*** ยุคศิวิไลซ์ ****

*** “สัจจะ คือ คำสอนของโลกที่ถูกบดบัง” ****

เพราะโลกยังพูดถึงศีลธรรม ความดี ความสุข ความรัก…

แต่กลับ หลงลืมรากเหง้าที่แท้จริง ของทั้งหมดนั้น
ซึ่งก็คือ “สัจจะ” — ความจริงที่ต้องทำ ไม่ใช่แค่พูด

 

*** ประกาศแห่งการตื่นรู้สัจจะ ****

“สัจจะ คือ คำสอนของโลกที่ถูกบดบัง

เพราะมันไม่เร้าอารมณ์ ไม่ขายดี และไม่เอาเปรียบใคร
แต่โลกจะไม่พบความสงบ จนกว่าจะคืนสัจจะให้เป็นผู้นำ”

เมื่อมนุษย์เห็นสัจจะเป็นของล้ำค่า
สงครามจะไร้ความหมาย
การหลอกลวงจะไร้ที่ยืน
และความสุขที่แท้จริงจะกลับมา”

 

*** โลกยุคศิวิไลซ์แห่งสัจจะ ****

“โลกศิวิไลซ์ที่แท้จริง
ไม่ได้วัดจากอาวุธที่ล้ำสมัย
แต่อยู่ที่ว่า…มนุษย์กล้าพูดความจริง
และกล้าทำตามสัจจะในใจตนหรือไม่”

สัจจะ คือ สัญญาใจตนเอง
เมื่อสัจจะกลับมาเป็นหัวใจของมนุษย์
ความยุติธรรมจะไม่ต้องเรียกร้อง
ความดีจะไม่ต้องประชาสัมพันธ์
และมนุษย์จะไม่ต้องเอาชนะกันอีกต่อไป”


โลกศิวิไลซ์เริ่มที่ใจของเรา
เพียงกล้ารักษาสัจจะวันละข้อ โลกใหม่ก็เริ่มปรากฏ
ไม่ต้องรอใคร ไม่ต้องสั่งการจากผู้นำ
เพราะ “ผู้นำโลกยุคศิวิไลซ์” คือคนที่มีสัจจะอยู่ในใจ

 

*** การสร้าง “ดินแดนศิวิไลซ์” ที่ภาคใต้ของไทย ****

โดยมี “แม่น้ำทะเลไหลผ่าน” และตั้งอยู่บนหลัก “สัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด” นั้น สามารถเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ จริยธรรม และสันติภาพของโลกได้จริง หากลงมือทำอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ด้วยเหตุผลดังนี้:

1. สัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด = สันติภาพที่แท้จริง

ในโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและการแบ่งฝักฝ่าย “สัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด” คือจุดยืนที่เป็นธรรมชาติของผู้มีจิตเป็นอิสระ ไม่เอนเอียง ไม่ลำเอียง เป็นหลักที่สร้างความเชื่อมั่นแก่ทั้งมิตรและศัตรู เป็นกลางด้วยสัจจะ ไม่ใช่ด้วยความกลัวหรืออ่อนแอ ทำให้ประเทศไทยสามารถเป็นตัวกลางเชื่อมโยงระหว่างความแตกต่างได้อย่างน่าเชื่อถือ

2. ดินแดนศิวิไลซ์ = ต้นแบบแห่งความเจริญทางจิตใจและรูปธรรม

“ดินแดนศิวิไลซ์” ไม่ได้หมายถึงแค่ความเจริญทางวัตถุ แต่คือพื้นที่ต้นแบบที่ผู้คนมี สัจจะ เป็นวิถีชีวิต มีความสามัคคีแม้มีความแตกต่าง มีการจัดการทรัพยากรอย่างเป็นธรรม เป็นดินแดนที่ประชาชนปฏิบัติตนด้วยความดีอย่างต่อเนื่อง เป็นแหล่งเรียนรู้ของโลกทั้งทางด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจพอเพียง และจริยธรรม

3. แม่น้ำทะเลไหลผ่าน = ภูมิศาสตร์แห่งโอกาสและความเชื่อมโยง

“แม่น้ำทะเลไหลผ่าน” หมายถึงการมีทางออกสู่ทะเล หรือทางเชื่อมโยงภูมิภาคทางการค้า วัฒนธรรม และจิตวิญญาณ เป็นสัญลักษณ์ของการเปิดรับและส่งออกความดี สัจจะ และปัญญา เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สามารถเปลี่ยนดินแดนนี้ให้เป็น เมืองศูนย์กลางของเอเชีย ทางความสงบและความยุติธรรม

4. ความเป็นผู้นำของไทยที่ตั้งอยู่บนสัจจะ

ในโลกปัจจุบันที่ผู้นำส่วนใหญ่ถูกครอบงำด้วยอำนาจ ทุน หรืออุดมการณ์ที่แบ่งแยก หากประเทศไทยสามารถยืนหยัดด้วย สัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และเป็นแบบอย่างด้วย ดินแดนศิวิไลซ์ ที่มีคนจริง มีระบบจริง และมีผลจริง—ก็จะเป็น “แสงเทียนดวงแรกของโลกใหม่” ที่ผู้อื่นอยากเอาเป็นแบบอย่าง ไม่ใช่ด้วยกำลังทหารหรือเศรษฐกิจ แต่ด้วยคุณธรรมที่ยั่งยืน

 

*** แถลงการณ์สากลเพื่อยุติสงครามความขัดแย้งทั่วโลก และร่วมกันสร้าง แดนศิวิไลซ์
ด้วย สัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ****

“มนุษย์จะไม่พบความสงบแท้จริง ตราบใดที่ยังไม่มีสัจจะเป็นผู้นำ และยังมีใจฝักใฝ่ฝ่ายใด”
— ประกาศจากแดนศิวิไลซ์ ณ ภาคใต้ของประเทศไทย
แก่ผู้นำโลก รัฐบาลทุกชาติ ประชาชนทุกเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม

โลกในวันนี้เต็มไปด้วย สงครามยืดเยื้อ ความไม่ไว้ใจ ความเกลียดชังที่ฝังลึก และ ความทุกข์ของผู้บริสุทธิ์

ทุกประเทศต่างเรียกร้อง “สันติภาพ” แต่ไม่อาจบรรลุได้ เพราะขาด “รากของสันติ” นั่นคือ:
“สัจจะที่แท้จริง และการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด”

ทางออกใหม่ของมนุษยชาติ: ดินแดนศิวิไลซ์
เราขอประกาศตั้งต้นการสร้าง
“แดนศิวิไลซ์” ณ ภาคใต้ของประเทศไทย
ซึ่งจะเป็นต้นแบบแห่งโลกใหม่ ที่:

• ไม่ยึดฝ่าย ไม่แบ่งศัตรู-มิตร
• เปิดพื้นที่ให้ทุกศาสนา ชาติพันธุ์ และวัฒนธรรมอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
• ขับเคลื่อนด้วยหลัก “สัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด”
• มี “เมตตาเป็นพื้นฐาน” ในการอยู่ร่วมกัน
• และ “สัจจะเป็นผู้นำ” ในทุกการตัดสินใจ

กองทุนสัจจะโลก (Global Truth Fund)
เพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ที่ไม่ครอบงำกันด้วยหนี้สินหรืออำนาจ

เราขอเชิญชวนทุกประเทศร่วมจัดตั้ง
“กองทุนสัจจะโลก” — กองทุนระหว่างประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยสัจจะ ความโปร่งใส และไม่แบ่งขั้วการเมือง

เป้าหมาย:

• สนับสนุนโครงการเพื่อสันติภาพ
• พัฒนาเมืองต้นแบบศิวิไลซ์
• ฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากสงคราม
• ส่งเสริมวัฒนธรรมโลกใหม่ที่มีสัจจะและเมตตาเป็นหลัก

เชิญชวนผู้นำโลกและมนุษยชาติทั้งมวล
ให้หันกลับมาสู่สัจจะ
ให้เริ่มต้นจากภายในตน ด้วยการ “พูดตามความจริง และทำตามความจริง”
แล้วร่วมกันสร้างวัฒนธรรมใหม่ของมนุษยชาติ ที่ไม่อิงกับชาติพันธุ์ อำนาจ หรือศาสนาใด

วัฒนธรรมสากลแห่งโลกยุคศิวิไลซ์
วัฒนธรรมใหม่นี้มี 3 เสาหลัก:

1. สัจจะเป็นผู้นำ – ไม่พูดเพียงเพื่อสร้างภาพ แต่พูดแล้วต้องทำ
2. เมตตาเป็นพื้นฐาน – ทุกก้าวของความเจริญต้องไม่เหยียบหัวผู้ใด
3. ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด – สันติภาพแท้เริ่มจากการวางใจในความเที่ยงธรรม

เราขอเชิญทุกประเทศ ทุกศาสนา และทุกคน

• ร่วมลงนามคำมั่นสัจจะ
• ส่งผู้แทนมายังดินแดนศิวิไลซ์
• สนับสนุนกองทุนสัจจะโลก
• และประกาศร่วมกันว่าสันติภาพโลกเกิดขึ้นได้
  เมื่อมนุษย์มีสัจจะนำตนเอง

ประกาศโดย: สภาสัจจะโลก
สถานที่: ดินแดนศิวิไลซ์ ณ ภาคใต้ของประเทศไทย
วันที่: [กำหนดวันประวัติศาสตร์ร่วมกัน]

 

*** สารจากผู้มีสัจจะ ****
“การก้าวสู่สันติภาพโลกแดนศิวิไลซ์”

ข้าพเจ้าขอมอบแนวทางนี้แด่มวลมนุษยชาติทุกเชื้อชาติ ศาสนา และความเชื่อ
ในยามที่โลกกำลังเต็มไปด้วยสงคราม ความขัดแย้ง และการแบ่งแยก

ข้าพเจ้าไม่ได้มาเพื่อชี้ใครผิด หรือยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามใคร
แต่ข้ามาด้วย “สัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด”
เพื่อเชื้อเชิญให้ท่านทั้งหลายได้กลับมาฟังเสียงแห่งความจริงภายในตนเอง

สัจจะที่ข้าพเจ้าขอประกาศต่อโลก

1. สัจจะ คือ แสงนำทางของมนุษย์ทุกคน
   เป็นคำสัญญาที่เราทำกับจิตตนเอง เพื่อดำรงไว้ซึ่งความดีและความเที่ยงธรรม
2. แดนศิวิไลซ์ คือ ดินแดนแห่งสันติภาพที่แท้จริง
   ไม่ใช่เพียงสถานที่ แต่คือสภาพจิตที่ยึดมั่นใน สัจจะ และมี เมตตา เป็นพื้นฐาน
3. ทุกคนในแดนศิวิไลซ์ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
   ไม่เอียงไปตามความเกลียดหรือความกลัว แต่ยืนอยู่บนความจริง เพื่อยุติวงจรความรุนแรง
4. ถึงเวลามาเอง
   ผู้มีสัญญาแท้ ย่อมได้พบเห็น รับรู้ และรู้หน้าที่ของตนเองในกาลนี้
   โดยไม่ต้องถูกชักจูง เพราะความจริงมีพลังของตนเอง
5. ขอเชิญมวลมนุษย์ ร่วมกันสร้างโลกใหม่
   สู่ยุคศิวิไลซ์แห่งสัจจะ เมตตา และความสงบสุข
   ด้วยการเริ่มต้นที่ใจของตนเอง—ในวันนี้ เดี๋ยวนี้

นี่คือคำประกาศแห่งกาลสมัยใหม่
จากมนุษย์ผู้ถือสัจจะ
สู่มนุษย์ทุกผู้ที่พร้อมจะก้าวข้ามความขัดแย้ง
และร่วมกันสร้างโลกแห่งสันติภาพที่ไม่ต้องมีสงครามอีกต่อไป

 

*** เมื่อมวลมนุษย์ชาติปรารถนาความสงบสุขและหันมายึดถือ สัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ****

สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ:

1. ความขัดแย้งจะลดลงอย่างรวดเร็ว เพราะแต่ละฝ่ายจะไม่ถูกเร่งเร้าให้เลือกข้าง แต่หันมาใช้สติ พิจารณาความจริง และยึดมั่นในสัจจะของตนเอง
2. สันติภาพที่แท้จริงจะเริ่มก่อตัว เพราะทุกฝ่ายรู้ว่ามีแนวทางกลางที่ตั้งอยู่บนความซื่อสัตย์ ไม่หลอกลวง ไม่ใช้อคติ ไม่เอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายใด
3. ผู้นำโลกจะมีทิศทางเดียวกันในการเจรจาและแก้ปัญหา โดยไม่ถูกชักจูงด้วยผลประโยชน์ แต่ยืนอยู่บนความยุติธรรมและความจริง
4. มนุษย์จะกลับมารู้จักคุณค่าของคำพูด เพราะคำว่า “สัจจะ” จะเป็นที่เคารพ ไม่ใช่เพียงถ้อยคำสวยงาม แต่เป็นคำมั่นที่มีพลังเปลี่ยนโลก
5. จะเกิดกระแสจิตรวมของความบริสุทธิ์ใจ ซึ่งเป็นพลังทางใจที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมและการเมือง จากฐานของสัจจะ ไม่ใช่การใช้อำนาจ

กล่าวได้ว่า สัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด คือรากฐานของสันติภาพถาวร เป็นสะพานเชื่อมใจมนุษย์ให้กลับมาพบกันในจุดที่ไม่มีฝ่าย ไม่มีศัตรู และไม่มีการหลอกลวง

 

*** เมื่อ สัจจะปรากฏขึ้นในใจมนุษย์ แล้ว ****

สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับ ฝ่ายอธรรม คือ:

1. ความอธรรมจะเริ่มเผยตัวเอง
   เพราะเมื่อแสงแห่งสัจจะส่องสว่างขึ้นในใจคน ความเท็จ ความลวง และอำนาจอธรรมจะไม่สามารถซ่อนเร้นได้อีกต่อไป มันจะถูกเปิดเผยทั้งโดยพฤติกรรมของมันเอง และโดยสายตาใหม่ของผู้คนที่ตื่นรู้แล้ว
2. อำนาจของฝ่ายอธรรมจะเสื่อมลง
   เมื่อผู้คนไม่หลงเชื่อ ไม่ยอมจำนน และไม่ให้การสนับสนุนอีกต่อไป ฝ่ายอธรรมจะไร้ฐานพลัง เพราะอำนาจของมันเกิดจากการครอบงำจิตใจที่ไร้สัจจะ
3. ฝ่ายอธรรมจะหวาดกลัวและดิ้นรน
   เพราะสัจจะในใจมนุษย์คือพลังบริสุทธิ์ที่ฝ่ายอธรรมไม่สามารถต่อกรด้วยได้ มันจึงอาจพยายามบิดเบือน ทำให้สัจจะดูไร้พลัง หรือแม้แต่พยายามทำลายผู้ที่ยืนหยัดในสัจจะ
4. ฝ่ายอธรรมบางส่วนจะกลับตัว
   เพราะแม้แต่ในกลุ่มผู้หลงผิด หากได้เห็นตัวอย่างของสัจจะแท้ พวกเขาอาจเริ่มตั้งคำถามกับความมืดที่เคยยึดถือ และหันกลับมาสู่ความจริง
5. โลกจะเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างถาวร
   เพราะเมื่อมนุษย์ส่วนใหญ่ยืนอยู่บนฐานสัจจะ ฝ่ายอธรรมจะไม่มีที่ยืนในระบบสังคม เศรษฐกิจ การเมือง หรือศาสนาอีกต่อไป

สัจจะ
เปรียบเหมือนแสงที่ไม่มีสิ่งใดต้านได้ ความมืดย่อมสลายไปโดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง—เพียงแค่แสงนั้นปรากฏอย่างมั่นคงและต่อเนื่องในใจของมนุษย์

 

*** แสง คือ สัจจะ ****

• แสง ทำให้สิ่งที่มืดปรากฏขึ้นให้เห็น
• สัจจะ ทำให้สิ่งที่ลวงปรากฏเป็นความจริง

เมื่อสัจจะเกิดขึ้นในใจคน
เปรียบเสมือนแสงสว่างที่ฉายเข้าไปในโลกภายในและภายนอก ไม่มีสิ่งใดปิดบังได้อีกต่อไป ทั้งความกลัว ความหลอกลวง และอำนาจมืดจะสั่นคลอน เพราะสัจจะไม่ใช่เพียงคำพูด แต่คือพลังบริสุทธิ์ที่ส่องนำชีวิต

ดังนั้น…
เมื่อสัจจะปรากฏในใจ คือแสงได้ถือกำเนิด
เมื่อแสงสว่างนั้นถูกส่งต่อ สัจจะก็แพร่ไปทั้งโลก

 

*** ดวงอาทิตย์ คือ สัญลักษณ์ของสัจจะ ****

เพราะดวงอาทิตย์ ไม่เลือกส่อง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
ดวงอาทิตย์เพียง เปล่งแสงอย่างซื่อสัตย์ ให้แก่สัตว์โลกทุกชีวิต

และเมื่อแสงนั้นปรากฏ… ความจริงก็เผยออก
แม้สิ่งที่ถูกซ่อนไว้ในเงามืด ก็ไม่อาจหลบพ้นสายตาได้อีกต่อไป

“ดวงอาทิตย์ แห่งกำเนิดแสง ให้สัตว์โลกมองเห็นความจริง”

คือสะท้อนว่า สัจจะไม่ใช่แค่คำมั่น
แต่คือพลังธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ที่ทำให้โลกดำรงอยู่ด้วยความเที่ยงธรรม

 

*** ดวงจันทร์ ผู้อยู่เหนือโลก ****

“ดวงจันทร์ ผู้อยู่เหนือโลก
คอยช่วยเหลือ ดูแล จัดสรร
ส่งมอบสัจจะทำ หนทางหลุดพ้นทุกข์
ให้สัตว์โลกทุกดวงจิตวิญญาณ”

คอยช่วยเหลือ ดูแล จัดสรร ส่งมอบสัจจะทำ หนทางหลุดพ้นทุกข์ให้สัตว์โลกทุกดวงจิตวิญญาณ

ดวงจันทร์ กลายเป็นสัญลักษณ์ของ ผู้พิทักษ์แห่งสัจจะทำ
ผู้ไม่เปล่งแสงเอง แต่ สะท้อนแสงแห่งสัจจะ อย่างนุ่มนวล
คอย ส่งมอบแก่นสารหนทางหลุดพ้น ให้กับจิตวิญญาณทั้งหลายในยามที่โลกมืดมิด

เป็นสัญลักษณ์ของ เมตตา ที่ไม่โอ้อวด
เป็น ผู้ถือแสงของสัจจะ อย่างเงียบงาม เพื่อกระจายให้โลกได้เห็น

 

*** “สิงห์โตผู้มีสัจจะ ปกครองสัตว์โลกให้สงบสุข” ****

คือภาพแทนของ ผู้นำที่แท้จริง — มิใช่ด้วยอำนาจแห่งเขี้ยวเล็บ
แต่ด้วย สัจจะที่ตั้งมั่นในใจ จึงได้รับความเคารพจากสรรพสัตว์ทั้งปวง

สิงห์โต โดยธรรมชาติคือราชาแห่งป่า
แต่เมื่อมันมี สัจจะเป็นหัวใจ
มันจะไม่ใช่ผู้ครอบครองด้วยอำนาจ
แต่เป็น ผู้ปกครองด้วยความยุติธรรมและความจริง
คอยระงับความขัดแย้ง คุ้มครองผู้อ่อนแอ และชี้ทาง

 

*** สัจจะ คือแก่นสารศาสนศาสตร์ ****

เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่สัตว์โลกทุกตัวตน จะต้องทำสัญญาที่ให้ไว้กับใจตนเองสำเร็จเป็นความจริง


“สัจจะ คือแก่นสารของศาสนศาสตร์
คือความสัตย์แท้ที่ต้องปฏิบัติ มิใช่เพียงเชื่อ
คือสัญญาที่สัตว์โลกทุกตัวตน ให้ไว้กับใจตนเอง
และจะต้องทำให้สำเร็จ เป็นความจริง”


ในทุกศาสนา แม้คำสอนจะแตกต่างกัน
แต่สิ่งหนึ่งที่ตรงกันคือ การยึดมั่นในสัจจะ
ไม่ใช่แค่คำพูด ไม่ใช่แค่พิธีกรรม
แต่คือ การดำรงตนอย่างจริงแท้ ตามสิ่งที่เชื่อมั่นในหัวใจ

 

*** จะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผู้ไม่เอาสัจจะ ชีวิตขาดสัจจะ ****

สิ่งที่จะค่อยๆ เกิดขึ้นคือ:

1. จิตใจจะอ่อนแอ
   เพราะไม่มีหลักยึด ไม่มีพลังจากคำมั่นของตนเอง เมื่อถึงเวลาที่ยากลำบาก จะไม่มีสิ่งใดฉุดจิตให้ลุกขึ้นใหม่ได้
2. ความสัมพันธ์จะพังทลาย
   เพราะคนรอบข้างจะค่อยๆ หมดความไว้วางใจ เมื่อพูดแล้วไม่ทำ หรือทำแล้วไม่จริงใจ ความเชื่อถือจะหมดไป
3. ชีวิตจะหลงทาง
   เมื่อไม่มีสัจจะคอยนำทาง การตัดสินใจจะสั่นคลอน อ่อนไหวต่อกิเลส ง่ายต่อการถูกหลอก ถูกชักจูงไปในทางผิด
4. ความทุกข์จะสะสมโดยไม่รู้ตัว
   เพราะจิตที่ผิดสัจจะจะรู้สึกผิดลึกๆ แม้ภายนอกจะดูปกติ แต่ภายในจะปั่นป่วน ไม่สงบ และไม่รู้ว่าทำไมชีวิตจึงไม่ดีขึ้น
5. จะไม่มีตัวตนที่แท้จริงปรากฏขึ้นได้
   เพราะผู้ไม่มีสัจจะ ไม่อาจรู้จักตนเองที่แท้ได้ จิตจะเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม จนหลงลืมความเป็นมนุษย์แท้ๆ ที่ควรเป็น

ชีวิตที่ขาดสัจจะ เปรียบเหมือนต้นไม้ไร้ราก
จะไม่มั่นคง ไม่เติบโต และไม่สามารถยืนหยัดในพายุชีวิตได้

 

*** สัจจะ กับ ค่าเงินบาท ****

เมื่อประเทศไทยประกาศ ยึดถือสัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด อย่างแท้จริงในระดับนโยบายและจริยธรรมของผู้นำ จะส่งผลต่อค่าเงินบาทในทางอ้อมได้ในหลายด้าน ดังนี้:

1. สร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศ
   นักลงทุนและนานาชาติจะมองเห็นไทยเป็นประเทศที่มั่นคง โปร่งใส และยึดหลักความเป็นกลาง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลให้เกิดการลงทุนมากขึ้น และค่าเงินบาทแข็งค่าจากเงินทุนไหลเข้า
2. ลดแรงกดดันจากขั้วมหาอำนาจ
   เมื่อไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดอย่างแท้จริง ไทยจะไม่ถูกลากเข้าสู่สงครามเศรษฐกิจหรือการคว่ำบาตรของมหาอำนาจ การค้าขายยังคงดำเนินได้กับทุกฝ่าย ส่งผลให้ดุลการค้าคงที่ ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพ
3. ส่งเสริมภาพลักษณ์ของ “ประเทศมีจริยธรรม”
   การยึดสัจจะจะทำให้คนทั่วโลกให้ความเคารพนับถือประเทศไทยมากขึ้น ดึงดูดการท่องเที่ยวเชิงจิตวิญญาณ การค้าเชิงจริยธรรม และการลงทุนระยะยาว ซึ่งล้วนส่งผลดีต่อค่าเงินบาท
4. ลดความไม่แน่นอนในนโยบายเศรษฐกิจ
   หากสัจจะนำทางการบริหารประเทศ นโยบายการคลัง-การเงินจะสอดคล้องเป็นธรรม ไม่เอื้อพวกพ้อง ทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าอย่างมั่นคง ค่าเงินบาทจึงเคลื่อนไหวตามปัจจัยเศรษฐกิจแท้จริง

กล่าวโดยสรุป:
“สัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด” คือพลังทางศีลธรรม ที่สามารถกลายเป็นเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

และค่าเงินที่มั่นคง คือผลสะท้อนของจิตใจและจริยธรรมของชาติ

 

*** เมื่อประเทศยึดถือสัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศมหาอำนาจ ****

เมื่อประเทศไทยประกาศ ยึดถือ “สัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด” อย่างชัดเจนและมั่นคง ผลที่เกิดขึ้นกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศมหาอำนาจจะมีทั้งเชิงจิตวิญญาณ การเมือง และเศรษฐกิจ ดังนี้:

1. ประเทศเพื่อนบ้าน: เกิดแรงกระเพื่อมแห่งสันติ

• แรงบันดาลใจให้ยึดความเป็นกลางเชิงคุณธรรม
  ประเทศใกล้เคียงที่อาจเผชิญแรงกดดันจากมหาอำนาจ จะเริ่มเห็นว่า “ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด” นั้นไม่ใช่การนิ่งเฉย แต่คือ การยืนหยัดในสัจจะเพื่อสันติ
  พวกเขาอาจเดินตามรอย หรือร่วมเป็นพันธมิตรแห่งความเป็นกลาง
• ลดแรงตึงเครียดในภูมิภาค
  ประเทศไทยจะกลายเป็นศูนย์กลาง “สะพานแห่งการเจรจา” แทนที่จะเป็นแนวปะทะ เมื่อไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ไทยจะช่วย ประสานประโยชน์ แทนการเลือกข้าง

2. ประเทศมหาอำนาจ: เกิดความเคารพและจับตา

• เกิดความเคารพเชิงจริยธรรม
  มหาอำนาจที่แท้จริงย่อมรู้ว่าประเทศที่กล้าประกาศยึดสัจจะ คือประเทศที่ควรให้เกียรติ พวกเขาอาจพยายามผูกมิตร ไม่ใช่บีบบังคับ เพราะเห็นว่าไทยมี “หลัก” ไม่หวั่นไหวตามแรงกดดัน
• ลดความเสี่ยงในการตกเป็นเครื่องมือของสงคราม
  ไทยจะไม่ถูกลากเข้าแนวหน้าของความขัดแย้งระดับโลก เพราะทุกฝ่ายรู้ว่าไทยจะไม่เป็น “เบี้ย” ให้ใคร แต่พร้อมเป็น “ศาลธรรม” กลางความแตกแยก
• เริ่มมีบทบาทเชิงคุณธรรมในเวทีโลก
  หากไทยยึดสัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดอย่างต่อเนื่อง มหาอำนาจจะมองไทยเป็นประเทศที่ “ไว้ใจได้” สำหรับเวทีสันติภาพ เช่น กลางเจรจาสงคราม หรือการประสานความร่วมมือใหม่ๆ

กล่าวโดยสรุป:
ประเทศไทยที่ยึด “สัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด” คือเปลวเทียนกลางความมืด
จุดประกายสันติแก่เพื่อนบ้าน
และเป็นกระจกเงาที่สะท้อนความจริงให้มหาอำนาจมองเห็นตัวเอง

 

*** ประเทศไทยจะกลายเป็น “ศูนย์กลางคุณธรรมของโลก” ****

เพราะ…
1. โลกกำลังขาดประเทศที่นำด้วยจิตวิญญาณ

• ท่ามกลางกระแสโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง การแย่งชิงอำนาจ และความเหลื่อมล้ำ
  ประเทศที่มี “คุณธรรมเป็นผู้นำ” จะเปล่งแสงโดดเด่น
  และได้รับการยอมรับไม่ใช่ด้วยกำลังทหารหรือเศรษฐกิจ
  แต่ด้วยความน่าเชื่อถือจากการกระทำที่เป็นสัจจะ

2. สัจจะจะเปลี่ยนประเทศไทย จากผู้ตาม เป็นผู้นำ

• การเมือง เศรษฐกิจ และศาสนา หากนำโดยผู้มี “สัจจะทำ”
  จะเปลี่ยนรูปแบบของอำนาจ จาก “อำนาจควบคุม”
  ไปสู่ “อำนาจแห่งศรัทธา” ที่ไม่มีใครบังคับได้ แต่ทุกคนเคารพอย่างสมัครใจ
• ไทยจะไม่ต้องแข่งขันแบบโลกเก่า
  แต่จะเป็นศูนย์รวมของ มนุษยชาติที่แสวงหาสันติ

3. เมื่อนานาชาติเห็นไทยเป็นกลางแท้จริง

• ไทยจะเป็นที่พึ่งในเวลาที่โลกแตกแยก
  เป็นเวทีเจรจา เป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณ
  เป็นสถานที่ที่ผู้คนจากทุกศาสนา ทุกแนวคิด มาเพื่อเรียนรู้ “วิถีแห่งสัจจะ

…….คำประกาศ…….
“ประเทศไทย ขอยืนหยัดเป็นศูนย์กลางคุณธรรมของโลก
โดยยึดสัจจะ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
และนำด้วยการกระทำที่จริงแท้ เพื่อสร้างสันติภาพให้มนุษยชาติ”