีความเห็นตามธรรมนองคลองธรรมด้วยเถิด.....
    ในครั้งนั้นพระพุทธเจ้าของเราทรงเป็นโพธสัตว์เสวยพระชาติ เป็นท้าวมหาพรหมองค์หนึ่งชื่อ "นารทะ"เมื่อทรงทราบเรื่องแล้ว ก็แปลงเพศเป็นฤาษีเหาะลงมาพร้อมกับทองคำด้วยหนึ่งหาบยืนอยู่บนอากาศตรงหน้าพระพักตร์ของพระราชาและพระราชธิดา....พระราชาเมื่อเห็นอานุภาพของพระฤาษีแปลงแล้ว จึงตรัสถามว่า... ในการที่พระราชาทรงเห็นฤาษีแปลงที่เหาะมายีนอยู่ตรงหน้าแล้วเกิดความสงสัยในอานุภาพแห่งพระฤาษีแปลง จึงได้ตรัสถามว่า....
    "ทำไม่ท่านจึงเหาะเหินเดินอากาศได้" พระฤาษีแปลงก็กราบทูลว่า
    "เพราะเราบำเพ็ญคุณธรรม ๔ ประการคือ รักษาสัจจะ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไม่ประพฤติผิดในกามและมีการเสียสละ พร้อมทั้งประพฤติชอบทางกาย วาจา ใจ"...
    ฝ่ายพระราชาก็ตรัสถามต่อไปว่า"บุญ บาป โลกหน้าบิดามารดามีจริงหรือไม่"....
    พระนารทพรหมซึ่งอยู่ในเพศฤาษีตอบว่า "มีจริง" โดยทรงยกตนเป็นตัวอย่างของผลแห่งกรรมดีแล้วก็อธิบาเหตุและผลว่า " ชีวิตของมนุษย์เรา ย่อมมีที่มาที่ไปตามกฎแห่งกรรมเมื่อทำดีก็ได้รับผลดี เมื่อทำชั่วก็ย่อมได้รับผลขั่วแม้มนุษย์จะมีร่างกายที่ประกอบไปด้วยธาตุมี ดิน น้ำ ไฟ ลมก็ตามแต่มนุษย์นั้นยังมีธาตุรู้ที่เรียกว่า"วิญญาณธาตุ"ที่คอยรับรู้กรรมดีกรรมชั่วที่ส่งผลเป็นสุข เป็นทุกข์ตามอำนาจแห่งกรรม....
    ถ้าประพฤติตนทำแต่สิ่งดีงาม มีความเห็นได้ในประโยชน์ของส่วนรวมให้สิ่งดีมีการเสียสละตัว สิ่งของไม่ยึดติดในสิ่งของเงินทองอยู่ในศีลและให้ทานเป็นนิตย์ในส่วนนี้จัดเป็นกรรมดี เพราะมีความเห็นเป็นไปเพื่อประโยชน์ตนเองและผู้อื่นและเห็นประโยชน์ทั้งปัจจุบันและประโยชน์ในอนาคต.....
    ส่วนกรรมชั่วนั้นก็จะตรงข้ามไปจากกรรมดี คือ นอกจากจะเบียดเบียนตนเองและสรรพสัตว์แล้วยังสร้างความเห็นแก่ตัวมีความเห็นแต่ประโยชน์แห่งตนพอกพูนสะสมกิเลสตัณหา และยังก็โทษให้ผู้อื่นเดือดร้อนนี้และกรรมชั่ว...
    ส่วนบิดามารดานั้นเป็นผู้มีความเอื้ออาทรต่อบุตรของตนเฝ้าเลี้ยงดูทะนุถนอมบุตรของตน จึงชื่อได้ว่าเป็นบุพการีอย่างแท้จริง...
    ดังนั้นคำว่าบิดามารดามีนั้น หมายความว่าพระคุณของท่านมีจริงบิดามารดาโดยเบื้องต้น ท่านเป็นผู้ให้กำเนิดชีวิตเราเป๊นผู้ให้ร่างกายแก่เรา โดยเมื่อเรามีร่างกายมีชีวิตก็ย่อมใช้ร่างกายและชีวิตนี้ดำรงอยู่ เพื่อแสวงหาคุณความดีอันเป็นคุณค่าแห่งชีวิต..
    ส่วนคุณงามความดีนั้น ย่อมมีอยู่จริง เช่น บิดามารดาย่อมมีเมตตากรุณาและความรักเสียสละ ตลอดถึงความบริสุทธิ์ใจเป็นต้น และจะเห็นได้ว่าความดีความชั่วย่อมมีอยู่ทั้งสองทาง เพราะคนเรามักมีกิเลสตัณหาอยู่ จึงเป็นเหตุทำกรรมดีบ้างกรรมชั่วบ้างเช่น...<O:p</O:p
    คนระดับต่ำก็จะเกลือกกลั้วอยู่ด้วยกิเลสตัณหาส่วนคนระดับสูงก็จะมีศีลมีธรรมมีเมตตาและยังสามารถประพฤติตนให้เข้าถึงคุณธรรมชั้นสูงได้สามารถตัดกิเลสตัณหาได้...
    เรื่องของทานก็เช่นกันคนเราอยู่ในสังคมมีความเป็นอยู่มีหมู่มีคณะ พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันไม่มีผู้ใดจะอยู่คนเดียวได้ ดังนั้นการแจกจ่ายให้ทานเพื่ออนุเคราะห์ จึงต้องมี....ส่วนการตระหนี่หวงแหนมีแต่จะทำให้จิตใจคับแคบเป็นไปเพื่อพอกพูนกิเลสตัณหา เห็นแก่ตัวเป็นไปเพื่อเกิดในนรก....
    ส่วนพระราชาเริ่มมีความเห็นตรงตามคำกล่าวของพระฤาษีแปลงแต่ก็ยังไม่เชื่ออย่างเต็มใจ เมื่อเห็นพระฤาษีแปลงนั้นหาบทองอยู่ก็คิดและตีสำนวนตรัสถามขอยืมทองโดยสัญญาว่า จะใช้คืนให้ในชาติหน้า ถ้าชาติหน้ามีจริงอย่างท่านฤาษีว่า... ฝ่ายฤาษีก็ปฏิเสธไปว่า.. "พระราชาทุศีลชาติหน้าคงไม่มีโอกาสหาทองมาคืนเราแน่..เพราะจะต้องตกนรกอยู่นานไม่สามารถคืนเราได้ จึงให้ไม่ได้ แต่หากพระราชาอยู่ในศีล อยู่ในธรรมประพฤติดีปฏิบัติดี ย่อมให้ยืมได้ จะเอาทองเท่าไรก็ได้"... เมื่อกล่าวจบก็หายตัวไป....พระราชาเมื่อติดตามคำบอกกล่าวแล้วก็เชื่อและเริ่มเห็นตามในความเป็นจริงต่อมาก็กลับตัวกลับใจหันมาสนใจบริหาร จัดการในงานบ้านงานเมืองส่วนพระราชธิดาทรงพอใจสบายใจที่พระราชบิดาเริ่มสนใจบ้านสนใจเมือง...ต่อมาชาวเมืองก็อยู่สุขสบายยินดีสรรเสริญองค์พระราชาในความดีงาม....
    จบเรื่องอุเบกขาบารมีเท่านี้...
    ขอเจริญในทาน ศีล ภาวนา ..... สาธุ... สาธุ...
    พระวัดหัวเขา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2022
  14. พระวัดหัวเขา

    พระวัดหัวเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,562
    ค่าพลัง:
    +4,805
    สัจจบารมี...ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย...

    ๙. พระวิธูรบัณฑิต-สัจจบารมี
    ในตอนนี้ก็จะกล่าวถึง ครั้งนั้นพระพุทธเจ้าของเรา ยังเป็นพระโพธิสัตว์......ทรงเสวยพระชาติเป็นวิธูรบัณฑิต...ในชาติแห่งการบำเพ็ญสุจจบารมี....
    มีเรื่องเล่าว่า.....มีอำมาตย์ผู้หนึ่งชื่อว่า"วิธูรบัณฑิต"...เป็นผู้มีปัญญามีคุณธรรมรักษาสัจจะเสมอด้วยชีวิตอยู่ในนครอินทปัตถะโดยมีพระเจ้าธนัญชัยโกรัพยะเป็นผู้ครองอยู่...วิธูรบัณฑิตนั้นทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นอำมาตย์อยู่ในนครแห่งนี้....วิธูรบัณฑิตนั้นจัดเป็นอำมาตญืที่องค์พระราชาให้ความนับถือและเคารพรักเป็นอย่างยิ่ง....ในตอนนั้นมีอยู่วันหนึ่งที่มีเรื่องต้องเล่าเพราะเป็นเหตุของเรื่องราว.....
    ในวันนั้นเอง...พระเจ้าธนัญชัยโกรัพยะทรงประทับอยู่ณ. มิคาชินอุทยานแล้วได้พบกับสหายในอดีตชาติ ๓ คน คือ... หนึ่งพระอินทร์ สองพญาครุฑสามพญานาค ซึ่งทั้งสามได้แปลงเพศเป็นมนุษย์มาบำเพ็ญศีลในอุทยานพระสหายทั้งสี่คุยกันหลายต่อหลายเรื่อง แต่ในที่สุดก็ได้สนทนาเรื่อง ศีลของตนว่า"ศีลของใครจะบริสุทธิ์ และดีกว่ากัน......
    สหายทั้งสี่คุยกัน ต่างก็ว่าของตนดี ว่าของตนวิเศษว่าไปแล้วมนุษย์หรือเทวดาก็ตาม หากยังมีกิเลสอยู่ย่อมเขาข้างตนเองเสมออันนี้เป็นความจริง...แม้แต่ตัวเราเองหากมีความคิดเห็นในสิ่งใดอันเป็นที่ตั้งแห่งตนแล้วไซร้ย่อมคิดว่าถูกเสมอไป......
    กล่าวกันว่าเมื่อเริ่มสนทนานั้นก็มีคำกล่าวเอ่ยขึ้นว่า"ศีลของเราย่อมดีกว่าของท่านสามสหาย เพราะเราย่อมสละทิพย์สมบัติบนสวรรค์มารักษาศีล" พระอินทร์กล่าว....ด้วยอ้างถึง...
    จากนั้นพญาครุฑก็ตอบโต้ไปว่า "พระอินทร์ทรงอิ่มทิพย์โดยไม่ต้องแสวงหาอาหารไม่เหมือนเราแม้ต้องจับนาคกินเป็นอาหาร แต่กลับไม่ทำ เพราะเรารักษาศีลเพราะฉะนั้นศีลของเราย่อมดีกว่า".....
    <O:p</O:p

    พญานาคได้ตอบโต้ไปว่า "ท่านทั้งสองก็ดีอยู่หรอก แต่ก็สู้เราไม่ได้เพราะเราสามารถรักษาศีลอยู่ได้ แม้จะอยู่ใกล้ศัตรูเพียงนี้เรายังไม่เคยคิดโกรธเคืองพญาครุฑเลยแม้เคยเป็นศัตรูกัน"
    ฝ่ายพระเจ้าธนัญชัยโกรัพยะก็อ้างว่า"ท่านทั้งสามนั้นมีฐานะและโอกาสอำนวยจึงมารักษาศีลได้ ส่วนเรานี้สิเป็นพระราชายังมารักษาศีลยอมหนีจากสิ่งเย้ายวนในวังออกมาได้ฉะนั้นเราว่าศีลของเราย่อมรักษายากกว่าศีลของสหายทั้งสาม แต่เราก็ยังรักษาไว้ได้ดังนั้นจึงต้องดีกว่าของท่านสหายทั้งสามแน่นอน"
    ความของสหายทั้งสี่ที่ว่าศีลของตนยอมดีกว่าโดยไม่มีใครยอมใครดังนั้น จึงปรึกษากันว่าเราต้องไปหาหรือเรียกท่านวิธูรบัณฑิตให้ช่วยตัดสินให้....เมื่อทั้งสี่สหายตัดสินใจเช่นนั้นแล้วก็เรียกวิธูรบัณฑิตเข้าพบเพื่อช่วยตัดสินความให้ว่าใครดีกว่าใคร...เมื่อวิธูรบัณฑิตเข้าเฝ้าแล้วก็กราบทูลพระราชาและพระสหายทั้งสามของพระองค์ว่า....
    "ขอเดชะทุกพระองค์ล้วนรักษาศีลได้ดีเสมอกัน เพียงแต่ทำในฐานะและโอกาสต่างกันแต่คุณค่าทางศีลและคุณความดีนั้นเสมอกัน สิ่งที่พระองค์ทั้งสี่ได้ทำมานั้นหากมีพร้อมในบุคคลใดก็ตาม ก็จะเป็นเหมือนกำเกวียนที่อยู่ในดุมเดียวกันจึงทำให้บาปธรรมและสิ่งเลวร้ายระงับไปได้"
    จากคำของวิธูรบัณพิตนั้นเป็นที่พอพระทัยแห่งองค์พระเจ้าธันญชัยและสหายทั้งสามมากดังนั้นพระราชาและสหายจึงได้ตอบแทนท่านวิธูรบัณฑิตโดย ท่านพระอินทรได้ให้ผ้าทิพย์พญาครุฑให้ดอกไม้ทองคำ พญานาคนั้นให้แก้วมณี ส่วนพระราชานั้นให้ โคนม ๑.๐๐๐ ตัวโคอุสุภราช ๑ ตัว รถม้า ๑๐ คันและบ้านส่วยอีก ๑๖ ตำบลเป็นเครื่องตอบแทน....
    หลังจากพญานาคกลับสู่เมืองนาคพิภพแล้วก็ได้เล่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นให้นางนาคผู้เป็นมเหสีนามว่า"วิมาลา" ฟังทำให้นางเกิดความศรัทธาอยากฟังธรรมจากท่านวิธูรบัณฑิต ดังนั้น นางจึงแกล้งหาอุบายทำเป็นนอนป่วยอยู่เมื่อพญานาคมาเยี่ยมจึงได้กราบทูลไปว่า
    "หากพระองค์ยังคงรักนางอยู่ก็จะต้องนำหัวใจของวิธูรบัณฑิตมาให้นาง ไม่อย่างนั้นนางต้องตายแน่" นางกล่าว
    เมื่อได้ฟังคำของนางนาคแล้วก็ได้ตรัสตอบไปว่า "น้องนางอันทรัพย์สมบัติทุกอย่างที่มีบนสวรรค์และโลกมนุษย์ พี่ก็สามารถหาให้เจ้าได้นอกจากดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และก็หัวใจของวิธูรบัณฑิตเท่านั้นแหละที่เอามาให้ไม่ได้
    เพราะในชมพูทวีปต่างหวงบัณฑิตท่านนี้มาก ต่างพากันจัดการอารักขาเป็นอย่างดีและอีกอย่างคนที่เป็นบัณฑิตที่มีคุณธรรมอย่างนี้แล้วยิ่งไม่ควรตายและก็ไม่ควรมีใครฆ่าด้วย"......
    ส่วนนางนาคเมื่อฟังคำแล้วก็ไม่ยอมกลับทำตัวนอนป่วยอยู่ไม่สนใจคำชี้แจงของพญานาคเป็นพระสวามีเลยกล่าวถึงนางนาคบุตรสาวผู้เลอโฉมนามว่า"นางอริทันตีทราบเรื่องจึงได้รับอาสาโดยอาศัยความงามแห่งตนเป็นเครื่องแสวงหาผู้ที่สามารถนำเอาหัวใจของวิธูรบัณฑิตมาไห้ได้....
    จากนั้นนางนาคอริทันตีก็ได้ออกจากนาคพิภพ เหาะไปในอากาศเข้าสู่ชายฝั่งแห่งมหาสมุทร แล้วปรากฏตัวด้วยรูปร่างที่สวยงามแถบป่าหิมพานต์อันมีภูเขากาลคีรีตั้งสูงเด่นเป็นสง่า ณ.ที่นั้นเองนางนาคสาวผู้เลอโฉม ก็ทำการขับร้องเพลงด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะในใจความของเนื้อเพลงนั้นมีใจความว่า

    <O:p</O:p

    "ใครก็ตามที่สามารถนำหัวใจของวิธูรบัณฑิตมาถวายพระมารดาของข้าพเจ้าได้ข้าพเจ้ายินดีเป็นชายารับใช้แทบเท้าผู้นั้นตลอดชีวิต"....
    กล่าวถึงในช่วงที่ปุณณกยักย์กำลังควบม้าสินธพเหาะผ่านมาพอดีจึงได้ยินเสียงเพลงและเห็นนางอริทันตีขับร้องเพลงอยู่ก็เกิดความรักใคร่หลงเสน่ห์นางอริทันตีพร้อมยอมรับข้อเสนอของนาง สัญญาจะเป็นผู้ไปนำเอาหัวใจของวิธูรบัณฑิตมาถวายมารดาของนางให้ได้.....
    จากนั้นก็เหาะไปอินทปัตนครพร้อมแก้วมณีดวงหนึ่ง
    แปลงเพศเป็นหนุ่มน้อยรูปงามเข้าไปท้าพนันพระเจ้าธนัญชัยเจ้าเมืองอินทปัตในการเล่นสกาโดยเอาดวงแก้ววิเศษของตนเป็นเดิมพัน โดยบอกว่าดวงแก้วนี้เป็นของวิเศษสามารถบันดาลได้ทุกอย่างตามแต่จะปรารถนาและยังมีม้าสินธพซึ่งวิ่งเร็วดุจพายุที่ตนใช้เป็นพาหนะอยู่เป็นเดิมพัน...
    ส่วนพระเจ้าธนัญชัยนั้น ก็รับคำท้าโดยพนันด้วยของทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์มีแต่มีข้อยกเว้นว่า ไม่เอาตัวพระองค์และเศวตฉัตรกับพระมเหสีของพระองค์เท่านั้น..จากนั้นการเล่นสกาก็เริ่มขึ้น......

    <O:p</O:p

    .... การพนันไม่ใช้สิ่งดีงานจัดเป็นอบายมุข....
    ณ.โรงเล่นสกา...พระเจ้าธนัญชัยโกรัพยะและปุณณกยักษ์ได้ประกาศต่อหน้าพระพักตร์ของพระราชาทั่วชมพูทวีปที่มาร่วมอยู่ในโรงสกามีทั้งสิ้น ๑๐๑ พระองค์ ทรงนั่งทอดพระเนตรอยู่ ณ.โรงสกาแห่งนี้......เพื่อเป็นพยานในการเล่นสกา ว่า ใครจะเป็นผู้ชนะหรือผู้แพ้ในการเล่นสกาหากผู้ใดแพ้ก็ห้ามบิดพลิ้วโดยต้องเสียของพนันในทันที....ไม่มีข้อกังขาแม้เล็กน้อย......
    ในขณะนั้นปุณณกยักษ์ผู้มีฤทธิ์ก็ได้ใช้อำนาจวิเศษของตนทำให้มีชัยในการแข่งจนชัยพระเจ้าธนัญชัยโกรัพยะไปได้ ดังนั้นปุณณยกษ์ก็ขอท่านวิธูรบัณฑิตอันเป็นเครื่องพันจากพระเจ้าธนัญชัยโกรัพยะ มาเป็นของๆตน...
    เมื่อนั้นเองพระเจ้าธนัญชัยโกรัพยะก็กล่าวปฏิเสธว่า.
    <O:p</O:p

    "เราไม่หากให้วิธูรบัณฑิตแก่ท่านได้ เพราะเราเองก็นับถือวิธูรบัณฑิต ดุจญาติฉะนั้น วิธูรบัณฑิตจึงเป็นอันเดียวกันกับเรา คือ เป็นตัวเราด้วยเช่นกันจึงไม่นับเข้ากับของที่พนันไว้"...
    เหตุที่พระเจ้าธนัณชัยโกรัพยะกล่าวเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่าพระองค์จะไม่ยอมเสียวิธูรบัณฑิตไป และอีกอย่างก็เพราะพระองค์นั้นให้เกียรติถือเอาวิธูรบัณฑิตเป็นญาติร่วมสายโลหิตย่อมถือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับตัวพระองค์เอง.....
    ฝ่ายปุณณกยักษืก็ไม่ยอมรับพระดำรัสของพระเจ้าธฯัญชัยโกรัพยะจึงได้กล่าววาจาขึ้นต่อหน้าเหล่ากษัตริย์ทั้งหลายว่า
    "พระเจ้ากรุงอินทปัตถนครจงใจบิดพลิ้วจะไม่ยอมมอบของพนันให้ ทั้งๆที่แพ้ในการเล่นสกากับไม่ให้ของพนัน"....
    ในที่สุดก็เกิดการพูดคุยปรึกษากันเรียกกันเข้าประชุมในเรื่องดังกล่าว ในเหตุที่เกิดขึ้น...หลังจากประชุมปรึกษากันเป็นที่ตกลงแล้วว่าระหว่างพระเจ้าธนัญชัยโกรัพยะและปุณณกยักษ์ ใครจึงควรได้ครองท่านวิธูรบัณฑิต..โดยลงความเห็นให้ท่านวิธูรบัณฑิตเป็นผู้ตัดสินความในเรื่องนี้....
    จากนั้นเมื่อตกลงกันแล้วได้ใจความในเรื่องดังกล่าวแล้ว ก็ได้เชิญวิธูรบัณฑิตเข้าพบบอกกล่าวเรื่องราวตามที่ได้ประชุมกัน...เมื่อวิธูรบัณฑิตทราบเรื่องว่าตนเป็นของพนันและยังได้เป็นผู้ว่าความตัดสินในเรื่องของตน....ดังนั้นเมื่อพิจารณาได้ความแล้วจึงกล่าวทูลไปว่า..
    "ข้าพเจ้าได้วินิจฉัยแล้วว่า...ทุกสิ่งในอินทปัตถนคร เป็นของพระเจ้าธนัญชัยโกรัพยะ ฐานะของข้าพเจ้านอกจากจะเป็นทรัพย์สมบัติของพระเจ้าธนัญชัยโกรัพยะแล้ว ก็ยังถือว่า เป็นผู้รับใช้เป็นข้าราชการแล้ว ตามธรรมเนียมยังคงเป็นทาสโดยกำเนิด ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่นับรวมเข้าในข้อยกเว้น เหมือนพระมเหสี และเศวตฉัตรแต่อย่างใดและที่สำคัญนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่อาจจะยกตนเสมอกับพระเจ้าธนัญชัยโกรัพยะได้ถืงแม้พระองค์จะนับข้าพเจ้าเป็นญาติตามสายโลหิตก็ตาม"
    ปุณณกยักย์พอใจมากกับคำวินิจฉัยของวิฑูรบัณฑิตแต่ในทางพระเจ้าธนัญชัยโกรัพยะนั้น ทรงเสียพระทัยมากที่วิธูรบัณฑิตไม่ยอมรับตนเองเป็นญาติดังนั้น พระองค์จึงจำต้องยกวิธูรบัณฑิตให้แก่ปุณณกยักย์ไปแต่โดยดี.....แต่ก่อนที่จะมอบวิธูรบัณฑิตไปนั้น พระเจ้าธนัญชัยโกรัพยะทรงขอร้องให้วิธูรบัณฑิตแสดงธรรมสำหรับฆราวาสให้พระองค์ฟังเป็นครั้งสุดท้ายและยังเป็นการขอที่วิธูรบัณฑิตก็ยินยอมโดยได้แสดงฆราวาสธรรม ซึ่งมีอยู่ ๒๐ ข้อ....โดยว่าด้วยเนื้อความดังนี้...
    - ผู้ครองเรือนไม่ควรนำผู้หญิงสาธารณะมาเป็นภรรยา
    - ไม่ควรกินของอร่อยคนเดียว เพราะผู้ที่กินของคนเดียวย่อมไม่มีความสุข
    - ไม่ควรเอาตัวไปตัวไปยุ่งในเรื่องทะเลาะวิวาท ซึ่งไม่ใช้ทางสวรรค์ทางนิพพาน
    - ควรรักษาศีลห้า ให้บริสุทธิ์

    - ไม่ทำสิ่งที่ผิดกฏหมาย บ้านเมือง
    - ไม่ประมาทในการทำความดีและกุศลกรรม
    - ต้องเป็นผู้มีวิจารณญาณ มีความคิดที่รอบคอบ

    - ต้องรู้จักถ่อมตน ไม่เย่อหยิ่ง
    - มีความสงบเสงี่ยมคือ มีโสรัจจะ
    - ยึดมั่นในคำสอนของนักปราชญ์เป็นนิตย์
    - ไม่เป็นผู้หยาบคายด้วยกาย วาจาและใจ

    - รู้จักสงเคราะห์ในเพื่อนและบุคคลที่ควรสงเคราะห์
    - รู้จักให้ทานแก่นักบวชและคนจนอนาถา

    - สามารถแก้ปัญหาจัดแจงกรณียกิจได้ให้ทันเวลา
    - ถวายข้าวน้ำและปัจจัยสี่แก่สมณะชีพราหมณ์ให้เพียงพอ
    - เป็นผู้คล้อยตามประเพณีนิยมบ้าง และคล้อยตามสัจจะธรรมบ้าง

    - เป็นผู้สนใจในการศึกษาเล่าเรียนและหมั่นเรียนรู้ตลอดเวลา
    - หมั่นปรึกษาข้อธรรมกับสมณะพราหมณ์
    - เลือกคบหากับพหูสูตผู้มีความรู้กว้างไกลและมีศีลธรรมประจำใจ
    จากนั้นการแสดงธรรมก็เป็นอันจบลง ...
    จากนั้น ปุณณกยักย์ก็ปล่อยให้วิธูรบัณฑิตได้อยู่สั่งเสีย อยู่กับพ่อแม่และครอบครัวเป็นเวลาสามวัน เพราะอีกไม่ช้าปุณณกยักย์ ก็จะฆ่าและควักเอาเนื้อหัวใจจากนั้นก็ได้พาวิธูรบัณฑิตไปยังนาคพิภพ..... ในการนั้นเอง ขณะเดินทางปุณณกยักษ์ก็มีความคิดเกิดขึ้นว่า หากตนลงมือฆ่าวิธูรเองก็จะถูกครหานินทาจากเทพเจ้าทุกสรวงสวรรค์ และอาจถูกลงโทษได้...เราควรคิดหาอุบายทำให้วิธูรบัณฑิตตายด้วยอุบัติเหตุ โดยไม่ได้ตั้งใจดีกว่าเมื่อปุณณกยักษ์คิดได้ดังนั้น แล้วก็ให้วิธูรนั่งบนหลังม้าโดยตนเอง เป็นผู้ควบม้าสินธพที่เป็นม้าประจำตัวของปุณณกยักษ์แล้ว ก็ควบม้าไปอย่างเร็วดุจพายุร้ายวิ่งเล็ดลอดไปตามกิ่งไม้และซอกหินตามซอกเขา ทะยานขึ้นๆลงๆอย่างรวดเร็ว เพื่อหวังให้วิธูรบัณฑิตตกจากม้า...
    ด้วยเดชบุญบารมี ดังคำโบราณว่า"คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้"...ดังเช่น วิธูรบัณฑิต กิ่งไม้และก้อนหินต่างหลบเลี่ยงแม้เสียงที่ดังกึกก้องกัมปนาทน่าหวาดเสียว ก็ไม่อาจทำให้วิธูรบัณฑิตตกใจ จนทำให้ตกจากม้าได้...
    แม้จะพยายามอย่างไรก็ไม่อาจทำให้ถึงแก่ความตายได้....
    ดังนั้น ปุณณกยักษ์ก็หยุดม้าแล้วจับวิธูรบัณฑิตยกขื้นขว้างไปที่หน้าผาแห่งหนึ่ง ก็ไม่อาจทำให้ตายได้
    จึงคิดหาวิธีใหม่ในการจะฆ่าวิธูรบัณฑิตให้ตายให้ได้.......
    ฝ่ายวิธูรบัณฑิตก็เกิดความสงสัยว่า ทำไมปุณณกยักษ์จึงคิดฆ่าตน....ให้ตายเพราะเหตุใดมีเหตุจากอะไรกันแน่....ดังนั้น จึงเอ่ยปากถามปุณณกยักษ์ไปถึงเหตุผลที่ปุณณกยักษ์ต้องการฆ่าตน...ปุณณกยักษ์ก๊เล่าความให้ฟังว่าที่จะฆ่านั้น ก็เพราะต้องการหัวใจของท่านไปให้นางวิมาลามเหสีของพญานาค และเมื่อตนทำได้สำเร็จ....ตนก็จะได้ครองนางอริทันตีผู้เลอโฉม ...นางจะยอมเป็นภรรยาแห่งเรา.... เมื่อวิธูรบัณฑิตได้ฟังดังนั้น....จึงพิจารณาเข้าใจในกามตัณหา... ความรักความหลงแห่งอิสตรี... ความรักความชอบเป็นแห่งให้กระทำได้ในทุกเรื่อง....เหมือนกับปุณณกยักษ์....

    ดังนั้น ท่านวิธูรบัณฑิตก็ชี้แจงว่า...จริงๆแล้ว นางวิมาลานั้นมีความต้องการจะพบกับตน เพียงเพื่อต้องการฟังธรรมเท่านั้น....หามีเรื่องอื่นไม่.... จากนั้นวิธูรบัณฑิตก็แสดงธรรมให้ปุณณกยักษ ฟังจนเกิดความเลื่อมใสจนมีจิตใจเบิกบานในธรรม ละความคิดนึกในเรื่องของสตรี ไม่ตกอยู่ในอำนาจของตัณหาราคะ ทำให้คุณงามความดีที่เคยมีมาละลายหายไป แม้แต่มิตรภาพก็ถูกทำลายเสีย นี้แลที่เรียกว่า"แม่น้ำเสมอด้วยตัณหาไม่มี"หรือตัณหาพามืดบอด ดังนี้......
    จากนั้นวิธูรบัณฑิต ก็ขอให้พาไปยังนาคพิภพเมื่อไปยังนาคพิภพก็ได้แสดงธรรมให้พญานาครู้จักทำบุญด้วยการแผ่เมตตาจิตไปยังหมู่นาคพร้อมทั้งบริวารเพื่อให้เกิดไมตรีจิตแก่เหล่าหมู่นาคดัวยกันจากนั้นก็เข้าไปพบนางวิมาลาแล้วก็แสดงธรรมด้วยยกเอาเรื่องที่แสดงแก่พญานาคให้นางวิมาลาฟังนางวิมาลานาค เมื่อได้ฟังก็เลื่อมใสศรัทธาในตัววิธูรบัณฑิตมาก

    ในช่วงนั้นนาคพิภพเต็มไปด้วยแรงศรัทธาแรงธรรมที่วิธูรทรงแสดงไว้ ทั้งพญานาคและนางวิมาลา เมื่อมีศรัทธาทั้งสองตนแล้ว....ก็ยอมยกนางอริทันตีให้ปุณณกยักษ์ไปแต่ด้วยดี...

    ส่วนปุณณกยักษืดีใจที่ได้นางอันเป็นที่รักแห่งตนดังนั้นจึงมอบแก้วมณีวิเศษให้พญานาคแล้ว ก็นำวิธูรบัณฑิตกลับไปยังกรุงอินทปัตถนครทำให้พระเจ้าธนัญชัยโกรัพยะพอพระทัยมากที่ได้ตัววิธูรบัณฑิตกลับคืนมาดังเดิม.....

    จบสัจจบารมี..... ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย...

    ...ขอจงเจริญในธรรม..
    พระวัดหวเขา



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2022
  15. พระวัดหัวเขา

    พระวัดหัวเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,562
    ค่าพลัง:
    +4,805
    1281.jpg chuchak.jpg
    ชาติสุดท้าย....พระเวสสันดร..ทานบารมี

    ๑๐. พระเวสสันดร-ทานบารมี
    เราท่านทราบดีว่า ในชาติสุดท้ายแห่งพระพุทธเจ้าของเรานั้นทรงเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดรและทรงได้บำเพ็ญทานบารมีคือการบริจาคทานนั้นเอง แต่เป็นการบริจาคทานที่ยิ่งใหญ่โดยไม่มีบุคคลใดทำได้จนเป็นที่เล่าขานมาจนทุกวันนี้......
    เรื่องราวมีอยู่ว่า....ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้มีเทพธิดาอยู่หนึ่งองค์นามว่า"ผุสดี"ในครั้งนั้นเป็นเวลาที่เทพธิดาที่มีนามว่า ผุสดีจะต้องจุติลงมาสู่โลกมนุษย์....เพราะเหตุบุญหมดจำต้องมาเกิด ดังนั้น พระนางผุสดีเทพธิดาจึงได้ขอพรจากพระอินทร์ผู้เป็นพระสวามีด้วยพร ๑๐อย่าง....
    พรสิบอย่างที่ขอมีดังนี้.. (ขอเขียนแบบง่ายๆ ลูกทุ่งๆสบายๆ คงไม่ว่ากัน)

    ขอให้ในตาสวย ดุจนางเนื้อทรายทีเกิดได้เพียงหนึ่งปี ขอให้แววตาดำสนิท
    <> ขอให้มีขนคิ้วงอนงาม ดุจหนึ่งพระจันทร์ครึ่งเสี่ยวบนท้องฟ้าในทิศปัจฉิม(ทิศตะวันตก)
    <> ขอให้พระนามว่า"ผุสดี"เหมือนเดิม
    <> ขอให้ได้ลูกชายที่มีคุณธรรมเป็นนับถือของคนทั่วไป และเป็นที่พึ่งแก่คนยาก
    <> เมื่อตั้งครรภ์อย่าได้โตใหญ่เหมือนสตรีทั่วไป
    <> ขอให้ปทุมถันทั้งสองสวยงานได้งดงามสมส่วน เหมือนดอกบัวตูมอยู่ตลอดไป
    <> ขออย่าได้ผมงอกแม้เส้นเดียว
    <> ขอให้ผิวพันธุ์ตลอดทั้งร่าย อย่าได้มีตำหนิ
    <> ขอให้มีอำนาจในการลดโทษแก่ผู้ประมาณ
    <> ขอให้ได้เป็นมเหสีของพระราชาเมืองสีพิราษฏร์ และมีสมบัติมาก
    เมื่อพระอินทร์ผู้เป็นพระสวามี ได้ฟังแล้ว และก็ได้พรทั้ง๑๐ประการแล้ว จากนั้น นางก็ได้จุติลงมาบังเกิดในโลกมนุษย์เป็นพระราชธิดาของพระเจ้ามัททราชต่อมาก็ได้อภิเษกสมสมรสกับพระเจ้าสญชัยแห่งเมืองสีพีรัฐนครต่อมาก็มีพระโอรสองค์หนึ่ง ได้พระนามว่า
    "พระเวสสันดร"
    กล่าวถึงพระเวสสันดรนั้นพระองค์มีอัธยาศัยดี มีน้ำพระทัยมากไปด้วยเมตตา และยังชอบบริจาคทานเป็นนิตย์ไม่ว่าใครจะขออะไรเป็นบริจาคหรือให้ในทันที หรือที่เรียกว่า ถ้าท่านขอเราก็ให้โดยไม่เสียดาย... ดังนี้..
    เมื่อพระเวสสันดรเติบโตมีพระชนมายุได้ ๑๖
    พรรษาก็ได้อภิเษกสมรสกับพระนางมัทรี ซึ่งเป็นพระราชธิดาของราชวงศ์ กษัตริย์มัททราชเมื่ออภิเษกอยู่ครองคู่กันแล้วก็มีบุตร ๒พระองค์ เป็นพระโอรส ๑องค์ พระธิดา ๑องค์ มีพระนามว่า "ชาลี" และ"กัณหา" "ชาลี"เป็นนามของพระโอรส ส่วน"กัณหา" เป็นพระนามของพระธิดา
    การเป็นอยู่ของพระเวสสันดรและพระนางมัทรีและพระโอรสพระธิดาก็เป็นอยู่อย่างสุขสบายด้วยใจที่เต็มไปด้วยการบริจาคทานโดยตั้งโรงทานให้ทานตลอดทุกทุกวัน อย่างมีความสุขแต่อยู่มาวันหนึ่งก็มีเหตุการณ์ที่จำต้องจากบ้านจากเมืองไปอยู่ป่า ถือศีลกินเจบำเพ็ญภาวนาทั้งๆที่การบริจาคทานเป็นสิ่งดี แต่เมื่อบริจาคไปแล้วกลับมีโทษ
    นี้และพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่แน่นอนมีความตั้งอยู่แล้วดับไป ไม่จีรังดังนี้.
    เหตุที่ต้องจากบ้านจากเมืองไปก็เพราะ....พระเวสสันดรได้ประทานช้างเผือก ซึ่งเป็นช้างคู่บ้านคู่เมืองที่ชื่อว่า"ช้างปัจจัยนาค"แก่พราหมณ์ ชาวเมืองกาลิงคะไปซึ่งพระเจ้ากาลิงคะ มหากษัตริย์ได้จัดการให้พราหมณ์ เป็นผู้ไปสู่ขอช้างปัจจัยนาคมาอยู่ที่เมืองกาลิงคะเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่เมือง
    ในตอนนี้ที่เมืองกาลิงคะนั้นฝนแล้งมาก และแล้งมานานหลายปีจึงจำต้องไปทูลของช้างปัจจัยนาคมานี้แลจึงเป็นเหตุที่สำคัญในการออกไปอยู่ป่าของพระเวสสันดร และพระนางมัทรีพร้อมด้วยพระโอรสชาลี และพระธิดากัณหา.......
    เพราะประชาชนนั้นไม่พอใจที่พระเวสสันดรให้ช้างปัจจัยนาคไปจึงเข้าเฝ้าพระเจ้าสญชัยทูกบอกให้ขับไล่พระเวสสันดรให้ออกจากเมืองเสีย.....

    หลังจากพระเวสสันดรได้บริจาคช้างปัจจัยนาคไปนั้นจึงเป็นให้ออกจากเมืองและเข้าป่า ตามคำของพระราชบิดา ......
    ก่อนที่จะไปพระเวสสันดรก็ขออยู่ในเมือง เพื่อบำเพ็ญทานที่เรียกว่า"สัตตกมหาทาน"คือการให้สิ่งของมีองค์ประกอบ ๗อย่างหรือ ๗สิ่งก็ได้ในแต่ละอย่างหรือแต่ละสิ่งนั้น สิ่งละ ๗๐๐อย่าง หรือ ๗๐๐สิ่ง (ของเจ็ดอย่างอย่างละ เจ็ดร้อยนั้นเอก) เมื่อให้ทานแล้วก็เสร็จออกจากเมืองไปสู่ป่าเพื่อบวชเป็นฤาษีบำเพ็ญศีล ภาวนาที่เขาวงกต.....
    การเดินทางไปเขาวงกตนั้นต้องลำบากเป็นแน่ ดังนั้นพระเจ้ากรุงสญชัยก็ขอพระนางมัทรีและพระโอรสไว้ แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะพระนางมัทรีไม่ยอมก็เลยพร้อมใจกันออกไปทุก ๆ คน โดยอาศัยรถม้าพระที่นั่งไป แต่รถม้าพระที่นั่งก็ยังมีคนมาขอไปอีก ดังนั้นพระเวสสันดร และพระนางมัทรี พร้อมพระโอรสก็ต้องเดินด้วยเท้าเปล่าไปสู่เขาวงกต .....
    ในการเดินทางไปสู่เขาวงกตนั้นพระเวสสันดรได้รับการเอื้อเฟื้อจากกษัตริย์เจตราชที่ช่วยชี้แนะบอกทางให้เป็นอย่างดี แม้ในระหว่างทางก็ได้รับการดูแลปรนนิบัติจากนายพรานล่าเนื้อ มีชื่อว่า"เจตบุตร"เมื่อเดินทางถึงเขาวงกต และจัดหาสถานที่ได้แล้ว กษัตริย์ทั้ง ๔ก็ถือบวชเป็นฤาษี
    ในคณะที่บำเพ็ญพรตอยู่ได้ประมาณ ๗เดือน ก็ต้องเสียพระโอรสไปอีกทั้งสองพระองค์โดยให้ทางไปกับขอทานที่ชื่อว่า
    "ชูชก"
    หลังจากพระเวสสันดรเข้าไปอยู่ป่าบำเพ็ญพรตแล้ว ก็มีเหตุให้ต้องทำทานอีกเพื่อความเต็มแห่งบารมีทาน เป็นไปเพื่อความหวังที่หวังไว้ ... ในการให้ทางนั้นมี การให้วัตถุสิ่งของ การให้อวัยวะของตนและการให้ได้แม้ชีวิตของตน .... ผู้หวังในโพธิญาณย่อมบำเพ็ญมาทุกๆพระองค์ ....
    ในตอนต้นได้กล่าวไว้ในเรื่องว่าชูชกจะมาขอพระโอรสไปไว้ใช้งานนั้น เราก็ควรมารู้จักเฒ่าชูชกกันก่อ

    ...เรื่องของชูชก ....
    ว่ากันว่าชูชกนั้น จัดเป็นพราหมณ์ที่มีความชำนาญในการขอเป็นที่หนึ่งในหมู่บ้านทุนวิฐะ ในแคว้นกาลิงคะ (รูปร่างนั้นเราคงเคยเห็นในรูปที่วาดกันไว้) มีภรรยาชื่อ "อมิตดา"ยังคงเป็นเด็กสาวที่พ่อแม่ยกให้กับเฒ่าชูชก เพราะพราหมณ์สามีภรรยาคู่หนึ่ง ที่เป็นพ่อของอมิตดานั้นได้เอาเงินทองที่เฒ่าชูชกฝากไว้ไปใช้จนหมด เมื่อเฒ่าชูชกมาเอาเงินคืนกลับไม่มีให้จึงยกลูกสาวคือ นางอมิตดาให้ไป เพื่อทดแทนเงินที่เอาไปใช้
    การที่ชูชกไปขอพระโอรสทั้งสอง ก็เพราะนางอมิตดาภรรยาสาวยุยงให้ไป ขอมาเป็นคนรับใช้ เหตุเพราะนางอมิตดาถูกภรรยาชาวบ้านรังแก(นางอมิตดาปฏิบัติสามีแก่ได้ดีเป็นเหตุให้สามีหญิงชาวบ้านเหล่านั้นอิจฉา แล้วพาลด่าว่า ภรรยาของตน)
    เฒ่าชูชกนั้นห่วงแสนห่วงภรรยาสาวแต่เฒ่าชูชกก็จำต้องไป ทั้งๆที่ห่วงภรรยาสาวอยู่มาก(เห็นทำรั้วรอบบ้านไว้ที เดี๋ยวนี้และเขาเรียกว่าตัณหา ราคะ) <O:p</O

    การเดินทางไปเขาวงกตนั้น ยากเพราะมีพรานเจตบุตรเฝ้ารักษาปากทางเข้าอยู่ที่ต้องเฝ้าเพราะกลัวคนจะเข้าไปกวนพระเวสสันดรนั้นเองเมื่อเฒ่าชูชกเดินทางไปเจอพรานเจตบุตรแล้วเฒ่าชูชกก็ใช้กุศโลบายหลอกพรานเจตบุตรจนหลงเชื่อ และก็ยอมบอกทางไปเขาวงกต<O:p</O:p
    เมื่อเดินทางไปตามคำบอกแล้วก็ไปเจอกับท่านอจุตฤาษีที่อาศรมเฒ่าชูชกก็ลวงอจุตฤาษีว่า ตนนั้นเป็นเพื่อนกับพระเวสสันดรและยังหลอกให้บอกทางไปอาศรมของพระเวสสันดรอีก (ร้ายจริงๆชูชก)เมื่อได้ที่อยู่แล้วก็ออกเดินทางต่อไป .......
    เฒ่าชูชกเมื่อได้เวลาที่คิดไว้ก็เข้าสู่อาศรมของพระเวสสันดร เมื่อเข้าไปถึงในใจก็คิดว่า"ดีในตอนนี้พระนางมัทรีไม่อยู่ ตามที่เราคิด สบายแล้วเราถ้าพระนางมัทรีอยู่เราลำบากแน่ และก็จะไม่ได้พระโอรส กับพระธิดา"<O:p</O:p

    <O:p</O:p

    เมื่อเข้าไปถึงอาศรมแล้ว ก็กล่าวขอพระโอรสและพระธิดากับพระเวสสันดรทันทีในขณะนั้นพระโอรสและพระธิดาเห็นเฒ่าชูชกก็ทราบทันทีว่า<O:p</O:p
    <O:p
    "เราต้องเป็นของทาน ให้กับคนๆ นี้แน่นอน"
    เมื่อคิดได้ก็พากันหนีลงสระน้ำเมื่อพระเวสสันดรมองหาลูกที่จะให้เป็นทานนั้นก็ไม่เห็น ทำให้เฒ่าชูชกโกรธมากถึงกับต่อว่าพระเวสสันดรว่า
    "พระเวสสันดรทำสัญญาณให้พระโอรสและพระธิดา หนีไป"
    ในเวลานั้นพระเวสสันดรก็มีโทสะขึ้นเช่นเดียวกัน แต่ด้วยความรู้ที่เท่าทันจึงทำให้ระงับได้ แล้วก็เรียกลูกทั้งสองให้ออกมาเพื่อช่วยเสริมบารมีที่ได้กระทำเพื่อความสำเร็จในสิ่งที่หวัง เมื่อได้ยินพระเวสสันดรเรียกก็ออกมาในทันทีด้วยความคิดถึงความเป็น พระโอรส และพระธิดา แห่งราชวงศ์เชื้อสายกษัตริย์ต้องไม่ให้พระราชบิดาเรียกเกินสองคำ ....
    ฝ่ายพระนางมัทรี
    เมื่อออกไปหาผลไม้นั้น จิตใจก็ไม่สู้ดี ผลไม้ที่เคยหาได้ง่ายก็กลับหายากเมื่อขากลับมา ก็มีเสือมานอนขวางอยู่กลางทาง ทำให้กลับอาศรมช้าเมื่อกลับมาถึงเฒ่าชูชกก็พาพระโอรสและพระธิดาไปแล้ว (ในตำราว่าเทวดา เจ้าที่เจ้าทางทำให้เหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นเพื่อให้พระเวสสันดรได้ สร้างทานบามีที่ยิ่งใหญ่) <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เมื่อพระนางมัทรีกลับมาไม่เห็นลูกก็ร้องไห้เข้าไปหาพระเวสสันดรแต่กลับถูกพระเวสสันดรต่อว่าให้อีกในตำราว่าสลบไปไม่รู้นานเท่าไร....
    กล่าวถึงก่อนที่พระเวสสันดรจะให้พระโอรสและพระธิดานั้นก็ได้ชี้แจงให้พระโอรสและพระธิดา ให้ทรงทราบในเรื่อง การบำเพ็ญทานอันยิ่งใหญ่และยังทรงตั้งราคาค่าไถ่ถอนพระโอรสและพระธิดาไว้สูงมาก (เห็นว่าตั้งราคาสูงแบบคนธรรมดาไม่สามารถไถ่ถอนได้)
    ส่วนพระนางมัทรี เมื่อตื่นจากสลบแล้ว ก็ได้ทราบว่าพระเวสสันดรได้ให้ลูกทั้งสองไปแล้วและยังได้ฟังพระเวสสันดรกล่าวถึงการบำเพ็ญทานอันยิ่งนั้นแล้วพระนางมัทรีก็ขออนุโมทนาในการบริจาคที่กระทำได้ยากแสนยากในครั้งนี้ ...
    ในการทำทานของพระเวสสันดรในครั้งนี้ จัดเป็นทานที่บริบูรณ์ยิ่งในการบำเพ็ญบารมี เมื่อให้ทานแล้วก็กลับอยู่ปฏิบัติธรรมที่อาศรมต่อไป
    เมื่อพระโอรสและพระธิดาไม่อยู่แล้วก็คงมีแต่พระ<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]มัทรีเท่านั้น ที่อยู่รับใช้

    ในตำราบอกว่าต้องเดือดร้อนไปถึงพระอินทร์ว่า
    " ถ้ามีใครมาขอพระนางมัทรีไปพระเวสสันดรต้องให้ไปแน่นอน เมื่อให้ไปแล้วพระเวสสันดรต้องลำบากแน่ดังนั้นเราต้องไปขอไว้ก่อน"ว่าแล้วก็แปลงเพศเป็นพราหมณ์ไปทูลขอพระนางมัทรีจากพระเวสสันดรเมื่อขอได้แล้วก็ถวายกลับคืนให้ เพื่อให้พระนางมัทรีรับใช้พระเวสสันดรต่อไป
    จากนั้นก็แสดงตนเป็นพระอินทร์และให้บอกให้พระเวสสันดรขอพรได้ตามต้องการ ส่วนพระเวสสันดรก็ทรงขอพรที่ต้องการไว้ ๘ อย่าง เมื่อพระอินทร์ประทานพรให้แล้วก็เสด็จกลับเทวโลก ....


    พร ๘ ประการที่พระเวสสันดรขอไว้แล้วนั้นมีดังนี้ .....
    <>ขอให้พระบิดาหายโกรธ และออกมารับกลับเมือง
    <> ขอให้ได้ปลดปล่อยนักโทษให้พ้นจากพันธนาการ
    <> ขอให้มีพระราชทรัพย์ เพื่อพระราชทานให้แก่คนยากจน
    <> ขออย่าให้ลุอำนาจแห่งสตรี ผิดในภรรยาของผู้อื่น
    <> ขอให้พระโอรสมียศมีความสามารถปราบข้าศึกให้พ่ายแพ้ได้ทุกๆครั้งไป
    <> ขอให้เกิดฝนแก้ว๗ ประการตกลงมา เกิดความอยู่เย็นเป็นสุขไปทั่วพระนคร
    <> ทรัพย์ที่มีอยู่เพื่อพระราชทานแก่ประชาชนนั้น อย่าได้มีหมดสิ้นไป
    <> เมื่อสวรรคตแล้วขอให้อุบัติขึ้นในสวรรค์ชั้นดุสิต จากนั้นก็ให้จุติในโลกมนุษย์
    เพื่อบรรลุเป็นพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในอนาคตกาลเทอญ .....
    ฝ่ายเฒ่าชูชกก็พาพระโอรสและพระธิดาทั้งสองเดินทางจากอาศรมไปแล้ว
    ก็พาพระโอรสและพระธิดาเดินไปตามป่าเขาพักนอนและเดินทางต่อไป ประมาณหลายวันก็ออกจากป่าไป ในการเดินทางนั้น พระโอรสและพระธิดาได้รับความลำบากมาก
    ในครั้งนั้นได้กล่าวไว้ว่า เหล่าเทพเจ้าได้ดลใจให้เฒ่าชูชกเดินหลงทางไปออกที่นครสีพี ซึ่งเป็นนครของพระเจ้าสญชัยผู้เป็นปู่ เมื่อพระเจ้าสญชัยทราบว่า เฒ่าชูชกได้นำหลานของตนมาจากพระเวสสันดรจึงโปรดให้เหล่าเสนาออกไปรับเข้าพระราชวังมาถามทุกข์สุขและถามในเรื่องค่าไถ่ตัวของพระโอรสและพระธิดา
    เมื่อได้ความแล้วก็ส่งสั่งให้เบิกทรัพย์มาไถ่ตัวพระชาลีและพระกัณหาตามราคาที่พระเวสสันดรตั้งเอาไว้ และยังพระราชทานทรัพย์ให้แก่เฒ่าชูชกพร้อมจัดอาหารรับรองเฒ่าชูชก ด้วยอาหารที่ดี ในที่สุดฝ่ายเฒ่าชูชกก็กินอาหารแบบไม่รู้พอ เกินประมาณทำให้อาหารไม่ย่อยจึงทำให้ท้องแตกตายในที่สุด
    จากนั้นพระเจ้าสญชัยก็จัดกระบวนทัพโยธา พาไพร่พลมุ่งไปยังเขาวงกต เพื่อเชิญพระเวสสันดรกลับเมืองในขณะที่ไปถึงแล้วได้พบหน้ากัน ทั้งหกกษัตริย์ต่างดีใจและเสียใจพร้อมๆกันต่างองค์ก็พากันร้องไห้กันแสงจนถึงกับสลบไปทุกๆพระองค์ จากนั้นพระอินทร์จึงทรงบังดาลให้ฝนโบกขรพรรษตกลงมาในบริเวณนั้นทำให้กษัตริย์ทั้งหกพระองค์ฟื้นคืนจากการสลบแล้ว ....และในที่สุดทุกๆพระองค์ก็อยู่กันอย่างเป็นปกติสุข

    จบเรื่องพระเวสสันดร อันเป็นชาติสุดท้ายในการบำเพ็ญบารมีขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นามว่า "พระสมณโคดม" สมัยที่พระองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ก่อนที่จะสำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณ....
    ขอความเจริญในธรรมจงเกิดมีแก่ท่านผู้ปฏิบัติ...
    <O:p


    พระวัดหัวเขา ....นาโพธิ์...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2022
  16. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    โมทนาครับ รอครบ 10 ทัศแล้วจะทำเป็นกระทู้แนะนำให้ครับท่าน
     
  17. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ขออนุโมทนาบุญกับน้องคมน์ด้วยค่ะ

    P'Numsai
     
  18. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    กราบนมัสการพระคุณเจ้าเจ้าค่ะ
    อนุโมทนาสาธุการเจ้าค่ะ
     
  19. พระวัดหัวเขา

    พระวัดหัวเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,562
    ค่าพลัง:
    +4,805
    หลวงพ่อโมทนาในการขวนขวายในบุญด้วยนะ:cool:

    ขอจงเจริญในธรรม

    พระวัดหัวเขา
     
  20. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    กราบนสัมการหลวงพ่อด้วยครับ

    กรรมใดที่ลูกเคยล่วงเกินท่านและบริวารของท่านตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
    ลูกกราบขอขมาและขออโหสิกรรม ณ โอกาสนี้
    และขอความเมตตาจากหลวงพ่อโปรดอดโทษให้แก่ลูก
    ตราบเท้าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ

    กรรมใดที่หลวงพ่อและบริวารของท่านตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
    ที่เคยล่วงเกินลูกมา ลูกขอให้อโหสิกรรมและให้อภัยทาน
    เพื่อน้อมถวายพระทุกองค์บนพระนิพพานด้วยเทอญ

    ลูกขอโมทนาบุญในทุกๆบุญที่หลวงพ่อได้บำเพ็ญมา
    และขอให้ลูกได้มีดวงตาเห็นธรรมเหมือนหลวงพ่อด้วยครับ

    หากได้เกิดมาเจอบริวารของหลวงพ่อในชาติใด
    ขอให้เป็นเนื้อนาบุญและกัลยาณมิตรทางธรรม
    เพื่อช่วยเกื้อกูลและสืบสานพระศาสนาด้วยครับ

    โมทนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...