กระแส"พญานาค"กับข้อเท็จจริงบางอย่าง(มีคลิป) คนที่ไม่เชื่อควรดูด้วยดุลพินิจ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย 9@Phonlee, 1 กุมภาพันธ์ 2018.

  1. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,232
    ค่าพลัง:
    +10,136
    สาธุๆสวยงามมากๆครับ
     
  2. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,232
    ค่าพลัง:
    +10,136
    สอบถามท่าน9
    บังเอิญผมไปเจอคนในเฟสลงรูปนี้ ไม่รู้ว่าเป็นวัดหรืออะไร คล้ายรูปธรรมจักรเลย
    Untitled.png
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,397
    เมตตาต้องสร้างจากภายในไปภายนอกจร้า...
    ภายนอกไม่ว่า คน สัตว์ ภพภูมิ หรือ สรรพสัตว์ จะรับรู้ได้เอง..
    เสน่ห์อยู่ตรงกระแสที่ออกจากภายในไปภายนอกนี่หละ

    "Let's start to begin"
    เริ่มแรกหัดยิ้มหน้ากระจกก่อนทุกเช้า(จำเป็นต้องฝึก)
    ต่อมา ให้ความเคารพนับถือทุกภพภูมิ แต่ไม่ยึดถือ
    มีความเป็นมิตร ต่อ คน สัตว์ รวมทั้งสรรพสัตว์
    ไม่ตัดสิน เลือกข้าง ชี้ขาด ไม่ว่ากรณี เรื่องราวใดๆ
    พูดในสิ่งที่ผู้สนทนาอยากได้ยิน ไม่ใช่พูดในสิ่งที่เราต้องการพูด
    บางเรื่องรู้ของเราคนเดียวก็พอ ไม่จำเป็นต้องให้ใครเค้ารับรู้ด้วยหรอก


    ที่สำคัญหลีกเลี่ยงการใช้ชีวิต แบบตัว I

    อ่านไว้ซะ....
    บทความตอนตัว I
    ''ยิ่งเราใช้ชีวิตด้วยตัว I มากเท่าไร
    ตัว I ของเราก็จะยิ่งผิดหวังมากเท่านั้น
    เพราะไม่มีใครเกิดมาเพื่อทำตามความคาดหวังของคุณ
    ดังนั้นสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย
    ตัวอักษรที่เห็นแก่ตัวที่สุด
    ก็คือตัว I ที่แสดงถึงความคาดหวัง
    ดังนั้นจงหลีกเหลี่ยงมันเสียเถิด
    แล้วจะหลีกเลี่ยงมันอย่างไรดี?
    จงนึกถึงความเป็นจริงเมื่อคาดหวัง
    การที่เราคาดหวังไม่ผิดอะไร
    แต่จงเข้าใจว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะทำตามคุณ
    อีกอย่างหนึ่งที่จะหลีกเลี่ยงตัว I ได้
    นั่นคือการเป็นผู้ให้แก่คนอื่นๆ
    คุณรู้ไหมทำไม ?
    ถ้าคุณต้องการเป็นผู้รับ
    คุณต้องพึ่งพิงผู้อื่น ซึ่งก็อาจไม่ทำตามคุณ
    แต่ถ้าคุณต้องการเป็นผู้ให้ใครจะห้ามคุณได้
    ถ้าคุณต้องการความเคารพ ผู้คนอาจไม่เคารพคุณ
    แต่ถ้าคุณให้ความเคารพผู้อื่น จะมีใครมาห้ามคุณได้
    เมื่อคุณอยากได้ความรัก
    แต่ไม่มีใครรักคุณ
    แต่ถ้าคุณอยากมอบความรักให้ผู้อื่น ใครจะมาห้ามคุณ
    เมื่อคุณต้องการความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แต่ไม่มีใครมอบให้
    แต่ถ้าคุณอยากมอบความเอื้อเฟื้อให้ ใครจะหยุดคุณได้
    ดังนั้นจงเริ่มเดินทาง
    จาก '' ตัวเอง '' ไปสู่ '' ผู้อื่น ''
    ยิ่งคุณต้องการมากเท่าไร
    คุณก็จะผิดหวังอยู่อย่างนั้น
    แต่ยิ่งคุณมอบให้คนอื่นมากเท่าไร
    คุณก็จะพบแต่ความสุข

    Credit : Gaur Gopal Das
    แปลโดย : เพจ Bossup Solution
    หมายเหตุ บางส่วนของคำแปล

    ถ้าใจคิดเป็นผู้ให้ ใครจะห้ามเราได้จริงไหม?

    ถ้าคิดจะให้ ก็ให้ไป
    ให้แล้วจะกลาย เป็นบุญ เป็นบารมี
    หากนำไปใช้แล้วย่อมมีหมดไป...


    ถ้าคิดจะให้ ก็ให้ไป
    ให้แล้วก็แล้วไป ไม่อะไรกับอะไร
    ให้แล้วจะกลาย เป็นบุญ เป็นบารมี
    หากนำไปใช้แล้วย่อมมีหมดไป
    แต่จะไหลเวียนกลับมาเป็นบารมีไม่มีหมด
    ประกายความสว่างสไหวของจิตแต่ละดวง
    แตกต่างกันเพราะเหตุนี้แล
    พวกนี้เป็นบารมีเฉพาะดวงจิต




    สวัสดีครับ
    พรุ้งนี้ร่วมงาน ยกยอดฉัตร ที่วัดป่าแห่งหนึ่ง
    อ.จุตรัส ชัยภูมิ ครับ
     
  4. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,913
    ค่าพลัง:
    +4,754
    (ปักหมุด 65) หน้า87
    เรื่อง กรวดน้ำ กรวดแห้งยังไม่จบ เพราะยังมีคนสงสัย

    :oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops:

    บุรุษไร้เงา(อจ.นพ) โพสต์
    อุทิศส่วนกุศลแบบกรวดด้วยน้ำ
    กับกรวดแห้งนั้น........มันแตกต่างอย่างไร....

    กรวดน้ำ คือ การใช้จิตเป็นต้นกำเนิดของแรง และใช้น้ำเป็นสื่อนำแรงผ่านอากาศ ในการนำพา
    พลังงานบุญนั้นๆ
    กรวดแห้ง คือ การใช้จิตเป็นต้นกำเนิดของแรง และมีอากาศเป็นสื่อนำแรง
    ในการนำพาพลังงานบุญนั้นๆ พูดถึงส่วนหลักๆนะ

    แต่มิควรลืมว่า สื่อนำแรง ไม่อิงพื้นที่ คือ ไม่เหมือนองค์ประกอบสะสาร
    เช่น ขวดแทนอีกขวดไม่ได้ แต่สื่อนำแรงกี่ล้านๆแรงก็รวมกันได้หมด และเมื่อไม่มี
    พื้นที่ ก็ไม่มีระยะทางมาเกี่ยวข้อง จึงไม่มีเรื่องเวลาที่ต้องใช้ เพื่อไปถึงอีกฝั่ง
    เหมือนพื้นที่ จึงอยู่เหนือเรื่อง กาลเรื่องเวลานั่นเอง
    และนอกจาก สามารถรวมกันได้ไม่จำกัดในต่ำแหน่งกันเป็นล้านๆ
    ก็ยังจะสามารถสร้างแรงขึ้นมาใหม่ได้........... ถือ ว่าโม้ซ้ำอีกรอบ เผื่อใครลืม......


    เห็น ที่ขีดเส้นใต้คำว่า สร้างแรงขึ้นมาใหม่ได้ ไหม

    เมื่อ ประเด็นหลักๆที่ควรจับเป็นแนวทางของคำตอบ
    คือ ๑.ต้นกำเนิดของแรง แน่นอนย่อมแตกต่างกัน เพราะว่า ในที่นี้มันคือ ตัวจิต โป๊ะแซะ

    และ ๒.ใช้น้ำเป็นสื่อผ่านอากาศ หรือ มีอากาศเป็นสื่อนำแรง
    แน่นอนว่า
    ๓. ย่อมอยู่ในสภาพแวดล้อมบนโลกนี้เหมือนกัน
    คือ อยู่ภายใต้แรงโน้มถ่วงของโลก และ สนามแม่เหล็กโลกใบเดียวกัน

    ดังนั้น หากมีคำถามว่า ผลเป็นอย่างไร ระหว่างผู้รับกับผู้ทำ
    ในที่นี้ เราจึงไม่สามารถสรุปชี้ชัดอะไรได้ นั่นเอง เกทเนาะ


    แต่ทั่วไป แบบแห้ง เหมาะสำหรับ กรณี ดวงจิต(สื่อนำแรงชนิดหนึ่งที่มีประจุ)
    ประเภทที่ อยู่ในอากาศทั้งหมด จะเข้าถึงได้โดยตรง.........

    และทั่วไป แบบน้ำ เหมาะสำหรับ กรณีดวงจิต ที่มีบางส่วน หรือ ทั้งหมด
    ที่ยังมีหรืออยู่ใต้ ธาตุดินหรือ ถูกธาตุดินทับ ดวงจิตตนเองไว้บางส่วน
    ธาตุดิน คือ สื่อนำแรงที่เหมือนกันดึงดูดกันทับถมกัน

    ดังนั้น การที่ อากาศ จะแทรกเข้าไปในธาตุดิน เพื่อนำแรง
    ที่สร้างจากต้นกำเนิดของแรง(ดวงจิต)ผ่านเข้าไปจะไม่สดวก
    เนื่องจากคุณสมบัติที่ทับถมกันอยู่ที่เป็นเอกลักษณ์ของธาตุดินนั้นเอง
    ดั้งนั้นเราจึงใช้น้ำ เพราะธาตุน้ำ มีคุณสมบัติอย่างหนึ่ง
    ก็คือ มันเป็นประจุเป็นสื่อนำแรงที่ไม่เข้าพวกกัน จึงเกิดเป็นธาตุน้ำ


    เราจึงใช้ คุณสมบัติของสื่อนำแรงที่ไม่เข้าพวกกันนี้(น้ำ)
    เข้าไปในสื่อนำแรงที่มันเหมือนกันดึงดูดกัน(ดิน)
    เพื่อที่จะให้ ดินนั้นเกิดช่องว่าง จากการที่มันได้แยกกัน
    (เล็กมากมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า)ใครมองเห็นได้
    จะยืมตา มาส่องแบคทีเรีย หน่อย ๕๕

    ช่องว่าง นี่จะพอเพียง ที่จะทำให้อากาศที่เป็นสือนำแรง
    ที่เกิดจากต้นกำเนิดของแรง(จิต) เข้าไปแทรกซึม
    จึงทำให้ ดวงจิต ที่ถูกธาตุดินทับอยู่บางส่วนหรือทั้งหมด
    สามารถเข้าถึง แรง(บุญ)ที่มาจากต้นกำเนิดของแรง
    โดยอากาศนำพามา ได้นั่นเอง..........

    นั่นหละ เค้าถึงบอกว่า การใช้น้ำ จะคลอบคลุมกว่า
    เพราะสามารถ เข้าถึง กลุ่มกระแสที่กำลังบุญน้อย(มีธาตุบางส่วนทับหรือทั้งหมด)
    ได้นั่นเอง..........

    ในภาพรวมแบบกว้างๆ หยาบๆประมาณที่เล่า
    :rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes:


    ***************************************

    (ปักหมุด 66) หน้า87 # 1727
    :(:(:(:(:(:(:(:(:(:(:(:(:(:(
    เรื่อง พญานาคที่ขะแมร์ ดินแดนแห่งเวทย์มนต์
    เนื่องจากเนื้อเรื่องยาว รูปภาพสวยๆเยอะจึงดึงมาให้อ่าน


    (คลิ๊กดูตามข้างล่างนี้)
    :oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops:
    https://palungjit.org/threads/637310/page-87

    (# ลำดับที่1727)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2025
  5. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,913
    ค่าพลัง:
    +4,754
    (ปักหมุด67) หน้า87
    :oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops:
    เรื่อง ชาติก่อนเคยเกิดเป็นอะไร ?

    บุรุษไร้เงา(อจ.นพ) โพสต์
    เคยเกิดเป็นมาเกือบทุกอย่างนั่นหละ
    แต่ตอนเป็น กบ เป็น เขียด
    ไม่ค่อยมีนักปฎิบัติคนไหนเอามา
    เล่าบอกใครเฉยๆ ๕๕๕

    ๑.ประเทศไทย ๙๐ % เคยมีสัมพันธ์กับภูมิ
    พยานาคมาแล้วทั้งสิ้น
    ส่วนนี้พระครูปลัดจิตไวบอกไว้ไม่ได้รู้เองนะ. เคยเขียนไปแล้ว

    ๒.นักปฎิบัติ เกือบทุกคน จะได้พบครูบาร์
    อาจารย์ทางภพภูมิที่เคยมีสัมพันธ์
    ในอดีตได้ทั้งหมดทุกท่านเป็นเรื่องปกติ
    ธรรมดา ไม่แน่ใจเคยเขียนในห้องนี้ไหม
    ย้ำว่าพบได้ทุกท่าน เรื่องปกติ

    แต่จะเข้าใจเหตุได้
    ต้องไม่ยึดติดไม่ว่าท่านใดก็ตาม
    แต่ควรให้ความเครารพ เหมือนกันทุกท่าน
    ในอนางอ จะทราบด้วยตัวเองนี่หละ ^_^

    ๓. จำเอาไว้โล้ด ว่าถ้าหากว่าจิตยังสามารถ
    เห็นเป็นภาพอะไรได้ก็ตาม
    แสดงว่านั้นยังประกอบด้วยสัญญาความจำได้ในจิตอยู่
    (นึกออกไหม มาแบบดวงกลมๆ มาแบบไม่มีรูปร่าง
    ใครจะรู้หละ เกทไหม เช่น ดวงจิต
    เฮีย นพ ไปหา นาง ขนมปัง อดีตกิ๊กเก่า
    แต่ดันอุปโลกน์เป็นหน้าตาออกสเปน
    คงมีฮากันหละ)
    ส่วนในปัจจุบันเราจะสัมพันธ์กับภูมิอะไร
    มันอยู่ที่สัญญาตัวไหน ที่เก็บไว้ในจิต
    ที่มันชัดที่สุดนั่นเอง

    เช่น นางสาว Bodhi ใครก็ไม่รู้
    หากกก แว้. ย้อนดูไป ๑๕ ชาติจะพบ
    เคยเกิดครุฑมาก่อนนี่หว่า ว๊ากกกกกก
    และดันเคยเกิดเป็นพยานาคมา
    เมื่อช่วงชาติที่ ๔๐ ถึง ๕๐ อีกด้วย
    พอเข้าใจเหตุ ณ ปัจจุบันที่เป็นหรือยัง

    ปล ส่วนท้าย เป็นนิทานพอขำๆเด้อ
    o_Oo_Oo_Oo_Oo_Oo_Oo_Oo_Oo_Oo_O
    (อจ.นพ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2025
  6. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,913
    ค่าพลัง:
    +4,754
    (ปักหมุด68) หน้า97
    :eek::eek::eek::eek::eek::eek::eek::eek::eek::eek:

    เรื่อง เปรต อสุรกาย สัมภเวสี แตกต่างกันอย่างใด ?
    (คำถามจาก9)

    บุรุษไร้เงา(อจ.นพ) โพสต์ตอบ
    หลักๆก็คือแตกต่างกันที่กิริยา บารมี
    เช่น บางกลุ่มมีวิมาน มีฤทธิ์ อยู่บนฟ้า มีนางกำนัล
    แต่ไม่สามารถยื่นส่วนใดส่วนหนึ่งออกนอกวิมานได้
    เพราะจะโดนจักร จากท่านองค์สีเขียวๆ
    ลอยมาตัดส่วนที่ยื่นออกจากวิมานทันที เป็นต้น

    บางกลุ่มก็ตัวใสๆ สูงประมาณตึก ๗ ถึง ๘ ชั้น
    มีบริวาร ดูแลที่อยู่อาศัยบริเวณนั้นๆ
    ส่วนมากจะเป็นป่าก็มี

    คือไม่ใช่มีแต่ประเภท
    ที่ร้อนเสียงแหลมๆเล็กๆ
    ที่มาขอส่วนบุญเพียงอย่างเดียว..

    --กลุ่มนี้แตกต่างกันอย่างใด
    ตอบ เปรต หลักๆคือ เวลาจะรับบุญ
    จะมีกระแสวิบากมาขวางทำให้ใจไม่เป็นกลาง
    กระแสที่ขวางอาจจะเป็นกระแสร้อน
    ที่จะทำให้รู้สึก เวลามีคนมาอุทิศส่วนกุศลให้
    ดังนั้น ต้องใช้การทำบุญหลายครั้งหน่อย
    เปรตถ้าดูดีๆตาเค้าจะเหมือนมีแสงออกหน่อย
    หลักสังเกตุง่ายๆคือ
    มือจะยาวเลยหัวเข่า..
    ผอมๆเห็นแต่กระดูก
    แบบที่เห็นตามฝาผนังทั่วไปนั่นหละ...

    อสูรกาย ทั่วไปเป็นภูมิที่มีฤทธิ์
    และเวลาทำร้ายใครมักจะไปเป็นกลุ่ม
    สามารถปรากฏเป็นครึ่งสัตว์ครึ่งมนุษย์
    หรือเป็นคล้ายสัตว์เต็มตัวก็ได้
    ถ้ายังผูกใจเจ็บแฝงความโกรธอยู่เรื่อยไป...
    กลุ่มนี้ส่วนใหญ่ลูกนัยตาสีแดง....
    บางพวก อยู่มาก่อนจะมีพระพุทธฯก็มี
    มีฤทธิ์มาก พระธุดงค์ที่ว่าแน่ๆ
    ...มีวิชาเสร็จมาหลายราย
    ดีว่า กลุ่มเหล่านี้ เด่วนี้ค่อนข้างน้อย
    เพราะว่า พระป่าในยุคหนึ่งเวลาที่ท่านธุดงค์
    ได้ใช้ ม.44 ปรับทัศนคติภูมิเหล่านี้ไปเรียบร้อย

    และก็มีประเภทกึ่งเทพกึ่งอสูรกาย
    มีฤทธิ์ ลูกนัยตาสีเหลือง
    กลุ่มมีบารมี มีฤทธิ์ สังเกตุง่ายๆ
    คือ จะไม่ค่อยสบตากับใคร
    มีหน้าที่ สำคัญๆ เช่น
    ...ดูแลทางเข้าสถานที่สำคัญๆต่างๆเป็นต้น


    --ทำไมต้องแยกประเภท
    ...เมื่อเป็นกายที่ดับสูญตายแล้ว

    ตอบ ไม่ได้แยกประเภทอะไรหรอก
    มันเป็นไปตามวิบาก
    คำว่า วิบากก็คือกระแสจรที่จะจรเข้ามา
    ในเวลาที่ร่างกายแตกดับ
    ขึ้นอยู่กับว่า กระแสนั้นออกด้านไหน
    ถ้าออกทางโลภะก็จะไปเป็นเปรต
    ออกทางขี้โกรธไปเป็นอสูรกาย ประมาณนี้
    คือ กระแสตัวนี้ มันไปสร้างรวมกับ
    ...ตัววิญญานการรับรู้ของดวงจิต
    ให้เกิดเป็นอย่างโน้นนี่นั้นขึ้นมา
    เช่น ถ้าดีเป็นเทวดา ฯลฯ

    ส่วนสัมภเวสี
    ตามตำราไม่ทราบกล่าวไว้ว่าอย่างไร
    บ้างอาจจะบอกว่า เร่ร่อน
    ความจริงทุกภพภูมิ ก็ถือว่าเร่ร่อน

    ทั้งนั้น เพราะยังเร่ร่อนอยู่ใน วัฏจักรนี้
    เพียงแต่ ที่ใช้คำว่า สัมภเวสี
    เพียงเพราะว่ากำลังบุญนั้น
    ยังเป็นที่ต้องการและมีความสำคัญ
    ที่จะหนุนให้ภูมิเหล่านี้
    มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้
    พูดง่ายๆว่า เป็นภูมิที่ยังต้องการกำลังบุญอยู่
    (อจ.นพ)
    :eek::eek::eek::eek::eek::eek::eek::eek::eek::eek::eek::eek:

    9 @Phonlee, 31 ตุลาคม 2018
     
  7. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,913
    ค่าพลัง:
    +4,754
    (ปักหมุด69) หน้า 100
    :oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops:

    เรื่อง วิธีคลายเครียคเพื่อให้จิตคลายตัว)
    (คำถามจาก9)

    nopphakan(อจ.นพ) post:***เยี่ยมครับ***

    ยกตัวอย่างเปรียบง่ายๆ
    สมมุติว่า เราจะทำงานบางอย่าง
    ที่เป็นยูนิกซ์ ไม่ใช่แบบโครงการใหม่นะครับ
    แรกๆเราก็จำเป็นต้องที่จะเรียนรู้งานก่อน
    อาจจะจากการลองผิดลองถูก การอ่าน
    การอบรม การดูการสังเกตุ
    หรือมีคนคอยแนะนำดูแล
    ในช่วงแรกๆ เรียกว่าช่วงเริ่มต้น
    เอาทุกวิธียำรวมกันนั่นหละ
    ขอให้เราทำงานเป็นก่อน

    เอ๊าต่อมาพอเริ่มทำงานเป็น
    เราก็จะทำงานนั่นๆไปเรื่อยๆ
    เรียกว่าเป็นการทำซ้ำ
    และก็จะเกิดความชำนาญขึ้นมา
    ที่นี้หละไอ้การทำซ้ำนี้
    ก็จะมีคนทำงานนี้อยู่หลายแบบ
    เช่น พี่ฟิต พี่เรื่อยเปื่อย พี่แล้วแต่อารมณ์
    พี่ตามหน้าที่. พี่จำยอมทำ พี่ทำแบบชิว
    พี่ทำตามธรรมชาติเหมือนไม่ใช่งาน
    พี่ทำแล้วทุกข์ พี่ทำแล้วสุข พี่ทำแล้วจบ
    พี่ทำแล้วไม่จบ พี่ทำไปบ่นไป พี่ทำไปอู้ไป
    ถามว่าทุกๆ พี่นี่ งานที่ทำออกมาได้ผลลัพท์
    เหมือนๆกันนั่นหละครับ


    แล้วมันต่างกันตรงไหน
    ต่างกันตรงที่พี่คนไหน
    ที่ทำงานเหมือนเป็นธรรมชาติ
    เป็นสิ่งที่ต้องทำเพื่อดูแลรับผิดชอบ
    ตามหน้าที่ตนเองให้ดีที่สุด
    และที่สำคัญพอทำแล้วก็จบเป็น
    คืองานส่วนงาน ทิ้งไว้ที่ทำงาน
    ไม่เก็บมาคิด มานินทาเพื่อนร่วมงาน
    ถึงบ้านคือครอบครัวคือครอบครัวครับ
    เห็นอะไรไหม เห็นการอยู่ร่วมกับสังคม
    และการดำเนินชีวิตตรงนี้ไหม
    แค่เพียงทำงานที่ตนเองรับผิดชอบ
    ให้เต็มที่ ทำแบบมันเป็นธรรมชาติของตน
    และทำแล้วรู้จักจบเป็น
    จิตจะมาทำหน้าที่ส่วนอื่นๆต่อไปตามธรรมชาติของมัน

    ไม่มีครอบครัว ก็มาดูแลสุขภาพ
    ทำความสะอาด ใช้ชีวิตตามวีถีของตนเองต่อไป

    เมื่อจิตไม่ยึดไม่ไปเกาะกับสิ่งที่ผ่านมาแล้ว
    มันก็เลยไม่ได้ไปสร้างไปตั้งกฏเกณฑ์อะไร
    หรือเอาเรื่องที่ผ่านมาย้อนมาคิดสร้าง
    เรื่องบดบังตัวจิตอะไรให้มันเครียด
    มันก็้หมือนอุบาย
    ให้กับจิตค่อยๆผ่อนคลาย เป็นแนวทางเดิน
    ให้จิตกระทำอะไร ในวันต่อไปแบบธรรมชาติ
    แบบอัตโนมัติของมันเอง ว่าวันนี้
    ช่วงนี้ตอนนี้เราจะต้องทำอะไรบ้าง

    พอผ่านช่วงที่รู้ว่า จะต้องทำอะไร
    แบบอัตโนมัติแล้ว จากการที่จบเป็นทิ้งเป็น
    ไม่ว่าเรื่องงาน เรื่องส่วนตัวแล้ว

    นั่นหละเมื่อช่วงที่เวลาที่เราว่างเว้น
    จากการทำงาน เรื่องส่วนตัว หรือเฉยๆนิ่งๆ
    จิตมันก็เริ่มเข้าสู่กิริยาการคลายตัวเองได้
    ตามธรรมชาติของมันได้เองในเวลาปกติ
    ของมันเองนั้นหละครับ

    เพราะมันถูกฝึก จากการที่
    เริ่มจากการทำอะไรจบเป็น
    มันเลยรู้จักทิ้งเป็น และจบเป็น
    และก็ส่งผลให้ทำอะไรแบบอัตโนมัติ
    ตามธรรมชาติของมัน เมื่อมันทิ้งเป็นจบเป็น
    เมื่อทำทำทุกอย่างไปตามธรรมชาติของมัน
    มันก็เลยรู้จักที่จะแล้วๆไปเป็น
    ไม่ว่าหน้าที่การงานหรือเรื่องส่วนตัว
    เมื่ออัตโนมัติเป็น ทำแล้วแล้วไปเป็น
    มันก็ค่อยๆส่งตัวจิตให้ค่อยๆกลับคืนสู่ธรรมชาติเดิม
    ด้วยการเริ่มค่อยๆคลายตัวเองในเวลาปกติ
    เมื่อมันคลายตัวได้แล้ว
    หากการประพฤติยังเหมือนเดิม
    ด้วยที่จิตเคยคุ้นการคลายตัวแล้ว
    มันก็จะพัฒนาเพิ่มระยะเวลาตรงนี้
    ได้ของมันเองตามลำดับนั่นแลครับ ^_^

    ปล ติด สมาธิ ตบะ ฌาน ญาน กำลังจิต
    มันก็เหมือนเราทำงานแล้วจบไม่เป็น
    แล้วเก็บเอางานมาคิดอีกนั่นหละครับ
    งานเราจะทำเต็มที่เฉพาะเวลางาน
    เลิกงานแล้วคือจบ ที่ติดกัน
    เพราะจบไม่เป็นมั่วแต่เอางาน
    มาทำต่อ อยู่กับงานตลอดเวลาไม่จบ
    เราจบงานทิ้งเป็น แม้เราอยู่ที่ไหน
    งานนั้นเราก็ทำได้เหมือนเดิมไม่ลืม
    ไม่เสื่อมหรอกครับ. เกทเนาะ
    (บุรุษไร้เงา)
    :):):):):):):):):):):)

    9@Phonlee, 3 พฤศจิกายน 2018
     
  8. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,913
    ค่าพลัง:
    +4,754
    (ปักหมุด70) หน้า 102
    :oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops:

    เรื่อง อัศจรรย์แห่งความบังเอิญ
    หน้า102 (ปี2018)
    เขียนถึงบทบาททรัมป์ผู้นำสหรัฐก่อนเลือกตั้งสมัยนั่น
    อาจเกิดสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
    แต่มาเกิดขึ้นจริงในปีนี้ 2025
    ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกปั่นป่วนในขณะนี้


    (9@ โพสต์ตอบ maxmi)
    เคยเป็นลูกชาวสวนยางเหมือนกัน
    ระดับราคาเจอตั้งแต่โลละ 20 -50
    แต่ช่วงที่ราคาพีคสุดๆที่ ร้อยต้นๆ
    ...ขายสวนเกลี้ยงไปแล้ว

    สภาวะราคาตลาดยางพารา พศ.นี้
    ผันผวนเอาแน่เอานอนไม่ได้
    ยิ่งสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
    ...สหรัฐทรัมป์เล่นบทแข็ง
    ...ทวงคืนความเสียเปรียบกับประเทศต่างๆ

    ทิศทางเศรษฐกิจทั่วโลกปั่นป่วน
    ราคายางยิ่งทรงๆนิ่งอยู่กับที่
    คงต้องรอไปอีกสักระยะหนึ่ง

    ...ว่าจะรอให้เลือกตั้งสหรัฐผ่านไป...เร็วๆนี้
    แต่ส่วนตัวมั่นใจ90%ว่า "ทรัมป์ต้องกลับมา"
    แล้วทั่วโลกคงจะมีข่าวดีทางการค้าคืนมา
    เพราะตอนก่อนเลือกตั้งช่วงนี้
    ...ทรัมป์ก็เพลามือลงเยอะแล้วเนอะ

    ...ถ้าไม่โอนอ่อนผ่อนตาม
    ประเทศตัวเองก็จะแย่เหมือนกัลล์


    ราคายางพาราคงจะค่อยๆดีดตัวขึ้นมาอีกรอบ
    ตามราคาน้ำตาลตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว
    ปีหน้าสินค้าเกษตร พืชไร่ ควรจะค่อยๆดีขึ้น

    ขอให้สนุกกับการทำสวนเกษตรนะครับ
    :rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes:o_O

    (9@Phonlee, 6 พฤศจิกายน 2018)

     
  9. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,913
    ค่าพลัง:
    +4,754
    (ปักหมุด71) หน้า 102
    :):):):):):):):):oops::oops:

    เรื่อง ปักหมุดนี้เพื่อให้อ่านเพลินๆ

    เมื่อวานเย็น 18.00ดูรายการคืนความสุข
    น่าจะเป็นครั้งแรกที่ดูจนจบ
    ...พูดถึงขอนแก่น
    พอได้ยินเข้าหู...หูกางเลย
    คิดถึงคนที่อยู่ที่นั่นทันที
    ป่าวนะ...ป่าวคิดถึงอดีตสาวสวยที่นั่น
    ...แต่คนที่แว๊บขึ้นมาทันทีคือ"ท่านอจ.นพ"

    จึงตั้งใจดูจนจบม้วน

    เออ...ขอนแก่นมีอะไรดีๆซ่อนอยู่นะ
    เมื่อหลายปีก่อน
    เคยผ่านไปแวะค้าง 1 คืน
    เห็นขายแคนมากมาย
    ตัวเมืองสะอาดสะอ้าน
    วัดวาอารามสวยงาม
    แวะไปไหว้พระมหาธาตุแก่นนคร
    ได้ถ่ายรูปองค์พระธาตุ...
    ...เหมือนพบปาฎิหาริย์บางอย่าง
    แต่ไม่แน่ใจว่าจะค้นรูปนี่เจอหรือไม่
    เพราะเคยค้นหาแล้ว...แต่ไม่เจอ


    ...คืนความสุข
    ช่วงหนึ่งพูดถึง"ไก่ย่างเขาสวนกวาง"
    เคยแวะกิน...และผ่านเห็นตามรายทางต่างๆ
    ...รสชาดอร่อยในระดับป้าช้อย

    แต่ไม่เคยรู้ว่าเป็นไก่ย่างขอนแก่น
    เคยถามแม่ค้าสาวสวย...
    ...แต่หล่อนยิ้มเขินๆบอกไม่รู้

    สส.เป็นสาวขะแมร์ ไม่ก็เมียนมา หรือลาวข้ามโขง
    หรืออาจจะฟังไม่รู้เรื่องมากกว่ามั่ง
    :D:D:D:D:D:D:D:D:Do_Oo_O

    (ปล.) สส.คือสงสัย
    ....มิใช่สส.ผู้แทน

    (9@Phonlee, 6 พฤศจิกายน 2018)


    ************************************************
    ************************************************


    :oops::oops::oops::oops::oops::(:(:(:(:(
    (ต่อด้วยบุรุษไร้เงา(อจ.นพ)
    มาแระ. มาโม้ต่อ
    เกี่ยวกับพระธาตุขามแก่น
    ที่พอมีประสบการณ์
    ๑.หลวงพ่อสายอภิญญาจิตภายในชื่อดัง
    วัดอยู่ใกล้สถานนีรถไฟ ชื่อย่อ. จ
    องค์นี้รู้จักกันตั้งแต่รุ่น บิดา
    ท่านเคยไปขอต่ออายุ ๒ รอบ
    ๒.ส่วนตัวตอนละอ่อน เคยเสี่ยงเซียมซี
    ได้หมายเลขเดียวกัน ๓ ครั้งในการเสี่ยง
    สามรอบ ครั้งเดียวกัน
    ๓. เคยไปไหว้ตอนโต ถ่ายติด ผู้ไม่ใช่คน
    มานั่งไหว้พระอยู่ด้านหลังร่วมด้วย

    :):):):):):):):):):)o_Oo_O

    (บุรุษไร้เงา)


     
  10. ง่าวต๋าย

    ง่าวต๋าย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2020
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +157
    ดีหน่อยที่ช่วงนี้พอคิดได้บ้างล่ะค่ะ ความดีนี่เหมือนจะง่ายแต่ยากจริงๆ
     
  11. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,913
    ค่าพลัง:
    +4,754
    (ปักหมุด.72....) หน้า105
    :(:(:(:(:oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops:
    (เป็นคำถามจาก คุณวงกรดน้ำ)
    เรื่อง อยากเก่งทางด้านรักษาค่ะ..
    จะมีโอกาสบ้างไหมน้อ...ท่านอาจารย์นบ?

    บรุษไร้นาม (อจ.นพ โพสต์ตอบ)

    โอกาสมีทุกคนนั้นหละ แต่ควรมีพื้นฐาน
    ๑.กำลังสติทางธรรมที่ได้จากการเจริญสติ
    ๒.กำลังสมาธิสะสมและเดินปัญญามาแล้ว
    ๓.กำลังจิต ที่ได้จากกรรมฐาน พวกภาพ
    ๔.พันธมิตรทางภูมิ ที่ได้สร้างสะสมมา เรียกว่าแบ๊กดีไหม
    ๕.การทำแบบไม่ใช่เพื่อตนเองและใช้ประโยชน์เพื่อผู้อื่นและทางธรรม
    ๖.วิชาเฉพาะทาง ที่ไม่มีสอนทางโลก
    ๗.ความเฉลียวในการใช้งาน เทคนิค
    ต่างๆในการใช้งาน

    ปล ใจรักใช้ไม่ได้ ต้องพื้นฐานดีแบ๊กดี
    เห็นหลายราย ใจรัก คิดว่าตนเองเก่ง
    เดี้ยงมาเยอะแล้ว
    (แค่เดิน ลุกจากเตียงยังขาหัก)

    เวลาเจอหมอผี หมอธรรม เจอสายแรง สายพลังงานถูกแทรกทั้งหลายหรือ
    เจอพวกอสูรกายมีฤทธิ์ เจอร่างทรง
    เจอวิญญาณนิสัยไม่ดีมีฤทธิ์
    เห็นเรียบร้อยโรงเรียนจีน ๕๕๕

    เคยได้ยินไหม
    “พกปืนไปขอร้องให้เค้าช่วยดีๆ
    ดีกว่าไปแบบตัวเปล่าไม่มีอะไรนั่นแหล”
    พูดเปรียบพอให้เห็นภาพ ^_^

    :rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes:o_Oo_Oo_O

    (บุรุษไร้นาม)



    **********************************
    **********************************

    (ปักหมุด73) หน้า105
    :oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops:

    วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2561
    เรื่อง "เจ้าชายจอร์จจะทรงเปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธก็ได้
    ถ้าเป็นพระประสงค์ของพระองค์"

    อาร์คบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี่บอกว่า
    ท่านไม่ขัด หากเจ้าชายจอร์จ รัชทายาทลำดับที่ 3
    แห่งราชวงศ์อังกฤษจะเปลี่ยนไปนับถือพระพุทธศาสนา

    cats-jpg.jpg

    สาธุคุณจัสติน เวลบี้ อาร์คบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี่ กล่าวขึ้นหนึ่งวันหลังทำพิธีตั้งชื่อให้กับว่าที่องค์คริสตศาสนูปถัมถกแห่งอังกฤษในอนาคต โดยบอกว่า หากเจ้าชายมีพระประสงค์เช่นนั้น ก็พร้อมยินดีน้อมรับ

    คำกล่าวนี้ของอาร์คบิชอป สร้างความตกตะลึงให้กับกลุ่มอนุรักษ์นิยมเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินคาดอะไร เพราะเจ้าฟ้าชายชาร์ล มกุฏราชกุมารแห่งอังกฤษ ก็ทรงย้ำมาโดยตลอด ว่าพระองค์มีพระประสงค์ที่จะเป็น "องค์ศาสนูปถัมภก" มากกว่า "คริสตศาสนูปถัมภก" เมื่อพระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ เพื่อให้สอดรับกับสังคมพหุวัฒนธรรมของอังกฤษ

    เมื่อถูกสถานีช่อง 4 ถามว่า ท่านจะทำเช่นไร หากเจ้าชายจอร์จ องค์รัชทายาทลำดับที่ 3 แห่งราชวงศ์อังกฤษ อยากจะเปลี่ยนจากนับถือคริสต์ไปเป็นพุทธ อาร์คบิชอปตอบกลับว่า ก็ดีสิ เราจะได้เปลี่ยนไปเป็นสมเด็จพระสังฆราชแห่งเกาะอังกฤษแทน เอ๊ย!! ไม่ช่ายยยย!! หากเป็นพระประสงค์ของพระองค์ ท่านก็คงไม่ขัด คำสัมภาษณ์นี้มีขึ้นหนึ่งวัน หลังจากท่านทำพิธีตั้งชื่อให้กับเจ้าชายที่พระราชวังเซนต์เจมส์

    คำสัมภาษณ์นี้ มาจากกระแสที่ลือกันมานาน ว่าเจ้าฟ้าชายชาร์ล มกุฏราชกุมารแห่งราชวงศ์อังกฤษ ทรงมีพระประสงค์ที่จะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่น โดยทั้งนี้ ทรงมีความประทับใจเป็นพิเศษกับพระพุทธศาสนา และมักจะไปปรากฏพระองค์อยู่ตามวัดพุทธ กับดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์อยู่บ่อยครั้ง

    โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา สำนักข่าวเดอะเดลลีเมลล์ก็ได้รับรายงานมาอย่างต่อเนื่องว่า เจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮรี แทบไม่เคยเข้าโบสถ์ในวันอาทิตย์ ซึ่งต่างอย่างสิ้นเชิงกับสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบ็ธที่ 2 ที่ทรงเข้าโบสถ์ไปสวดมนต์เป็นประจำ

    อาร์คบิชอปกล่าวต่อว่า เจ้าชายวิลเลียม ว่าที่กษัตริย์แห่งราชวงศ์อังกฤษในวัย 31 ชันษา แม้จะทำพิธีประกาศตนเป็นคริสตศาสนิกชนแห่งโบสถ์แองกลิกัน มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 แต่ก็ทรงเข้าโบสถ์แทบจะนับครั้งได้ โดยส่วนใหญ่จะเข้าก็เฉพาะตอนมีงานพระราชพิธีสำคัญ เช่น งานอภิเษกสมรส หรือไม่ก็วันคริสต์มาสเพียงเท่านั้น และก็ทรงเหมือนพระราชบิดา
    ชอบไปปรากฏพระองค์อยู่ตามวัดพุทธ เพื่อไปนั่งสมาธิ

    ..............
    (หมายเหตุ : ข้อมูลจาก http://www.dailymail.co.uk/news/art...-wants-says-Archbishop-royal-christening.htmlและภาพจาก http://www.amarintv.com/news-update/news-1809/64455/)

    ขอบคุณที่มา....siampongsnews.blogspot.com
    :):):):):):):rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes:

    9@Phonlee, 11 พฤศจิกายน 2018
     
  12. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,913
    ค่าพลัง:
    +4,754
    (ปักหมุด74) หน้า106
    :cool::cool::cool::cool::cool::eek::eek::eek::oops::oops::oops:

    เรื่อง ฝันปกติมันจะสามารถฝันซ้อนฝันได้
    เป็นเรื่องธรรมดา(ตอนที่1)

    บรุษไร้เงา (อจ.นพ) โพสต์

    เพราะส่วนหนึ่งของความฝันที่เกิดจาก ๑.สัญญาในจิตไม่ว่าจะเหตุในอดีต
    (อดีตที่จิตเคยผ่านมาไม่ว่าในอดีตหรือปัจจุบัน) เช่น เพราะธาตุพร่อง ผักผ่อนน้อย
    ซึ่งมักจะฝันรวมเอาเหตุการณ์ที่ผ่านมาในวันนั้นมารวมเป็นเรื่องเดียวกันได้ ๕๕ หรือ เหตุการณ์ สภาพแวดล้อม บุคคล ฯลฯที่เราไม่คุ้นเคยมาก่อน และ ๒.เหตุจากมีการส่งกะแสภายนอกเข้ามาเชื่อมที่จิต ณ ปัจจุบัน
    เช่น เทพสังหรณ์ อนาคตต่างๆ การเตือนต่างๆ แต่ก็อาจจะมีที่ปรุงแต่งไปเอง
    ทั้งนี้ต้องดูสภาพก่อนนอนว่า
    มีความเครียด การสะสมความคิด
    มาร่วมไหม

    เมื่อสัญญาตัวนั้นชัด เราก็จะเห็นเป็นเรื่องราวต่างๆได้ตามสัญญาที่จิตสร้าง ณ เวลานั้น
    และก็จะขึ้นมาได้ตามระยะเวลาของ
    สมาธิสะสมเราเอง ส่วนการจะเรื่องราว
    ได้ไม่ได้ ก็ขึ้นอยู่กับสติทางธรรม
    ที่ได้จากการเจริญสติในชีวิตประจำวัน


    (ทางวิทยาศาสตร์ คลื่นความถี่ช่วงที่ฝัน ประมาน ๔ ถึง ๗ Hz เรียกเทต้า)
    ซึ่งช่วงต่อมาคือคลื่นหลับ(ประมาน ๑ ถึง ๓ Hz เรียกเดลต้า )

    ถ้าเราดูเป็นกราฟช่วงที่ฝันหรือเห็นโน้นนี่นั้นเวลาลืมตาหรือตอนนั่งสมาธิ หรือ
    ช่วงที่ใจไปแต่กายไม่ไปตาม หรือช่วงผีอำ
    บ้างเรียกช่วงจิตใต้สำนึก นั่นแล(ทั้งหมดมันคือช่วงคลื่นเดียวกัน) คลื่นมันจะ เหวี่ยงขึ้นลง. เหวี่ยงขึ้นไม่เกิน ๘ เพราะถ้าเกิน เราจะเริ่มระลึกรู้กายได้ขยับได้ตามปกติ
    และจะตื่นเหมือนทั่วไป
    แต่ถ้า คลื่นมันต่ำกว่ากว่า ๓ ภาพก็จะหายไป
    และเราก็จะนอน กรนคร๊อกฟี่ๆ ต่อไปเท่านั้นเอง พวกนี้คือเรื่องธรรมดา


    อาจจะเกิดคำถามว่าทำไมเราฝันซ้อนได้
    สังเกตุนะ
    ๑. เวลานอนคลื่นต่ำกว่า ๓
    พอเริ่มฝันฯลฯ ค่า คลื่นสูงมา ๔ ถึง ๘ เพราะมันใกล้คลื่นที่ลืมตาตื่น บางทีเราจึงเข้าใจ
    ว่าเวลานั้น เราไม่ได้หลับ เหมือนอยู่
    ในเหตุการณ์จริงมากๆ. ทางวิทยาศาสตร์คือมันมีการเพิ่มความถี่เข้าไปให้มากขึ้น
    ความถี่ที่เพิ่มก็มาจากสัญญา(เหตุที่ทำให้ฝัน ที่มี ๒ ข้อก่อนหน้า)
    ๒. เมื่อสัญญา(เหตุ ๒ ข้อ)มันไม่พอที่จะทำให้ตื่น คลื่นก็จะลดระดับลงมาเพื่อที่จะนอนต่อ
    คือลดมาต่ำกว่า ๓ Hz เพราะมันจะหลับก่อนเห็นพอนึกออกเนาะ

    ๓.ช่วงที่คลื่นมันลดลงมา(พอภาพชุดแรกหมด)ขณะที่จะถึงคลื่นหลับ ก็อาจจะมาเจอสัญญาตัวอื่นๆ นึกออกไหมมันเคยเพิ่มค่าความถี่ไปแล้วจากสัญญา จิตมันเลยคุ้นเคย
    มันก็จะค้นต่อว่า เห้ยยยย มีสัญญาตัวไหนไหมที่อยู่ในระแวกเดียวกัน(ช่วงที่เคยกับไว้ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน) ถ้าเจอมันก็จะดึงสัญญาตัวนั้น จึ้นมาสร้างเป็นภาพอีกชุด

    พอหมดสัญญาหรือแรง ก็ตกมาอีก
    ก็มาดูอีกว่ามีอีไหม ก่อนจะหลับ
    ถ้ามีก็สร้างอีก ถ้าไม่มีเราก็จะนอนกรนต่อ

    ยกเว้นสัญญานั้นมันหนาแน่นจนเราระลึก
    รู้กายได้ คลื่นก็จะสูงเกิน ๘ Hz เราก็จะลืมตา
    ตื่นขึ้นมาได้. ถ้าสมาธิสะสมเราน้อย
    เราก็จะเหนื่อย ถ้าสติทางธรรมไม่พอ
    เราก็จะจำอะไร บ่ ค่อยได้(สาเหตุย้อนอ่านในย่อหน้า ๓ ได้)

    ถ้าสังเกตุดูเราสามารถฝึกอะไรได้ตรงนี้บ้าง
    สังเกตุ ๑.สมาธิสะสม เราฝึกไม่ได้เพราะไม่ได้ระลึกรู้ลม หรือคลื่นไหวกาย และไม่ได้กดตัวจิตให้คลื่นมันนิ่ง ซึ่งเป็นหลักการในการฝึกทั่วไป

    ดังนั้นจึงเหลือการฝึกเพิ่มสติทางธรรม ^_^
    จึงได้มีอุบายในการฝึกว่า
    ถ้าเริ่มรู้ตัว จึงห้ามเราลืมตาเป็นอันขาด
    เพราะไม่งั้นเราจะตื่นและเข้าอีหลอบเดิม
    คืออาจเหนื่อยและลืมบางช่วงที่ฝัน

    ไม่ลืมตาก็เป็นการบังคับ
    ไม่ให้คลื่นมันทะลุเกิน ๘ Hz ขึ้นไป
    ซึ่งเราจะตื่น คลื่นมันก็จะวนต่ำกว่า ๘
    แต่ถ้าต่ำกว่า ๓ ก็หลับอีก

    ในช่วงที่ยังไม่ลืมตา จึงให้ระลึกทุกเรื่องราวในฝัน หรือบางครั้งให้ระลึกว่า
    เมื่อวานทำอะไรมาบ้าง พลาดตรงไหน ตรงตัว อาบน้ำ เวลาไหน มันก็จะไปเพิ่มกำลัง
    สติทางธรรมสะสมไว้ ในคลื่นช่วง
    ๔ ถึง ๘ ได้เอง อัตโนมัติ พอลืมตาแล้วให้ลืมไปเลย เพราะจะเป็นความคิดและคนละช่วงคลื่นแล้ว

    พอฝันครั้งต่อไปเราก็จะเหมือนรู้เรื่องมากขึ้น
    เข้าใจมากขึ้น ถ้าเราเจริญสติต่อเนื่อง
    สร้างสมาธิระหว่างไว้ ไม่ว่านับก้าวเดินหรือระลึกรู้ลม เราก็จะเฉยๆเวลาลืมตาได้

    ปล สมาธิเอาไปใช้ได้ทุกช่วงคลื่นความถี่
    แต่ตอนนอน ร่างกายพักมันสร้างไม่ได้
    ไม่เหมือนสติทางธรรมที่สร้างๆด้ทั้งเวลาตื่น
    และเวลาก่อนตื่นนั่นแล


    ที่พลาดกันเรื่องสติทางธรรมคือพอลืมตาแล้ว
    เราไปพยายามคิด พยายามระลึก(ไม่ให้มันรู้เอง). มันเป็นคนละช่วงความถี่ กัน
    ซึ่งเหมาะสำหรับการเรียน การใช้ประกอบอาชีพ. ทันเลยไม่ส่งผลให้เรารู้เรื่องในฝัน
    ดีขึ้น เพราะการใช้ชีวิตเวลาปกติ
    เราก็ไม่ค่อยเจริญสติกัน ๕๕๕
    เอาง่ายๆ วันหนึ่งระลึกรู้ลมเข้าออกกี่นาที
    นับก้าวเดินกี่ครั้ง ๕๕.

    คำว่า ทำไม เพราะอะไร
    คืออะไรก็มาจาก การมองข้าม
    หลักการเพื่อความเข้าใจด้วยตนเอง
    อย่างที่เล่าให้ฟังมาก่อนหน้านั่นแล

    ทำไมเส้นผมถึงบังภูเขาได้นั้นแล
    :rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes:

    บุรุษไร้เงา, 12 พฤศจิกายน 2018

    ***************************************


    (ปักหมุด75) หน้า106
    ;);););););):oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::cool:


    (ตอนที่2)
    เรื่อง ฝันปกติมันจะสามารถฝันซ้อนฝันได้
    เป็นเรื่องธรรมดา


    บรุษไร้เงา (อจ.นพ) โพสต์

    ทั่วไปฝันซ้อนจะได้ประมาน ๕ เรื่องในครั้งเดียว ไม่ว่าจะเพราะวัตถุประสงค์อะไร
    ถ้าได้ ๓ ถึง ๓ ครั้งถือว่าดีโดนเฉพาะฝันที่
    ทดสอบนิสัย เช่น เห็นของที่อยากได้
    เราจะหยิบไหม เจอสัตว์เราจะฆ่าเค้าไหม
    เจอผีมาหาเราจะด่า จะสวดมนต์ไล่เค้าไหม ฯลฯ หลักๆ จะเรื่อง รัก โลภ โกรธ หลง เมตตา ความกลัวตาย. คือเป็นนิสัย
    ที่เวลาปกติเราไม่เป็นนั่นหละ
    แต่จะมาในฝันเพราะสติเราหรือทุกคน
    จะอ่อนมี่สุดเวลาฝัน

    ถ้าอ่านที่ส่วนตัวแนะนำใน #Rep ก่อนหน้า
    แล้วพอเข้าใจและได้ทดลองทำตาม

    ต่อไปมาฝึกระลึกสติในฝัน
    คือพอระลึกรู้ว่าฝันตอนไหน
    ให้ตัดเลย อย่าสนใจ มันจะฝันอีก
    ก็ตัดอีก ตัดเรื่อยๆ แบบนี้อย่าให้
    ไหลไปตามฝันให้ระลึกให้เร็วและตัดเลย


    ถ้าทำได้ นะ แค่เห็นเป็นเงา
    ต่อไปเราจะย้อนรู้ได้เองอัตโนมัติ
    ว่าสัญญานี้มาจากไหนได้เอง
    เช่น แค่ฝันเห็นร่างมีแต่เงาคล้ายคน
    มันก็จะตัดเป็นภาพมาเป็นฉากๆ
    แต่เราต้องระลึกว่าเห็นภาพแล้วตัด
    ในเบื้องต้นก่อนนะ จะปรากฏเป็นฉากๆให้เรารู้เอง เราก็ดูเอา และมันจะจำได้
    เพราะเราฝึกสติมาแล้ว
    ว่า อ้อ ยกตัวอย่าง ๑.เคยเป็นเพื่อน ๒ ทำงานเจอกัน
    ๓ เคยไปไหว้เพราะเค้าเป็นพระ ๔ เค้าเป็นช่าง ๕ เค้าเป็นญาติเรา ๖ เค้าเป็นเพื่อนบ้านเรา. คือพูดง่ายๆ ย้อนดูจนเบื่อ แล้วแต่อารมณ์ ว่าจะย้อนกี่ชาติ จะย้อนถึงยุค
    ไดโนเสาร์ก็ได้ ขึ้นอยู่กับสมาธิสะสม
    และกำลังสติเรา
    เป็นอดีตที่จิตมันเคยผ่านมานั้นหละ
    ย้อนจนขี้เกียจรู้ มันก็จะทำให้เราย้อนรู้ต้นเหตุการเกิดเป็นของจิตได้ด้วยตัวเราเอง
    จิตเราก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่นเพราะมันเข้าใจ
    ไม่เก็บมาคิด มาสนใจ

    ของพวกนี้มันอยู่ที่ เทคนิคคอลเทอม
    หรือทริคหรือเทคนิค มันไม่ใช่ว่าเรียนเก่ง
    ฉลาด หล่อ สวย เท่ห์ รวย ทำบุญเยอะ
    หรืออยู่ใกล้ท่านที่เก่งๆ ความสมารถมาก


    มันอยู่ที่สติทางธรรมที่ได้จากการเจริญสติ
    ในชีวิตประจำวันนั่นหละ
    คนจะฝึกกรรมฐานอะไร
    จนสำเร็จใช้งานได้หรือไม่
    พื้นฐานมันอยู่ที่ตรงนี้นั่นหละ


    เพียงแต่ถ้าพูดเรื่องนี้
    ทั่วไปนักปฏิบัติจะเห็นว่า
    ไม่หล่อ ไม่เท่ห์ ดูไม่เป็นผู้วิเศษ
    เหมือนที่เขียนไว้ตามตำรา
    ในกรรมฐานพิเศษต่างๆ
    เลยสำเร็จกันแต่ในระดับมโน
    แต่หลงว่าตนเก่งได้
    ทั้งๆที่ไม่มีความสามารถ
    แสดงได้และนำมาใช้งานได้
    ก็จะหลงตัวเองได้นั่นแล

    เกท บ่. ปฎิบัติจะไปได้ดี
    ความรู้ทางโลกต้องเริ่มจากศูนย์เท่านั้น ^_^

    :(:(:(:(:(:(:(:(:rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes:o_O

    (บุรุษไร้เงา, 12 พฤศจิกายน 2018)
     

แชร์หน้านี้

Loading...