เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 23 พฤศจิกายน 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,840
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,415
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_3272.jpeg
      IMG_3272.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      141.1 KB
      เปิดดู:
      48
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,840
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,415
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ ทุกวันเสาร์อาทิตย์จะมีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวที่ทองผาภูมิเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะช่วงนี้ทะเลหมอกงดงามสุด ๆ แต่ก็เป็นทุกอาทิตย์ที่สร้างปัญหาให้กับพระภิกษุสงฆ์ผู้ออกบิณฑบาต เนื่องเพราะว่าบรรดานักท่องเที่ยวของเรานั้น ส่วนใหญ่แล้วมีศรัทธาที่จะใส่บาตร แต่มักจะทำตัวไม่ถูก..?!

    อย่างวันนี้ ขนาดเด็กวัดตักเตือนอยู่ ๒ รอบว่า "ช่วยถอดรองเท้าด้วยครับ" ก็ยังทำไม่รู้ไม่ชี้ เมื่อกระผม/อาตมภาพเดินเลยไปยังทักท้วงกันว่า "อ้าว ..พระอาจารย์ไม่เห็นพวกเรา" กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกว่า "กูเห็นชัดเต็มสองลูกตาเลยว่ามึงใส่รองเท้าอยู่..!" แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เนื่องเพราะว่าเมื่อเด็กวัดได้ตักเตือนซ้ำอีกรอบหนึ่ง ท่านก็คงรู้ตัวว่าทำไมพระอาจารย์ถึงมองไม่เห็นพวกท่าน..!?

    เรื่องแบบนี้จะมีอยู่ทุกอาทิตย์ เป็นที่น่าหนักใจมาก โดยเฉพาะมีพระสงฆ์นักวิชาการบางรูปไปให้คำอธิบายว่า "พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามใส่รองเท้าในขณะที่ใส่บาตร" กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกว่า "ท่านก็เถรตรงจนเกินไป" เนื่องเพราะว่าถ้าสิ่งหนึ่งประการใดต้องรอพระพุทธเจ้าท่านมาตรัส มาบอก มากล่าวไปเสียทุกอย่าง พระพุทธศาสนาของเราก็น่าจะไปไม่รอดอย่างแน่นอน..!

    พระองค์ได้ตรัสเอาไว้ว่า เมื่อเข้าไปในสถานที่พึงเคารพ อย่างเช่นว่า โบสถ์ วิหาร ลานเจดีย์ เป็นต้น ให้ถอดรองเท้า ลดร่ม ห่มผ้าเฉวียงบ่า ซึ่งเป็นการแสดงออกซึ่งความเคารพ ก็แปลว่าการถอดรองเท้านั้น เป็นการแสดงออกซึ่งความเคารพอย่างหนึ่ง การเปลี่ยนจากการห่มคลุมมาเป็นห่มผ้าเฉวียงบ่า เป็นการแสดงออกซึ่งความเคารพอย่างหนึ่ง การกั้นร่มหรือว่ากางร่มอยู่แล้วลดร่มลง ถือว่าเป็นการแสดงออกซึ่งความเคารพอย่างหนึ่ง

    แล้วก็ไปโยงกับเรื่องที่พระเจ้าพิมพิสารโดนพระเจ้าอชาตศัตรูผู้เป็นลูกจับไปกักขังเอาไว้ เพราะว่าต้องการราชสมบัติ แต่ว่าขังเท่าไรก็ไม่ตายอย่างใจเสียที ตอนแรกเป็นเพราะว่าพระราชเทวีได้นำเอาอาหารซ่อนเข้าไปให้ มาภายหลังเมื่อจับได้ จึงห้ามพระราชเทวีซึ่งก็คือแม่คือตนเอง ไม่ให้เข้าไปเยี่ยมพ่ออีก

    พระเจ้าพิมพิสารท่านก็ใช้วิธีเดินจงกรม เพ่งมองไปยังกุฏิองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนเขาคิชฌกูฏ อยู่ด้วยธรรมปีติ ก็ไม่สวรรคตสมดังใจของพระเจ้าอชาตศัตรู เมื่อทราบว่าเป็นเพราะอยู่ได้ด้วยการเดินจงกรม พระเจ้าอชาตศัตรูจึงสั่งให้ช่างกัลบก นำเอามีดโกนไปกรีดฝ่าพระบาทพระเจ้าพิมพิสารจนเดินจงกรมไม่ได้ แล้วท้ายที่สุดก็สวรรคตสมดังใจของลูกชายตนเอง..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,840
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,415
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสถึงบุรพกรรมของพระเจ้าพิมพิสารว่า ในอดีตเคยใส่รองเท้าเข้าไปในลานเจดีย์ โทษของการปรามาสพระรัตนตรัยที่เป็นเศษกรรม ตามทันมาในชาติปัจจุบันนี้ จึงทำให้โดนลูกชายลงโทษด้วยการใช้มีดโกนกรีดฝ่าเท้า..!

    โบราณาจารย์และบรรพบุรุษของเรา เมื่อนำเอาเรื่องสองเรื่องนี้มาโยงกันเข้า ครั้นมาทำสิ่งที่ควรเคารพต่อพระสงฆ์ก็คือการใส่บาตร จึงได้มีการถอดรองเท้า แสดงออกซึ่งความเคารพและความเกรงโทษการปรามาสพระรัตนตรัย ดังนั้น..บรรดานักวิชาการที่สภาพจิตไม่ทราบว่ามืดบอด หรือว่าเถรตรงกันแน่ ? จึงได้ออกมายืนยันว่า "พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามสวมรองเท้าในขณะใส่บาตร"

    ขณะเดียวกัน ญาติโยมทั้งหลายที่เป็นพุทธศาสนิกชน มีจิตศรัทธาจะใส่บาตรสร้างกุศลให้กับตัวเอง แต่กลับจิตหยาบจนเกินไป สวมรองเท้าในขณะที่ใส่บาตร ซึ่งกระผม/อาตมภาพจะปิดบาตรและเดินเลยไปทุกครั้ง ยกเว้นอยู่เฉพาะแม่ค้าปลาสดเท่านั้น เนื่องเพราะว่าเขาทั้งหลายเหล่านี้ต้องใส่รองเท้าบูตสูงถึงหัวเข่า เพื่อป้องกันไม่ให้เท้าเปื่อยจากการที่ต้องเปียกน้ำอยู่ทั้งวัน ครั้นจะไปเสียเวลาถอดก็จะนานมาก จึงได้ให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นสวมบูต หรือว่าสวมรองเท้าในขณะที่ใส่บาตรได้ แต่ก็มีบางท่านที่บางวันลูกหลานเป็นคนขาย ตนเองก็สวมรองเท้าออกมาตามปกติเพื่อใส่บาตร ถ้าแบบนั้น ท่านก็ยังถอดรองเท้ากันด้วยตนเอง

    เท่าที่สังเกตมา พุทธศาสนิกชนที่เป็นชาวมอญชาวพม่า ไม่ต้องเสียเวลาเตือน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างก็ถอดรองเท้ากันทุกคน เพราะว่ากระทำกันเป็นปกติ แต่พุทธศาสนิกชนชาวไทย
    โดยเฉพาะท่านทั้งหลายที่อยู่ในสถานที่เจริญแล้วด้วยวัตถุ แต่ความเจริญด้านจิตใจน่าจะเข้าไม่ถึง จึงมองข้ามแบบธรรมเนียมต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่งาม แสดงออกซึ่งความละเอียดลึกซึ้งของคนรุ่นก่อน

    ท่านทั้งหลายมองข้ามไปยังไม่พอ ยังจะกระทำในสิ่งที่จะเป็นโทษแก่ตนเองภายหลังอีกด้วย
    กระผม/อาตมภาพไม่อยากให้โทษเกิดกับท่านทั้งหลาย ก็เลยต้องทำเมินเดินเลยไปเสียเฉย ๆ ยกเว้นว่าท่านใดที่เด็กวัดเตือนแล้วรู้จักถอดรองเท้า ก็จะหยุดรับบาตรจากท่านตรงนั้น

    เรื่องพวกนี้ก็คงจะมีให้บ่นให้ว่ากันไปได้ทุกอาทิตย์ เนื่องเพราะว่าช่วงนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว ที่นักท่องเที่ยวมีแต่จะมากขึ้นไปเรื่อย ๆ เนื่องเพราะว่าทองผาภูมิอากาศเย็นสบาย ทิวทัศน์งดงาม ผู้คนเป็นมิตร สถานที่เที่ยวใกล้เคียงมีเป็นจำนวนมาก สามารถที่จะไปแล้วคุ้มกับการเดินทางของตนเอง

    แต่เมื่อท่านทั้งหลายมาแล้วกรุณาเถิด..สิ่งหนึ่งประการใดที่จะกระทำ ถ้าเป็นวัฒนธรรมประเพณีแล้ว โปรดศึกษาเสียหน่อย อย่าได้ประมาทว่าความชั่วเพียงเล็กน้อยแล้วไปกระทำ ในขณะเดียวกัน ก็อย่าไปประมาทว่าความดีเพียงเล็กน้อยแล้วไม่กระทำ เพราะว่าผลดีและชั่วทั้งหลาย ต่างก็จะส่งผลต่อท่านในระยะเวลาอันไม่นาน
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,840
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,415
    สำหรับเรื่องต่อไปที่อยากจะกล่าวถึงก็คือการที่ "ท่านปีนเสา" ไปออกรายการทีวี ออกมาถึงหน้าสถานีก็โดนบุคคลถีบคว่ำอยู่หน้าสถานีนั่นเอง..! เป็นเรื่องที่น่าสลดใจมาก เนื่องเพราะว่าต่อให้เป็นปุถุชนหรือว่าฆราวาสด้วยกัน ถึงท่านจะชิงชังกันขนาดไหน ก็ไม่สามารถที่จะไปทำร้ายร่างกายกันแบบนั้นได้ เนื่องเพราะว่ามีกฎหมายคุ้มครอง

    แล้วนี่
    "ท่านปีนเสา" ยังนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์อยู่ ท่านเองสภาพจิตสามารถล่วงเกินต่อธงชัยพระอรหันต์ได้โดยไม่มีความหวั่นเกรง เป็นเรื่องที่น่าหนักใจเหลือเกินว่า พุทธศาสนิกชนของเราในปัจจุบันเป็นอะไรกันไปหมดแล้ว ?

    เนื่องเพราะว่าพระพุทธศาสนาของเรานั้น ไม่ได้สนับสนุนความรุนแรงประเภทนี้ นี่เป็นประการที่ ๑ ประการที่ ๒ ก็คือ ไม่ว่าอย่างไร
    "ท่านปีนเสา" ก็เป็นพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นสมมติสงฆ์หรือไม่ก็ตาม ตัวอย่างในธรรมบทที่กล่าวถึงฆราวาส ไปด่าว่าตำหนิพระที่ต้องอาบัติปาราชิก แล้วฆราวาสท่านนั้นก็ตกนรกเสียเอง เนื่องเพราะว่าสภาพจิตของตนมืดมัวด้วยโทสะ ถึงขนาดไปด่าว่าผู้อื่นซึ่งท่านยังนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์อยู่ ดังนั้น..การที่ท่านไปทำร้ายร่างกายของ "ท่านปีนเสา" ในระดับนั้น เชื่อว่าถ้าเป็นชาวพุทธที่แท้จริงก็จะสลดใจด้วยกันทุกคน

    อีกส่วนหนึ่งก็คือ
    "ท่านปีนเสา" เพิ่งจะไปออกรายการทีวีมา กระผม/อาตมภาพก็หนักใจว่า บรรดารายการทีวีหรือผู้สื่อข่าวในปัจจุบันนี้เป็นอะไรกันไปหมดแล้ว ? ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าท่านอยู่ในลักษณะที่โบราณกล่าวว่า "ไม่เต็มเต็ง" ก็ยังอุตส่าห์นำไปออกรายการ เพื่อที่จะเรียกเรตติ้ง เรียกคนดู ถ้าลักษณะนั้น จะกล่าวว่าท่านมีเจตนาดีต่อพระพุทธศาสนาไม่ได้เลย..! แล้วเชื่อเถอะ..เดี๋ยวก็จะมีไอ้พวกหิวแสง หิวยอดวิว นำเอาคำพูดของกระผม/อาตมภาพไปลงเพื่อชนกับคนอื่นอีกจนได้..!

    ปัจจุบันนี้มีหลายต่อหลายคนที่ออกคลิปมาถี่ ๆ โดยที่บางทีเนื้อหาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับกระผม/อาตมภาพเลย แต่ก็จะพาดหัวคลิปด้วย #หลวงปู่ฤๅษีฯ ลิงดำ #วัดท่าซุง #หลวงพ่อเล็ก #วัดท่าขนุน อยู่ในลักษณะที่ต้องการจะ "ตกควาย" กระผม/อาตมภาพได้เตือนลูกศิษย์ไปแล้วว่า "อย่าไปเป็นควายให้เขาตก..!" ใครที่ต้องการยอดวิวแล้วทำเรื่องเหล่านั้น ก็ปล่อยเขาลงนรกกันไปเอง เราอย่าไปมีอารมณ์ร่วมเพื่อลงนรกไปกับเขาด้วย..!

    เช่นเดียวกับ
    "ท่านปีนเสา" ในเมื่อท่านแสวงหาทางต่ำ ญาติโยมก็อย่าได้ไปตำหนิด่าว่าหรือทำร้ายท่าน เนื่องเพราะว่าจะกลายเป็นเรากระโดดลงนรกไปล่วงหน้าท่านเสียแล้ว..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,840
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,415
    ท่านทั้งหลายที่ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ ก็จะว่ากระผม/อาตมภาพ "เอานรกสวรรค์มาขายอีกแล้ว..!" เรื่องพวกนี้ท่านจะรู้ก็หลังจากที่เสียชีวิต เนื่องเพราะว่าส่วนใหญ่ไม่ได้มีทิพจักขุญาณ ไม่ได้มีอภิญญาสมาบัติที่จะรู้เห็นได้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็แปลว่าท่านรู้เห็นแล้ว แต่ว่าแก้ไขกลับกลายอะไรไม่ทัน ก็ต้องไปทนทุกข์ยากลำบากกันเป็นกัปกัลป์อนันตชาติ..!

    เป็นเรื่องที่น่าสงสารอย่างยิ่งสำหรับบุคคลที่มีสภาพจิตอันหยาบ ไม่สามารถเข้าถึง ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็นส่วนละเอียด จนนำพาจิตของตนให้เจริญขึ้นไปสู่ภพภูมิที่ดี จนกระทั่งหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพานได้

    แต่ว่าบุคคลที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แท้จริงก็หาได้ท้อถอยไม่ เนื่องเพราะว่าถ้าตนเองฝึกฝนขัดเกลาไปจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็ยังคงพากเพียรเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เรียกง่าย ๆ ว่าต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนเอง


    ท่านต้องการจะทำลายพระพุทธศาสนาก็แล้วแต่ท่านเถิด กระผม/อาตมภาพมั่นใจว่าพระพุทธศาสนาเป็นของจริง เป็นของแท้ ต่อให้ตั้งใจทำลายขนาดไหนก็ไม่สามารถที่จะทำลายได้ ยกเว้นพุทธบริษัททั้ง ๔ ที่จะทำตนเป็น "สนิมเหล็กกัดกินเนื้อเหล็ก" เสียเองเท่านั้น


    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๒๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...