หลวงปู่ไม อินทสิริ เรื่องเล่าหลวงปู่ และพระป่าสายกรรมฐาน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ธีระนะโม, 17 สิงหาคม 2021.

  1. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,236
    ?temp_hash=95f54b53024db367cb3c065820583d89.jpg
    สั่งสมบุญ
    หลวงปู่ไปตั้งวัดที่อินเดียอีกวัดหนึ่งนะ

    เพิ่งไปตั้งใหม่ๆและเอาพระเณรเข้าไปอยู่เมื่อออกพรรษานี้นะ มีพระและเณรตอนนี้ก็ ๗๗ รูปที่อยู่วัดใหม่ (ที่ จ.นาคปูร์ ) แล้วก็เป็นคนอินเดียเอาพวกชาวฮินดูเข้ามาบวช และพระเณรของเราที่อยู่ที่นั้นก็พากันออกบิณฑบาตทุกวัน ชาวบ้านก็ตั้งแถวตักบาตรนะ จะไม่ทำให้มันเหมือนอย่างวัดไทยที่เคยไปตั้งอยู่ที่ประเทศอินเดียหลายๆวัด

    #หลวงปู่มีความดำริอยากจะเข้าไปรื้อฟื้นพระพุทธศาสนา #ในประเทศอินเดียให้เกิดขึ้นมาเหมือนเดิม เอาคนอินเดียเข้ามาบวช เข้ามาปฏิบัติธรรมแล้วก็เอาชาวบ้านมาทำบุญตักบาตร มารักษาอุโบสถศีล มาฟังเทศน์ มานั่งสมาธิภาวนา

    "แต่ตอนนี้ที่เราคิดเอาไว้ก็มาเป็นเวลายาวนาน ความคิดนั้นก็ถือว่าสำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้ว ตอนนี้ก็มีคนมารักษาอุโบสถศีลเป็นจำนวนมากนะ มานั่งฟังเทศน์ฟังธรรมกลางแจ้งกลางทุ่งนา"

    โยม : อยู่ที่พุทธคยาหรือเปล่าครับ ?

    ลป. : ไม่!...อยู่ที่ภาคกลาง "เมืองนาคปูร์" และเขาก็รู้สึกว่ามีความภูมิใจดี ที่มีพระสงฆ์เราไปอบรมสั่งสอน ซึ่งบางคนนี่ไม่รู้จักศาสนานะ เขาถือศาสนาพุทธอยู่เขาว่านะ แต่เขาไม่รู้ข้อวัตรปฏิบัติ #พอพระเณรเราไปบิณฑบาต_แจ้งเจ้าหน้าที่มาจับเลย_พาตำรวจมาจับ_เพราะเขาคิดว่าเป็นคนขอทาน!

    ทีนี้ก็มาชี้แจงให้พวกเจ้าหน้าที่ฟัง พวกเจ้าหน้าที่เขาก็ไม่มีการศึกษาในทางศาสนา และก็ได้อบรมพวกชาวบ้าน พวกผู้นำของชาวบ้านก็ชี้แจงให้เข้าใจ

    วันหลังมาพวกชาวบ้านก็ตั้งแถวใส่บาตรเป็นแถว (ลป.หัวเราะ) เขาเป็นชาวพุทธแต่ยังไม่รู้จักพุทธ รู้แต่ศีล ๕ ศีล ๕ ก็ไม่รู้จะครบไม่ครบนะ เพิ่งเจอพระครั้งแรก (เดินบิณฑบาต) ก็แจ้งตำรวจจับเลย (ลป.หัวเราะ)

    " พระพุทธเจ้าก็ไปแบบนี้แหละ !! "
    ในสมัยครั้งพุทธกาล ที่ไหนที่ไม่มีคนรู้จัก พระพุทธเจ้าจะต้องไป ไปตรงที่คนไม่รู้จัก ศัตูรอยู่ที่ไหนไปที่นั้น คนอยากจนอยู่ที่ไหนไปที่นั้น ทีนี้พระเณรของเราไปก็อยู่กับพื้นดิน นอนอยู่กับพื้นดิน หลวงปู่ก็ส่งปัจจัยไปสร้างห้องน้ำได้ ๒๐ ห้องแล้ว เอาซะสวยงามเลย

    "โอ้ย! น่าอัศจรรย์ใจห้องน้ำสวย"(คนอินเดีย)
    บ้านเขายังไม่สวยเท่าห้องน้ำเรา เป็นวัดป่าชื่อ...
    #วัดป่าอินทสิริ ทีนี้พวกเด็กๆอินเดียเขาก็มาสมัคอยู่ มาขอสมัคแต่ยังไม่ให้รับหรอก ตอนนี้เป็น ๑๐๐ นะที่จะมาบวชนะ แต่ถ้าที่พักของเราเพียงพอก็จะรับไปเรื่อยๆอยู่ เอาพระเณรมาสอนเดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนา

    โยม : ต้องมีล่ามไหมครับ อยู่กับคนอินเดีย?

    ลป. : อ๋อ! มีพระอินเดียมาเรียนมาอยู่ในเมืองไทยอยู่ ได้ด็อกเตอร์และก็เณร ก็มีพูดไทยได้ ตอนที่หลวงปู่ไม่สบายอยู่ รพ.เขาก็มาสวดมนต์ถวายนะ ไปที่วัดวังน้ำเขียวก็ไป (วัดป่าเขาภูหลวง) พระเณรก็ไปสวดมนต์ถวาย

    ถอดจากเทปพระธรรมเทศนาหลวงปู่ไม อินทสิริ
    วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
    ( เป็นช่วงตอบปัญหาธรรมจากญาติโยม หลังจากที่องค์หลวงปู่ได้เมตตาแสดงธรรมเทศนา ณ สุรัตนธรรม 17 ม.ค.59 )
    ถอดเทป/เรียบเรียง : นรินทร์ ศรีสุทธิ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • S__3833876.jpg
      S__3833876.jpg
      ขนาดไฟล์:
      91.3 KB
      เปิดดู:
      83
  2. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,236
    สั่งสมบุญ
    หลวงปู่ไปตั้งวัดที่อินเดียอีกวัดหนึ่ง

    ?temp_hash=95f54b53024db367cb3c065820583d89.jpg
    ?temp_hash=95f54b53024db367cb3c065820583d89.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • S__3833872.jpg
      S__3833872.jpg
      ขนาดไฟล์:
      104.2 KB
      เปิดดู:
      77
    • S__3833875.jpg
      S__3833875.jpg
      ขนาดไฟล์:
      99.7 KB
      เปิดดู:
      87
  3. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,236
    ?temp_hash=1107eee4de9a3904cce7889ee3804906.jpg
    มีอยู่ครั้งหนึ่งมีคนเขาเอาคนถูกผีเข้ามาหา มาถึงฝั่งภูเขาทางนั้น ผีมันกระโดดลงแล้วพวกผีน่ะ มันมากับคน มันขี่รถมาพร้อมเด้ เขาพามาหาน่ะ มานำ 9 ตัวพุ่นเด้ เต็มท้ายรถพุ่นเด้ มาถึงฟากภูเขาทางนั้น กระโดดหนีลงเบิ่ด (พอรู้ว่าจะมาหาหลวงปู่ไม ผีปอบ 9 ตัว ที่แฝงมาในร่างคนนั้น ก็รีบออกจากร่างและกระโดนหนีลงรถก่อนจะมาถึงวัด)

    มาฮอดนี้ผูกข้อผูกแขนให้ กินน้ำมนต์แล้วกะอาบ คนที่ถูกผีเข้ากะถามว่า...

    โยม : ถ้าหนูกลับคืนไปแล้ว มันสิบ่กลับมาอีกบ่ ?

    ลป. : เฮ้ย! จ้างกะบ่เห็น
    (กลับไปกะบ่เห็นเด้ล่ะ...หายเลยบ่มา)
    :::: แล้วมันไปเข้าสิงคนอื่นได้เหมือนกันไหมครับ

    ลป. : อ๋อ มันเป็นที่ธาตุขันธ์คนนำเด้ เป็นที่จิตคนนำเด้ พระกะเข้าได้เด้ เข้าพระหงายหลังเลย ขนาดสวด
    ปาติโมกข์อยู่ มันกะยังเข้าเน๊าะ แทนที่มันสิย่านเด้

    ::: แล้วรายการ "....."ผีละครับ ที่เข้าเอากล้องไปส่องหาผีน่ะครับ มันจริงไหมครับ ?

    ลป. : อันนั้นมันพวกขี้ตั๋วดอก ถ้าส่องผีได๋ คนที่เป็นมันต้องหาย คนที่เป็นพวกผีเฮ็ด ผีทรงน่ะ หายเบิ่ด บ่ต้องไปหาขี้ตั๋วผู้นั้นผู้นี้ดอก ถ้าเห็นแล้วมันย่านโล้ดดอก ถ้าบ่เห็นน่ะผีมันจังบ่ย่าน

    :::: มันเห็น ลป.มันเลยย่านครับ แต่ถ้าเห็นคนอื่นมันบ่ย่าน

    ลป. : นั่นละเฮาเห็นแล้วมันกะย่านเฮา ทางอุดรพุ่นน่ะ "โอ้ย! มันย่านคัก...บ่มีผีมา" มันบ่แม่นธรรมดาเด้

    แต่ก่อนไปอยู่บ้านคำแคน ผีอยู่บ้านคำแคนนั่น ชื่อว่า "พญาจิตติชัย" พวกชาวบ้านเขาไหว้ เขาถือผี เขาจะเลี้ยงปีทุกปี หลวงปู่เคยไปอยู่จำพรรษาอยู่นั้น อยู่ได้ 15 มื้อ

    ผีพญาจิตติชัยก็ไปเข้าชาวบ้านเด้ทีนี่ ไปทรงชาวบ้าน ไปเรียกผุเฒ่าผู้ที่เป็นจ้ำบ้านนั่นมา ก็ทำท่าโกรธให้กันเด้...

    ผี : "มึงไปนิมนต์พระดีมากะบ่บอกกู บางทีกูอยากมาจำศีลอยู่นำเด้ "

    เฒ่าจ้ำ : กูกะบ่ฮู้ละเว้ย กูกะว่ามึงบ่อยากเข้าวัด ถ้างั้นพอวันศีลหน้า มึงมาจำพรรษานำกูเด้อ !

    พ่อใหญ่เฒ่าจ้ำนั่นแกกะไปนอนอยู่วัดนำสุมื้อ ไปทำวัตรเช้าวัตรเย็นด้วย ยามตอนแลงกะพานั่งสมาธิ พอฮอดวันพระกะพานั่งสมาธิ พวกชาวบ้านก็พากันไปจำศีลนั่งอยู่ศาลา ทีนี้หมามันเห่าเด้ หมามันเห่ากระโดดใส่สามตัว

    ลป. : ฮ่วย พ่อใหญ่ลงไปเบิ่งแหน่น้า ผุได๋มาวนอยู่ข้างล่าง

    พอผู้ใหญ่ลงไปดูใต้ศาลา หมามันก็นอนเกาหมัดอยู่เฉยบ่เห่า พอขึ้นมา....เอาอีกแล้ว พอครั้งที่สาม "ฮ่วยแบบนี้มันบ่แม่นคนมั่ง โยมลงไปดูก็ไม่เห็น ลป.ก็เลยนั่งสมาธิ ไม่นานก็เห็นคนเดินวนรอบศาลา นั่งอยู่ข้างบนศาลาก็เห็นเป็นคนดำๆ เดินวนรอบศาลาก็เลยรู้ ก็เลยทักไปว่า...

    "โฮ้ พญาจิตติชัยบ่ ถ้าแม่นอิหลีอย่าไปเดินรอบศาลาให้หมามันเห่าแหม้ นี่พระนั่งสมาธิเด้ เดียวเป็นบาปเด้ ตกนรกเด้ว่ะ มาขึ้นมานั่งสมาธินำกันนี่"

    พอเฮาว่าจังซั่น มันมานั่งอยู่ข้างหลังเฮานี่แหม้ หมาเลิกเห่าอีก "โฮ้! มาอิหลีตั่วนี่แหม้ (ลป.+ โยม ขำ)

    นั่นละผีพญาจิตชัย มันก็บอกได้อยู่ ถ้าผีมันย่านมันกะบอกได๋

    ("จ้ำ" คือ ผู้ที่ดูแลรักษาหอปู่ตาเรียกว่า "เฒ่าจ้ำ"
    คำว่า "จ้ำ" มาจากคำว่า" ประจำ" เฒ่าจ้ำ นอกจากจะมีหน้าที่ดูแลศาลปู่ตาให้เรียบร้อยเป็นประจำอยู่แล้ว ยังมีหน้าที่ เป็นคนกลางในการติดต่อระหว่างปู่ตากับชาวบ้าน เฒ่าจ้ำจึงคล้ายกับทหารคนสนิทของปู่ตา ใครทำอะไรผิดประเพณี ปู่ตาโกรธก็จะบอกผ่านเฒ่าจ้ำไปยังบุคคลที่กระทำผิด ปู่ตาต้องการให้ชาวบ้านปฏิบัติอย่างไร ก็จะบอกผ่านเฒ่าจ้ำไป ชาวบ้านจะติดต่อกับปู่ตาโดยตรงไม่ได้ )

    ถอดจากเทปโอวาทคำสอนหลวงปู่ไม อินทสิริ
    ที่เมตตาต่อคณะพระภิกษุและญาติโยมทั้งหลาย ที่เดินทางมาคาราวะและร่วมทำบุญกับ ลป.ไม ในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา ที่วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา วันที่ 12 ก.ค. 2563

    ถอดเทป/เรียบเรียง : นรินทร์ ศรีสุทธิ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,236
    ?temp_hash=0380dbe2226cfa506e956f4f5b31de25.jpg
    " พ่อแม่หลวงตาบ้านตาด แต่ก่อนนั้นเอิ้นเผิ่น พระอาจารย์มหา เห็นหน้าเฮาเผิ่นเอิ้นเฮาแต่ #อีตาภุมมี บ่เอิ้นชื่อเฮาเด้ เอิ้นชื่ออาจารย์เลย เฮาเป็นเณรอยู่กับหลวงปู่ภุมมี วัดป่าโนนนิเวศน์ ก่อนนั้นไปกราบไปปฏิบัติธรรมขอคำเทศน์คำสอนนำเผิ่น ไปประจำดู๋อยู่ มีเทียวนึงออกจากป่ามาเล็บยาวดำ
    เผิ่นกะเอากรรไกรตัดเล็บให้ บอกให้ตัดเล็บ เป็นศิษย์เผิ่นแต่บ่สมบูรณ์ คำว่าบ่สมบูรณ์คือเฮาบ่ได้ปรนนิบัติดูแลพ่อแม่เผิ่น ต้องอยู่นำดูแล อย่างน้อยห้าปีสิบปีจั่งเว้าได้ว่าเป็นศิษย์ สิได้ดูแลจั่งใด๋ ไปหายามใด๋ เผิ่นมีแต่ไล่หนี ให้ไปหา...พุทโธ... ครั้งสุดท้ายที่ไปหาพ่อแม่เผิ่นบอกว่าบ่ต้องมากะได้ เดินทางไปมาลำบาก ลำบากทั้งเผิ่น ลำบากทั้งเฮา เสียเวลา อยู่ไกลกะได้ยินเสียงของเผิ่นถ้าตั้งใจฟัง ผู้อยู่ใกล้หากบ่ตั้งใจฟัง ให้นั่งตักเฮาเขากะบ่ได้ยิน กะแม่นความเผิ่น เฮาอยู่ไสกะได้ยินเสียงของเผิ่น ได้แต่กราบระลึกบูชาคุณพ่อแม่เผิ่นเอา หลวงตาเผิ่นอยู่สูงแล้ว"

    ธรรมคำสอน
    หลวงปู่ประไพร สุภโร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • S__4104197.jpg
      S__4104197.jpg
      ขนาดไฟล์:
      188.3 KB
      เปิดดู:
      92
  5. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,236
    ?temp_hash=0380dbe2226cfa506e956f4f5b31de25.jpg
    เข็มฉีดยาเจาะเลือดไม่เข้าสองเข็ม

    วันนี้ขออนุญาตนำเรื่องจริงมาเล่าสู่กันฟัง
    เป็นเรื่องของ #ด้ายสายสิญจน์ผูกแขนหลวงปู่ไม

    โดยเรื่องจริงเรื่องนี้เล่าโดยคุณยายของน้องอคิณคุณยายของน้องอคิณเล่าให้ผมฟังว่า เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมานี้ได้พาน้องอคิณไปเจาะเลือดเเละรับวัคซีน 1 ขวบ ที่ รพ.ศรีนครินทร์ ขอนแก่น (เจาะหาค่าเหลืองแล้วก็ฉีดวัคซีนด้วย) และในวันนั้นเอง ก็ได้เกิดเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้น !!

    วันนั้นไปที่ห้องเจาะเลือด หมอก็หาเส้นเลือดที่มือ #แต่พอหาได้เเล้วปรากฏว่าเข็มกลับเเทงไม่เข้า !!

    แต่น้องไม่ร้องเลย หมอพยายามเเทงเข็มเข้าอีกปรากฏเลือดไม่ออก

    หมอ : เลือดไม่ออกขอเจาะใหม่นะครับ
    **แต่พอหมอเปลี่ยนเข็มใหม่ก็ยังไม่เข้าอีก**

    เเม่น้องอคิณเลยคิดในใจ...ขออนุญาติเด้อปู่หมอเขาซิเอาเลือดเด็กน้อยไปตรวจ ขอให้หมอเขาเจาะเอาออกง่ายๆเด้อ

    พออธิฐานบอกกล่าวเสร็จ รอบนี้หมอขอเจาะข้อพับเเขนเลือดไหลออกอย่างง่ายดาย น้องก็ร้องไห้เเป๊บหนึ่ง พอออกจากห้องเจาะเลือดน้องถึงกับเอาเหรียญหลวงปู่ที่ห้อยคอมาอมไม่พูดไม่จาจนถึงที่จอดรถ จนตอนบ่ายไปตรวจพัฒนาการดีหมอให้ทำอะไรทำตามได้หมด...รับวัคซีนไข้สมองอับเสบ JE เรียบร้อย กลับถึงบ้านอารมณ์ดีร่าเริงเเจ่มใสดีไม่มีไข้

    ที่แขนทั้งสองข้างมีสายสิญจน์ผูกแขนหลวงปู่ไม !! โดยองค์หลวงปู่ไม เมตตาผูกให้เองกับมือที่วัดป่าเขาภูหลวง

    คุณยายของหมอบอกว่าน้องอคิณไม่เคยป่วยเลย ร่างกายแข็งแรงดีมาก เป็นที่รักและที่เมตตาของผู้พบเห็นหลายคน พ่อแม่ครูบาอาจารย์หลายองค์ก็ให้ความเมตตาเป็นพิเศษ นับว่าเป็นบุญของนเองที่ได้เกิดมาในครอบครัวที่มีสัมมาทิฏฐิ ชอบเข้าวัดฟังธรรม และทำบุญตามโอกาสต่างๆอยู่บ่อยๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • S__3874830.jpg
      S__3874830.jpg
      ขนาดไฟล์:
      116.5 KB
      เปิดดู:
      69
  6. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,236
    ?temp_hash=0380dbe2226cfa506e956f4f5b31de25.jpg
    อาจารย์เชาว์ท่านด้สร้างเจดีย์ขึ้นมานี้ เพื่อเอาไว้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุททธเจ้า #แต่อาจารย์เชาว์ท่านปรารถนาเป็นอะไรก็ขอให้ท่านพูดเอาเอง #หลวงปู่ไม่กล้าพูดแทนได้ แต่จิตใจของหลวงปู่นี่มีความเข้าใจ อยากจะให้กำลังใจกับพระอาจารย์เชาว์มาตั้งแต่รู้จักกันครั้งแรกนะ !
    “พอรู้จักกันครั้งแรกนี่ มันเข้ามาสะกิดใจของหลวงปู่ ในใจของหลวงปู่นี้แหละ”
    #พระองค์นี้สำคัญมีความมุ่งมั่นที่จะทำอะไรอยู่
    แต่ยังไม่มีใครสนับสนุน ทีนี้เราจะสนับสนุนยังไง ถ้าจะทำให้กำลังของท่านเกิดความสามารถขึ้นมา เกิดความกล้าหาญขึ้นมา คำว่าความสามารถ คือ ความกล้าหาญขึ้นมา กล้าที่จะแสดงออกด้วยความจริง ที่เกิดขึ้นกับตัวท่านเอง นี่เราคิดอย่างนี้

    “ถ้าเราไม่สงเคราะห์ครั้งนี้ กำลังศรัทธาของท่านก็จะหดหู่อยู่อย่างนี้ต่อไป แล้วก็เมื่อกำลังศรัทธาหดหู่อย่างนี้ จิตใจก็จะไม่เจริญก้าวหน้า”

    “ไม่กล้าที่จะแสดงออก ไม่กล้าบอกบุญศรัทธาญาติโยมนะ ก็ไม่กล้าสร้างเจดีย์ ถึงแม้จะคิดอยู่ในใจ มันอยู่ในใจแล้วล่ะ แต่ว่าไม่รู้จะทำยังไง”

    “เราก็ยังเป็นพระผู้น้อยอยู่ ยังไม่รู้จักใครเท่าไหร่ ยังไมกล้าบอกใคร ตังค์ก็ไม่มี !! ”

    “ จะลงเขาไปบิณฑบาตจะขึ้นมาที่นี้ ถ้าฝนตกขึ้นมากลางวัน ก็ไม่ได้ขึ้นมา เพราะเอารถขึ้นมาไม่ได้ หรือลงไปข้างล่างแล้วจะกลับขึ้นมา ก็ขึ้นมาไม่ได้ เดินไกลอย่างนี้ฝนมันตก ถ้าเดินขึ้นมาก็เป็นวันหนึ่ง ลำบากเหลือเกิน !! ”

    อาจารย์เชาว์มาอยู่ที่นี้ก็ ๓๐ กว่าปี ๓๒-๓๓ ปีแล้วน่ะ มาอยู่ครั้งแรกก็อยู่เลย ที่มาอยู่ที่นี้ก็เพราะหลวงปู่เจี๊ยะ อยากจะให้มาอยู่ (หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท)

    เชาว์ๆไปอยู่ดอยมูเซอ ! (หลวงปู่เจี๊ยะ)

    พระมีตั้งเยอะลูกศิษย์น่ะ ทำไมมาบอกองค์เดียว
    นี้หลวงปู่เจี๊ยะท่านก็สำคัญเด้ ท่านก็คงรู้ในใจแล้วว่า ท่านบอกองค์อื่น...เขาก็ไม่ไปแหล่ว ถ้าบอกเชาว์นี้ท่านไปแน่ พระเชาว์นี่เคารพเราอย่างนี้ หลวงปู่เจี๊ยะท่านก็คิดในใจอย่างนี้ ถ้าบอกองค์อื่นก็ไม่ไปเด้ !

    บอกถูกตัวก็ไปเลยจริงไหมละ ?

    ใช้คนถูกคนก็ไปเด้ ทีนี้หลวงปู่ก็นึกในใจว่า อยากสงเคราะห์อาจารย์เชาว์ ให้ความเป็นจริงเกิดขึ้น มาเจอกันก็เลยบอกก็เลยถาม...

    หลวงปู่ไม : เชาว์ๆจะไปอินเดียกับเราไหมละ?

    อาจารย์เชาว์ : โอ้ย...ผมไม่มีตังค์ครับอาจารย์

    หลวงปู่ไม : ไม่ต้องเสียตังค์ เดียวเรื่องตังค์เราจ่ายให้ไปฟรี ไปภาวนาเฉยๆ (โอ้ย!...เหมือนกับปลดทุกข์ออกจากใจเลย...หลวงปู่คิดว่านะ ! )

    ก็เลยตอบรับไปเลย พอไปแล้วหลวงปู่ก็ไม่พาไปเที่ยวมากมาย พาไปดูสถานที่แต่ละที่ พาปฏิบัติ พาสวดมนต์ไหว้พระ พานั่งสมาธิภาวนา ตอนเช้าก็ออกไปแต่เช้ามืด พอเขาเปิดสถานที่ก็เข้าไปไหว้พระสวดมนต์ ภาวนาทำวัตรเช้า วัตรเย็น เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาตามกำลังของใครของมัน ส่วนมากก็นั่งรวมกันแบบนี้ไปก่อน เหมือนพวกเราพากันนั่งแบบนี้แหละ นั่งสมาธิอย่างน้อยก็ ๓ ชม.ขึ้นไป พอ ๓ ชม.แล้ว ก็แยกย้ายกันออกไปปฏิบัติใครมัน จะเดินจงกรมบ้าง พอเช้ามาก็กลับเข้าวัดไทย พอฉันเช้าเสร็จแล้วก็พักผ่อน พอบ่ายสองโมงก็ออกจากวัดกลับไปสถานที่เดิม พอไปก็นั่งสวดมนต์ นั่งสมาธิภาวนาถึงขั้นเขาจะปิดประตูแล้ว ถึงจะออกมา กลางคืนมาถึงที่วัด ก็แยกตัวกันไปนั่งสมาธิภาวนาตามโบสถ์ ตามศาลาบ้าง แล้วหลวงปู่ก็ไปนั่งอยู่ที่โบสถ์ และอาจารย์เชาว์ก็แยกตัวไปที่หนึ่ง

    อาจารย์เชาว์เลยอธิฐานจิต อยากได้ของดีอย่างที่ว่านะ อันนี้เป็นเรื่องที่อาจารย์เชาว์เล่าใหฟัง พอไปสถานที่นั้นแล้วก็กลับมาประเทศไทย พอมาถึงที่วัดรู้สึกอานิสงส์จะเกิดขึ้นแล้ว พระบรมสารีกธาตุที่อาจารย์เชาว์เคยปรารถนาอยากได้ เสด็จมาถึงที่นี้เลย ถ้าได้พระบรมสารีกธาตุก็เกิดกำลังใจที่จะสร้างเจดีย์ขึ้นมา พอจะสร้างเจดีย์ยังคิดยากอยู่ ลำบากอยู่ มีเท่าไหร่สร้างเท่านั้น มันจะเป็น ๑๐ ปี ๒๐ ปีก็จะทำไป

    “ แต่ด้วยพระมหาบารมีของพระพุทธเจ้าของพวกเราที่เป็นพระบรมสารีกธาตุ บอกกล่าวให้ใครฟังใครที่ได้ยินได้ฟังก็ตามข่าวมา บางคนได้ยินจากคนอื่นพูด ก็มาร่วมบริจาค ภายในไม่นานมานี้ เจดีย์ก็ขึ้นมาถึงขนาดนี้แล้ว ”

    ที่ลานตรงนี้ก็เป็นเนินเขา กว่าจะมาปรับได้ขนาดนี้
    โอ้ย!...ลำบากเหลือเกิน เครืองมือก็ไม่มี !!

    ผลสุดท้ายพอนึกขึ้นมา...
    ก็มีคนเอารถขึ้นมาทำให้นะ มันก็เป็นอย่างนั้น พูดอะไรขึ้นมาก็จะมีคนมาสนับสนุน นี้แหละความกล้าหาญก็เกิดขึ้น เพราะความเป็นจริงมันเกิดขึ้นแล้ว เห็นอานิสงส์แล้ว พอเห็นอานิสงส์เกิดขึ้น ก็กล้าเล่าให้ศรัทธาญาติโยมฟัง พอเล่าให้คนไหนฟัง คนไหนที่ได้ยินได้ฟัง ก็เกิดศรัทธาก็ได้มาร่วมกัน

    ไม่คิดว่าคนจะมากขนาดนี้นะ...
    เพราะทุกปีที่มาแต่ละครั้งนี้ โอ้ย!...หน่อยเดียว
    มาครึ่งเดียวหมดแล้ว...มาครั้งแรกนะ! ตอนนี้จะไม่มีที่นั่งแล้ว ถ้ามาหมดตอนนี้ ไม่มีที่นั่งเลยนะคืนนี้ ยังอยู่ข้างบนโน้นนะ ข้างบนเฝ้าโรงทานอยู่ก็เยอะ ถ้าตอนเช้ามีชาวบ้านมาอีก โอ้ย! อีกสองเท่าก็ไม่พอหรอก ถ้ามาร่วมกันตอนเช้าที่บิณฑบาตน่ะ

    นั้นแหละอานิสงส์เกิดขึ้น!
    แล้วอีกอันหนึ่งก็น้ำใจของคนในท้องถิ่นนะ น้ำใจคนในท้องถิ่นนี้ เมื่อเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีชาวบ้านที่เป็นพวกมูเซอทั้งหลายได้มาร่วมกัน

    มาช่วยแรงงานน่ะ ทั้งมาช่วยกินด้วยอะไรนี้น่ะ แต่ก่อนน่ะเขามาช่วยทำงาน แต่ตอนนี้มีทั้งของกินของใช้ เขาก็มากินด้วยน่ะ ทั้งมาช่วยกินมาช่วยทำงาน (ด้วยบารมีพระอาจารย์เชาว์) อันนี้ก็เป็นบุญของเขาอีกอย่างหนึ่งน่ะ คิดดูสิ คนชาวดอยนี้เป็นคนที่มีบุญมาก พวกเราอยู่กรุงเทพไม่ได้อุปัฏฐากพระอริยะน่ะ

    หลวงปู่เจี๊ยะมาที่นี้ สมัยที่ท่านเป็นพระหนุ่ม เขาก็ได้มาอุปัฏฐากอุปถัมภ์หลวงปู่ ครูบาอาจารย์หลายองค์ที่มาพักมาปฏิบัติกันที่นี้ ทีนี้เมื่อชาวเขาได้อุปัฏฐากอุปถัมภ์ทำบุญตักบาตรกับพระอริยะ เขาทำด้วยจิตอันบริสุทธิ์ ถึงเขาจะทำไม่สะอาด แต่พระกรรมฐานไม่ได้ตำหนิ เขาไม่ตายเราก็ไม่ตายเหมือนกัน

    เขาทานได้เขากินได้ เราก็กินได้ ก็คิดเท่านั้น เขากินอะไรเราก็กินได้ จะมาห่วงอะไรเรื่องของกิน เรามานี้เราต้องการเพื่อจะได้ธรรมะ มาหาความสงบ มาหาธรรม มาปฏิบัติ
    ทำไมถึงหนีมาที่นี้ ?
    ที่กรุงเทพของอยู่ของกินไม่อดไม่ยาก อยู่กรุงเทพมันมีแต่ของภายนอกไม่มีของภายใน เรามาหาเอาของภายใน หาเอาธรรมะ หาเอาสถานที่วิเวก สงบสงัด มาอยู่พบกับพวกมูเซอ บิณฑบาตมาแล้วก็มาฉัน พวกมูเซอเขาไม่เคยมารบกวน หมดทั้งวันทั้งคืนตอนเช้าถึงจะเห็นทำบุญตักบาตร

    ถ้าบ้านเราเป็นไงทีนี่ พอจะนั่งกลับตาภาวนา...
    หลวงปู่ๆ...อีกแล้ว! หลวงปู่กำลังจะเดินไปจงกรม...
    หลวงปู่ๆ...เอ้า! ยังไม่ถึงทางจงกรมเดินกลับคืนมาอีกแล้ว

    ถ้าไม่เดินมาล่ะ?
    หลวงปู่ไม่มีเมตตา โยมตั้งใจมาไม่เมตตาโยมเลย พูดแล้วก็ร้องไห้เช็คน้ำตาป้อยๆ หลวงปู่ก็กลับมาพอพูดขึ้นด้วยก็ยิ้มขึ้นมา โอ้ย!...ก็จะมาเอาแต่ใจกันภายนอกอย่างงี้ตลอดชีวิต มันก็ไม่ได้ นี้มันเป็นลักษณะอย่างนี้แหละ มันก็เลยคากันอย่างนี้ มันไปไหนไม่ได้ ที่นี้พวกเราพากันเข้าใจบ้างเด้อ!!


    ถอดจากเทปพระธรรมเทศนาหลวงปู่ไม อินทสิริ
    ในงานพิธียกยอดฉัตรพระมหาเจดีย์ศรีสามหมื่นทุ่ง วัดป่าบ้านมูเซอสามหมื่นทุ่ง อ.แม่สอด จ.ตาก
    วันที่ ๐๔ ธ.ค.๕๙
    ถอดเทป/เรียบเรียง : นรินทร์ ศรีสุทธิ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • S__3874840.jpg
      S__3874840.jpg
      ขนาดไฟล์:
      61.7 KB
      เปิดดู:
      82
    • S__3874842.jpg
      S__3874842.jpg
      ขนาดไฟล์:
      47.1 KB
      เปิดดู:
      78
  7. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,236
    ?temp_hash=d0db5b493fd51416ddabbc96c4860c59.jpg
    ข้าป่าลึกตั้งแต่บวชเป็นเณรอายุ9ขวบ

    "รักษาศีล" ถ้ารักษาศีลบริสุทธิ์มันก็ไปนิพพาน นิพพานมันก็มีนั่งสมาธิหาทางพ้นทุกข์ไม่อยากกลับมาเกิด มาแก่ มาเจ็บ มาตายอีก ขอให้มีความสุขความเจริญทุกคนๆละที่มานี้ ใครมาก็แสวงอยากพ้นทุกข์ อยากได้บุญ ก็ให้สมปรารถนา สิ่งไหนที่ไม่ดีเราก็โยนเข้าป่าซะ เอาแต่สิ่งที่มันดีมาปฏิบัติตามไม่ใช่ว่าเราจะหลงไปตลอด ให้ดู ให้รู้ว่าเรามาจากไหน มาเอาเนื้อหนังมังสัง อัฐิกระดูกที่พ่อแม่เขาปั้นไว้ในท้องนี่ ปั้นตุ๊กตาเอาไว้

    เราจิตวิญญานนี่มาจากไหนละ มาสวมเอา พอมันเข้าไปได้ พอ 7-8 เดือนก็บอกว่าพี่ๆลูกเรามันดิ้นแล้วน่ะ แต่ก่อนมันทำไมมันไม่ดิ้น...ก็เพะราะจิตวิญญานยังไม่เข้า พอมันเข้าไปละ มันก็พูดล่ะ...พี่ๆลูกเราดิ้นแล้ว มันก็ดิ้นสิมันหาทางออก มันกลับหัวลงแต่ก่อนมันเอาหัวขึ้น

    หาให้มันเห็นสิ หาที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่างหลวงปู่นี่ก็หาตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ไปหา แต่ก่อนก็ไม่รู้อะไรเหมือนกันนั้นละ...หลง!! หลงทุกอย่าง..ก็ไปอยู่บนเขา เอาช้างเสือเป็นหมู่เป็นพวก บางครั้งไปนั่งอยู่ขนาดต้นเสานี่ (ท่านชี้ไปที่ต้นเสาศาลาที่อยู่ข้างหน้าใกล้ๆ)

    มันโมโหขึ้นมาก็บอกว่า เฮ้ย!! มึงอยากกินกูไหม มากินความโง่ให้มันหมดไปสิ มันโง่มันหาอะไรก็ไม่เห็น มันก็เฉยมันก็ไม่ทำอะไรเรา เพราะว่ามันก็มาอาศัยเราเหมือนกัน มันหลบหลีกพวกนายพรานจะตามล่ามัน มันก็มาอาศัยพระเณร มันก็อยู่อย่างนั้นละ ช้าง เสือ

    ข้าวก็ไม่ได้ฉันน่ะ กินแต่ยอดไม้ใบไม้แทนข้าว
    "อด!..หวังอยากพ้นทุกข์" หวังอยากเห็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันเป็นองค์ยังไง ?

    เราก็ปรารถนาไว้ว่า...

    "ถ้าไม่เห็นจะไม่ออกจากป่า เห็นเมื่อไหร่ถึงจะออก"


    ถอดจากเทปโอวาทคำสอนหลวงปู่ประไพร สุภโร
    วัดป่าไพรรัตนวณาราม บ.หลุบหวาย ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี (อัฐิ เกศา โลหิต แปรเป็นพระธาตุ) เมตตาแสดงธรรมให้ไว้กับ คณะหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เมื่อวันที่ 17 ก.ย. 59
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • S__3833868.jpg
      S__3833868.jpg
      ขนาดไฟล์:
      111.5 KB
      เปิดดู:
      73
  8. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,236
    ?temp_hash=d9d5fb763cc2b380ec832f7b6c1bd8a3.jpg
    เวลาเราจะถวายสิ่งใดก็ตาม เราต้องมีความพอใจ จะถวายมากน้อยแค่ไหนก็ต้องมีความพอใจในการทำบุญ สมมติว่าเราจะบริจาคทาน ๑๐ บาท แต่ถ้ามีคนบอกว่า ๑๐ บาทน้อยไป ต้องถวาย ๒๐ บาทดีกว่า ดังนั้น บุญที่ได้จากการถวาย ๑๐ บาทแรกจะได้บุญเต็มที่ แต่อีก ๑๐ บาทหลังจะไม่ได้บุญเต็มที่เพราะไม่ได้เต็มใจให้ บุญอยู่ที่ใจ ถ้าเราจะถวาย ๑๐๐ บาท แต่ถ้ามีคนบอกว่า ๑๐๐ บาทน้อยไป ต้องถวาย ๒๐๐ ดังนั้นบุญที่ได้จากการถวาย ๑๐๐ บาทแรก ก็จะได้บุญเต็มที่ แต่อีก ๑๐๐ บาทหลังจะไม่ได้บุญเต็มที่ เพราะเราไม่ได้เต็มใจ ไม่ได้ตั้งใจที่จะให้

    เหตุฉะนั้น ถ้าเรามีกำลังพอที่จะทำได้เท่าไรก็ทำเท่านั้น แต่ให้มีความพอใจ ให้เต็มใจ ถ้าไม่เต็มใจแล้วอย่าไปทำ เพราะทำแล้วจะไม่มีความสุขใจ ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าไม่เต็มใจทำแล้วก็จะไม่มีความสุข แต่ถ้ามีความพอใจทำจึงจะมีความสุข แม้ว่าทำเพียงเล็กน้อยก็มีความสุขใจเพราะเราเต็มใจ การบริจาคทานต้องเป็นอย่างนั้น ต้องให้เหมาะสมกับกำลังของตน แล้วก็ให้ด้วยความเต็มใจ จึงเรียกว่ามีศรัทธา ก็คือมีความเต็มใจ มีความพอใจในการให้นั่นเอง จึงเรียกว่าเป็น ปะระมัตถะทาน

    โอวาทธรรม
    หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
    วัดอรัญญวิเวก จ.เชียงใหม่
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,236
    ?temp_hash=33c2423ad5f79d802478f424761a804f.jpg
    หลวงปู่อยู่ภาคอิสานก็ได้ยินตั้งแต่เกิดมาพอรู้เดียงสา ว่าผีปอบมันเข้าคนน่ะ ก็มีลุงอยู่คนหนึ่ง ใครเป็นผีปอบอยู่ที่ไหน พอผ่านหมู่บ้านนี้มา...จะมาเข้าแกทุกครั้งว่างั้นละ เหมือนกับเป็นสถานีรถไฟว่างั้นเถอะ พอแต่ว่าใครเป็นผีเป็นปอบมาที่นี่ มาก็จะมาเข้าคนนี้ นี้หลวงปู่รู้มาเห็นมาตั้งแต่เป็นเด็ก แต่ก็ยังไม่เห็นตัวผีปอบน่ะ เห็นแต่ว่าคนนี้ถูกผีเข้าแล้วก็ไปหาหมอผีมาไล่น่ะ

    ทีนี้พอมาเป็นหนุ่มอายุ ๑๕-๑๖ ปี ผีปอบไปเข้าลุงคนหนึ่งชื่อลุงใบ เมียเขาก็เลยมาเรียก “ไมๆมาดูลุงมึง ลุงมึงเป็นอะไรกูไม่รู้” เลยรีบขึ้นไปบนบ้าน นั่งก้มหน้าไม่มองเราเด้ ก็ไปเห็นก็เลยรู้ว่าสงสัยผีปอบเข้า

    ลป. : ใครมันมานี่ มาจากไหน ?
    (เราก็แกล้งขู่กระทืบเท้าเลย หนุ่มน้อยเว้ย ฮา ฮา
    บังอาจอยู่เด้ กระทืบเท้า...กระทืบไม้กระดานบ้านเขา ตึ้มๆ )


    ลป. : มึงสู้กับกูหรอ? (ผีปอบมองหน้าขึ้นมาเลย)

    ผีปอบ : กูไม่กลัวมึงหรอกบักน้อยๆนี่ (ลป.หัวเราะ)

    พอผีบอกว่าไม่กลัว เราเกิดกลัวขึ้นมาเด้ทีนี่ พอเป็นอย่างนั้นก็เลยไปเรียกหมอผีมาไล่ #ก็เลยมักจะเป็นศัตรูกับผีปอบอยู่เป็นประจำมา !! (คือจุดเริ่มต้น)

    ถอดจากเทปพระธรรมเทศนาหลวงปู่ไม อินทสิริ
    วัดป่าภูเขาหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

    ถอดเทป/เรียบเรียง : นรินทร์ ศรีสุทธิ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • S__4292613.jpg
      S__4292613.jpg
      ขนาดไฟล์:
      86.9 KB
      เปิดดู:
      63
  10. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,236
    ?temp_hash=cc1afb43500ab80a90701ca9a1eda93a.jpg
    ตำนานเณรหาญ : ครั้งหลวงปู่ประไพร สุภโร ได้ไปปฏิบัติธรรมและจำพรรษาที่วัดหลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต จ.ขอนแก่น หลวงปู่ประไพรได้เมตตาสอนและฝึกปฏิบัติให้กับสามเณรที่วัดรูปหนึ่งชื่อว่า "เณรหาญ" พอเณรเริ่มมี เริ่มปฏิบัติได้ ก็ตื่นเต้นดีใจคึกคะนองให้จิตไปเที่ยวที่นั่นที่นี มีวันหนึ่งเข้าไปในท้องคน หลวงปู่ทราบก็เลยดุว่าโตไปหาเข้าปากคนจั่งใด๋เฮ็ดไปทั่ว เณรหาญตอบว่า ผมเห็นเขานอนอ้าปากเลยเข้าไปเบิ่งดู หลวงปู่เลยถามว่าไม่เหม็นบ้อ แล้วเผื่อเขาปิดปากจะออกอย่างไร ต่อมาเณรหาญก็ได้ขอพรหลวงปู่ให้มีศรัทธาญาติโยมมาหามากราบ หลวงปู่ก็เมตตาให้ ญาติโยมก็มีมาไม่ขาดสาย ได้บอกหวยโยมถูกหลายงวด เขาก็เอาข้าวของเอาปัจจัยมาถวายวัดกันจำนวนมาก ก็เริ่มหลง หลงตัวเองและหลงในโภคทรัพย์ วันหนึ่งหลวงปู่ได้เรียกเณรหาญมาถามว่า หาญพระเผิ่นว่าโตไปเว้าว่าพระในวัดเป็นลูกศิษย์โตหมด ได้อยู่ได้กินนำโตมันแม่นติ เณรหาญตอบว่า แม่นครับ หลวงปู่เลยถามต่ออีกว่า เฮากะแม่นติ เณรหาญตอบว่าครับ หลวงปู่จึงบอกว่า " ป๊าดติโธ่ นับจากแต่นี้ไป ไผมันย่างผ่านนี่ไปหาโต ให้ฟ้าผ่ามันเลย" หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาศรัทธาญาติโยมของเณรหาญก็ค่อย ๆ จางหายไปจนไม่มีใครมาหา สุดท้ายก็ได้สึกไปมีเมีย หลวงปู่สอนไม่ให้ลืมคุณครูบาอาจารย์ยกไว้เหนือหัว

    ธรรมคำสอน
    หลวงปู่ประไพร สุภโร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • S__4292611.jpg
      S__4292611.jpg
      ขนาดไฟล์:
      82.2 KB
      เปิดดู:
      73
  11. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,236
    ?temp_hash=a167b949adf216afa1e6954270f58e04.jpg
    อย่าได้หาทำ อย่าได้หาคิดกับพ่อแม่แบบนี้

    บางคนก็อาจจะคิดว่า " พ่อกูไม่แบ่งสมบัติให้ รักแต่พี่ชาย น้องสาวไม่สนใจเลย แม่ก็รักแต่พี่ชาย"
    (บางคนโกรธ มาฟ้องหลวงปู่เด้)

    หลวงปู่ : โอ้ย...อย่าไปคิดแบบนั้น เดียวมันเป็นบาป (ทนไม่ได้ก็ร้องไห้ เพราะตัวเองนี่เคยคิดอย่างนั้นมา)

    แต่หลวงปู่ไม่อยากให้คิดอย่างนั้น เราได้สมบูรณ์แบบแล้ว ถ้าพ่อกับแม่ไม่รักเรา...น้ำขันเดียวกดหน้าใส่นั้นนะ ตายตั้งแต่คลอดใหม่ๆแล้ว

    #เราได้แล้วสมบัติของพ่อของแม่นะ "อาการ ๓๒ ได้มาแล้ว"

    นั้นแหละเราทำตัวให้ดี ตั้งใจเก็บหอมรอมริด ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ สะสมไปเรื่อยๆมันก็เป็นก้อนเป็นกำขึ้นมาเอง #ทำดีกับพ่อกับแม่ด้วย บุญกุศลมันก็จะหนุนให้เจริญขึ้นไปเองนะ ถ้าเราไปคิดอย่างนั้น มัวแต่คิดอย่างนั้น มีแต่โศรกเศร้า จิตไม่ดี สติปัญญาก็ไม่เกิด ทำอะไรมันก็ไม่เจริญรุ่งเรื่อง ก็จะตกต่ำอยู่ตลอดเวลา

    นี้แหละไม่อยากให้คิดอย่างนั้น ถึงแม้มันไม่มีอะไร ก็ให้คิดว่าบุญวาสนาบารมีของเราในชาติปางก่อน เราไม่ได้ทำอะไรเอาไว้ เราไม่ได้สร้างกุศลเอาไว้ ชาตินี้เรามารู้มาเห็น ถึงว่าไม่มีเราก็จะทำดีให้ถึงที่สุดต่อผู้มีพระคุณของเราให้คิดอย่างนี้ ไม่ได้อะไรก็ขอให้ได้อุปัฏฐากอุปถัมค์

    “ตายไปแล้วชาติหน้า ข้าพเจ้าก็จะไม่ได้มาเกิดตกทุกข์ได้ยากอย่างนี้อีก แล้วก็ปราถนาถึงธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ให้ปฏิบัติธรรม รู้ธรรมเห็นธรรม ได้พบพระศาสนา ได้พบพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ได้เป็นครูอาจารย์ของเรา จะได้นำทางเราไปในทางที่ถูก”

    นี้คือความคิดของหลวงปู่ที่อยากจะให้เป็นอย่างนี้ทุกๆคน ไม่อยากจะให้คิดเข้าข้างตัวเอง ที่คิดไปในทางที่เกิดความโลภ ไม่ให้อยากไปคิดอย่างนั้น

    ถอดจากเทปโอวาทคำสอน หลวงปู่ไม อินทสิริ
    วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

    ถอดเทป/เรียบเรียง : นรินทร์ ศรีสุทธิ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • S__4579337.jpg
      S__4579337.jpg
      ขนาดไฟล์:
      80.7 KB
      เปิดดู:
      71
  12. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,236
    ?temp_hash=a167b949adf216afa1e6954270f58e04.jpg
    เมื่อเกิดมาเป็นคน รู้ตัวว่าเราจะต้องตาย จงรีบทำคุณงามความดี ทำประโยชน์ไว้เสีย การทำมากหรือทำน้อย ไม่เป็นปัญหาขอให้ตั้งเจตนาให้ดี ให้เชื่อมั่นในบุญกุศลที่ตนทำนั่น จิตใจแน่วแน่อยู่กับกุศลอันนั้น ก็จะเป็นของมากอยู่เอง

    ไม่ต้องเอาหน้า เอาเกียรติ ไม่ต้องเอาชื่อ เอาเสียง เอาเฉพาะใจของตนเอง ตั้งศรัทธาแน่วแน่เฉพาะบุญกุศล
    ที่ตนทำเองนั่นละ เป็นอานิสงส์มาก กุศลมาก ตรงนี้แหละ

    โอวาทธรรม
    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
    ที่มา:เทสโกวาท จากหนังสือ ๑๐๐ ปี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • S__4579339.jpg
      S__4579339.jpg
      ขนาดไฟล์:
      57.7 KB
      เปิดดู:
      61
  13. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,236
    ?temp_hash=1b5f6fea81246c77495437c024c9927f.jpg
    กูละเว้ยคนหนึ่ง‼

    พากันไปแสวงหาสรณะ อาจารย์โน้นโด่งดังโว้ย!!
    คงจะเป็นสรณะกู อาจารย์โน้น ดีโว้ย เด่นโว้ย เอาแล้ว วิ่งตามแล้ว...วิ่งหา พอได้ไปกราบไม่ได้เข้ากราบใกล้ๆ พอเห็นพระ ( โยม ) กีดกันหน่อย..

    "โอ้โห้ !! ทศกัณฐ์ " (เอาอีกแล้วไปว่าพระอีก)

    แอ๊ะ !! มันอะไรกันแน่เว้ย ไม่รู้หรือยังไงว่ากูมาทำบุญ เงินกูมีกูก็จะมาทำ กูมาตั้งไกล กูตั้งใจว่ากูจะมากราบใกล้ๆ แต่ไม่ได้กราบ (บ่นอีกแล้ว)

    เอ๋..มันเป็นบุญหรือเป็นบาปกันแน่ว่ะ ไหนว่าจะไปแสวงหาพระไตรสรณคมฌ์ กลับไปว่าอย่างนั้นมันผิดหรือเปล่าล่ะ..."หื้อ มุสาน่ะนั่นน่ะ โกหกตัวเองแล้ว"
    (หลวงปู่ขำพอใจ)

    แสดงว่า....กินยาผิดไปแล้วน่ะนั่นน่ะ กินยาผิดแน่นอน ยังไม่พอทีนี่จิตใจทีนี่ เกิดโรคที่นี่ โรคอันยิ่งใหญ่ โรคโลภะ โรคโทสะ โรคโมหะ เอาแล้วเกิดเป็นไฟผุดขึ้นมาเลยโรคอันนี้ เห็นไหมมันเผานั่นล่ะ กูละเว้ยคนหนึ่ง เอาละเว้ยถือตัวถือตนละทีนี่

    โอ้ย น่าสงสารเน๊าะ กูไปกูใหญ่ละเว้ย กูละเว้ยเศรษฐีมหาเศรษฐี เอาแล้วทีนี้เกิดใหญ่เลยทีนี่ ไฟลุกลามเลยทีนี่ โลกมันก็จะพังละสิ พ่อพระแม่พระคงจะไม่เป็นอย่างนี้เน๊าะ คงจะพากันสงบเสงี่ยมกันดีน่ะ

    ถอดจากเทปพระธรรมเทศนา
    หลวงปู่สวาท ปัญญาธโร วัดโปร่งจันทร์ อ.คิชฌกูฏ จ.จันทบุรี (ศิษย์ในองค์หลวงปู่แหวน สุจิณโณ)


    ถอดเทป/เรียเรียง : นรินทร์ ศรีสุทธิ์
    ภาพโดย : หมาน ราชสีมา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,236
    ?temp_hash=6cefd2ab40be2c8a510ec27d9fa8a846.jpg
    " กระดูกชิ้นเดียวยังไปติดอยู่เด้พวกนี้ "

    โยม : การเชิญวิญญาณ มันได้ผลจริงๆไหมครับหลวงปู่ ?

    ลป. : การเชิญวิญญาณที่เขายังเป็นห่วงเป็นใยอยู่กับญาติพี่น้องนี่ เราก็ไปเชิญได้ ถ้ายังไม่มีใครจับตัวไปนะ !! ถ้ามีคนจับตัวไปแล้ว ไปเชิญเขามา...เขาก็ไม่ให้มาหรอก เขาก็เอาไปลงโทษอยู่นั้นแหละ!

    สมมุติว่ารถผลิกคว่ำอย่างนี้ คนที่ตายไม่ได้สร้างกรรมสร้างเวรอะไรมาก วิญญาณก็วกวนอยู่ที่นั้น ญาติพี่น้องเขาก็ไปเชิญอย่างนี้ กลับไปบ้านจะทำอะไรให้ จะได้ไปผุดไปเกิดอย่างนี้แล้วก็กลับ แต่ว่าซากศพก็เอามาด้วย

    แต่ถ้าซากศพไม่มาแล้ว จิตวิญาณเขาก็กลับไปอีก คือตายแล้วส่วนมากก็จะไปติดอยู่กับร่างกายสังขาร กระดูกชิ้นเดียวยังไปติดอยู่เด้พวกนี้ ยังว่าของกูอยู่เด้ !

    การที่จะละจากร่างกายสังขารธาตุขันธ์นี่มันยาก ตายไปอายุยาวยืนนานนะก็มี อายุสั้นก็มี อายุสั้นนี่ตายไปแล้วก็ไปแสวงหาที่เกิดใหม่เลยก็มี

    ตายไปแล้วไปอยู่บนสวรรค์เป็นหมื่นๆปีก็มีอย่างนี้

    ตายไปแล้วไปตกอยู่ในนรกเป็นหมื่นๆปีก็มีอย่างนี้

    มันต่างกัน !!

    แล้วก็ตายไปแล้วไปเป็นเปรต ไปเป็นสัตว์นรกเป็นหมื่นๆปี

    ตายไปเป็นสัมภเวสีร่องรอยอยู่ไม่มีบ้านที่อยู่อาศัยเป็นหมื่นๆปี ทุกข์ยากทรมานอยู่อย่างนั้น

    นี้มันเป็นพวกจิตวิญญาณที่มันตกทุกข์ได้ยาก มันเป็นอย่างนั้น!!

    คนเราส่วนมากก็ไม่เห็นนะ เมื่อไม่เห็นก็ถ้าเล่าให้ฟัง ถ้าเล่าให้ฟังมันก็เหมือนกับนิทงนิทานนะเหมือนกับนิยายไป!!

    ถอดจากเทปพระธรรมเทศนาหลวงปู่ไม อินทสิริ
    วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
    (เป็นช่วงตอบปัญหาธรรมจากญาติโยม หลังจากที่องค์หลวงปู่ได้เมตตาแสดงธรรมเทศนาเสร็จ)

    ถอดเทป/เรียบเรียง : นรินทร์ ศรีสุทธิ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • S__4702259.jpg
      S__4702259.jpg
      ขนาดไฟล์:
      62.2 KB
      เปิดดู:
      66
  15. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,236
    ?temp_hash=040b998b585853b4a7967711ea0d1fac.jpg
    เวลาขอพรใด ๆ ที่ไหนก็ตาม อย่าขอให้ตนเองรวย ขอแบบนั้นไม่ได้ ไม่สำเร็จสิ่งที่เราอธิษฐานขอพรได้
    ให้ขอว่า ขอให้ลูกหลานมีเงินมีกินมีใช้ไม่ขัดสน ให้ได้ไว้ทำบุญทำทาน จึงจะสมปรารถนา

    โอวาทธรรม
    หลวงปู่ประไพร สุภโร
    วัดป่าไพรรัตนวณาราม จ.อุดรธานี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • S__4800542.jpg
      S__4800542.jpg
      ขนาดไฟล์:
      67.9 KB
      เปิดดู:
      61
  16. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,236
    ?temp_hash=cdabedf2243568010128a04299621014.jpg
    มันมีอยู่คำหนึ่งที่หลวงพ่อจำไม่ลืมสักที
    คำสอนของท่าน (หลวงปู่เสาร์) เวลาไปปรนนิบัติท่าน ท่านจะพูดขึ้นมาลอยๆ

    “เวลานี้จิตข้ามันไม่สงบ มันมีแต่ความคิด”


    ก็ถามว่า “จิตฟุ้งซ่านหรืออย่างไร ท่านอาจารย์”


    “อ้าว! ถ้ามันเอาแต่หยุดนิ่ง มันก็ไม่ก้าวหน้า”


    กว่าจะเข้าใจความหมายของท่านก็ต้องใช้เวลาหลายปี ท่านหมายความว่า จิต เวลาปฏิบัติ เวลามันจะหยุดนิ่ง ปล่อยให้มันนิ่งไป อย่าไปรบกวนมัน ถ้าเวลามันจะคิด ปล่อยให้มันคิดไป เราเอาสติตัวเดียวเป็นตัวตั้ง เป็นจุดยืน


    ในเมื่อมาศึกษาตามพระคัมภีร์ ในบางแห่งท่านก็อธิบายไว้ว่า ฌานมีอยู่ ๒ อย่าง อย่างหนึ่งจิตสงบนิ่ง รู้ในสิ่งๆ เดียว เรียกว่า อารัมมณูปนิชฌาน มีแนวโน้มไปในฌานสมาบัติแบบฤาษี อีกอย่างหนึ่ง พอจิตสงบลงไปนิดหน่อย แล้วสงบลึกลงไปจนกระทั่งร่างกายตัวตนหาย เมื่อจิตถอนจากสมาธิมาอยู่ในระดับที่รู้สึกว่ามีกาย ความรู้ ความคิดมันก็ฟุ้งๆ ขึ้นมาอย่างกับน้ำพุ ซึ่งนักปฏิบัติส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้เข้าใจว่าจิตฟุ้งซ่าน อันนี้มันเป็นสมาธิหรือเป็นฌานที่มีวิตก วิจาร ความคิดเป็นวิตก สติที่รู้พร้อมอยู่ในขณะนั้นเรียกว่าวิจาร เมื่อจิตมีวิตก วิจาร มันก็เป็นจุดเริ่มของฌาน หนักๆ เข้ามันก็เกิดกายเบา จิตเบา กายสงบ จิตสงบ เกิดปีติ เกิดความสุข ความคิด ความรู้มันก็ยิ่งผุดขึ้นมามาก พอไปถึงจุดๆ หนึ่ง จิตมันอาจจะแบ่งเป็น ๓ มิติ มิติหนึ่งคิดไม่หยุด อีกมิติหนึ่งจ้องมองดูอยู่ อีกมิติหนึ่งนิ่งเฉยอยู่ในท่ามกลางของร่างกาย


    ตัวคิดไม่หยุด คือ จิตเหนือสำนึก
    ตัวที่จ้องมองหรือเฝ้าดู เป็นตัวสติ ผู้รู้
    ตัวที่นิ่งเฉยอยู่ เป็นตัวจิตใต้สำนึก ตัวคอยเก็บผลงาน


    เมื่อจิตสงบละเอียดลงไปจนกระทั่งรู้สึกว่าร่างกายตัวตนหาย เหลือแต่จิตดวงเดียว จิตจะไปนิ่ง สว่าง โดดเด่น สภาวะทั้งหลายที่เป็นอารมณ์สิ่งรู้ของจิต มันจะมีปรากฏการณ์ เกิดขึ้น ดับไป เกิด ขึ้น ดับไป แล้วจิตนั้นหาได้หวั่นไหวต่อเหตุการณ์นั้นไม่ เหมือนๆ กับ ว่า สิ่งรู้ของจิตแยกออกเป็นประเภทหนึ่ง จิตก็อยู่อีกประเภทหนึ่งเหมือนไม่มีความสัมพันธ์กัน และสิ่งนั้นมันมาจากไหน ก็จิตตัวนั้นแหละมันปรุงแต่งมา ปรุงแต่งขึ้นมาแล้ว มันไม่มีอุปาทานความยึดมั่นถือมั่น มันจึงไม่เกิดความยินดีเกิดความยินร้าย

    เพราะฉะนั้น ในคำสอนท่านจึงว่า ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา การยึดมั่นถือมั่นในเบญจขันธ์เป็นทุกข์อย่างยิ่ง คือในขณะนั้นจิต ไม่ได้ยึดในเบญจขันธ์แล้ว วิญญาณตัวรู้ก็ไม่ยึด ความรู้ทั้งหลายก็ไม่ยึด เพราะฉะนั้น มันจึงแยกกันโดยเด็ดขาด จิตที่มีลักษณะเป็นอย่างนี้ ถ้าพูดตามภาษาปริยัติเรียกว่า วิสังขาร ถ้าหากว่าจิตเกิดความรู้ความเห็นขึ้นมาแล้วไปหวั่นไหวต่อความรู้นั้น เป็น สังขารา อนิจจา สังขารไม่เที่ยง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,236
    ?temp_hash=cdabedf2243568010128a04299621014.jpg
    การปฏิบัติก็เหมือนอย่างชาวนาทำนา
    (กำลังใจและข้อคิดธรรมะจากหลวงปู่ไม)

    การปฏิบัติก็เหมือนอย่างชาวนาทำนา
    ก่อนที่จะเป็นแปลงนา แต่ก่อนก็เป็นป่าเป็นดงก็ยังรกๆอยู่ จนกว่าจะเตียน จนกว่าจะเตรียมแปลนา เป็นที่นาเป็นคันนา จนกว่าจะมีน้ำ เราก็ค่อยดูอยู่อีก

    จนกว่าจะหว่านกล้าลงไป เมื่อหว่านกล้าไป...
    กล้ามันก็เกิดขึ้นมา เป็นร่วงออกมาเป็นเม็ดออกมา จนกว่าเราจะไปเกี่ยวเราก็ไปตัดเอา จนกว่าจะไปสีไปตำ จนกว่าเราจะไปนึ่ง เราก็เอาไปแช่น้ำเสียก่อน
    นึ่งจนกว่าจะสุขก็ต้องผ่านไฟอีกผ่านน้ำร้อนไปอีก จนกว่าจะสุก

    " นี่เป็นอย่างนี้...มันไม่ใช่ของง่าย !! "

    การปฏิบัติก็เหมือนกัน ก็ต้องผ่านอุปสรรคยากเข็ญ แต่ถึงยังไงผลสุดท้าย...ก็ต้องสุขอยู่แล้ว ก็ได้รับรสเหมือนอย่างที่เราได้หุ่งข้าวสุกแล้ว

    การภาวนาก็เหมือนกัน ให้ตั้งใจภาวนาถึงแม้จะยากลำบาก ก็อดทนเอา เพราะเราอยากได้มันขาดไม่ได้ สำหรับคนที่อยากได้มันขาดไม่ได้ เหมือนเราหิวข้าวมันขาดไม่ได้ เราก็ต้องเตรียมทำนาหว่านพืช ก็เพื่อจะมารองรับความหิว

    บางคนก็ว่าความหิวแบบนี้มันเป็นกิเลสหรือเปล่า?

    มันไม่เป็นกิเลส.....เราหิวเท่านั้น !!

    เราหิวไปทางบริสุทธิ์ ส่วนหิวไปทางกิเลสคือความหิวไปทางที่ต่ำ คือจิตมันตกต่ำ จิตมันหยาบช้า มันตกอยู่ในอำนาจกรรม คนทั้งหลาย กิเลสทั้งหลาย มารทั้งหลาย มันตกอยู่ในกรรม นี้คือจิตมันตกต่ำ มันคิดไปในทางที่ต่ำ

    เพราะฉะนั้นมันมีข้อแตกต่างกัน !!
    ไม่ใช่ว่าคิดฉะนั้นมันไม่ใช่คิดต่ำคิดสูงเท่านั้นเอง มืดกับสว่างก็ต่างกันอย่างนี้ บุญกับบาปมันต่างกันอย่างนี้ บาปเป็นทุกข์สุขก็คือบุญให้เราเข้าใจอย่างนี้

    พระธรรมเทศนาหลวงปู่ไม อินทสิริ
    วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
    ในงานทอดผ้าป่าสามัคคีเพื่อจัดซื้อเครื่องแพทย์ รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
    ณ หอประชุม รพ. วันที่ ๒๔ มิ.ย. ๖๑

    (ถอดจากเทปพระธรรมเทศนา)
    ถอดเทป : นรินทร์ ศรีสุทธิ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • S__5062662.jpg
      S__5062662.jpg
      ขนาดไฟล์:
      56 KB
      เปิดดู:
      69
  18. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,236
    ?temp_hash=5def57ef7a877bdfbe1a12fa7c06a2fb.jpg
    พอจ. : พวกผูกคอตายละครับ ลป.เขาไปไหน?

    ลป. : พวกผูกคอตายนี่ บ่ได้ไปตกนรก แต่ว่าเป็นกรรมบ่ได้ไปผุดไปเกิด อดอยู่อดกิน เสื้อผ้าหน้าแพรบ่มีมาใส่ เปลือยกายอยู่ เป็นสัมภเวสีไปเรื่อยๆ

    พอจ. : แล้ววิธีแก้หรือวิธีที่จำทำบุญอุทิศให้ ญาติพี่น้องเขาต้องทำยังไงครับถึงจะถึง

    ลป. : โห ! ถ้าเป็นแบบนี้น้อ พวกนั้นน่ะไม่รู้จะได้ยังไง แต่ว่าหลวงปู่เอามาเลี้ยงอยู่คนหนึ่ง ผูกคอตายมาเป็นปอบเป็นผี หากินซากศพ หมาเน่า หมาตายไปเก็บกินหนอน หนอนหมาหลายๆที่มันตายน่ะ แซบหลาย มันบ่มีอยู่มีกิน แนวกินกะกินบ่ได้

    ทีนี่มันมาเข้าคน...ก็เลยผูกไว้ ก็เลยเอามาเลี้ยงมาสอน มาสอนให้ไหว้พระสวดมนต์ รับพระไตรสรณคมณ์ รักษาอุโบสถศีล เข้าพรรษาแบบนี้ให้กินข้าวมื้อเดียว ผีอยู่ในร่างคนนี่ ตัวคนก็ได้กินมื้อเดียว กินคือพระนี่มื้อเดียว เฮ็ดอาหารให้ใส่บาตรอยู่ทุกวัน เป็นสิบกว่าปีมาแล้ว พวกนี้เฮ็ดอิหยังจนเป็นเบิ่ดแล้วล่ะ ตั้งโรงทานกะผีนั่นละเฮ็ด เบิ่ดมื้อเบิ่ดคืน ผู้หนึ่งกะเข้าไปนอน นอนในร่างนั่นเด้บ่ได้ไปนอนที่อื่น ตัวที่สองกะออกมาเฮ็ด มันมี 4-5 ตัวพุ่น

    ผีเปลี่ยนกันเฮ็ด...แต่ว่าตัวคนน่ะบ่ได้พักสักที พวกนี้เขาทำงาน เขาขอทำเอาบุญ ก็เลยบ่ไล่เขาหนี แต่ปล่อยไปแล้วล่ะ 4-5 ตัวแล้ว พวกนั้นบุญมันบ่หลาย มันฮ้องไห้อยู่บ่หยุด ก็เลยแก้ออกก็เลยปล่อยไป "โอ้ย! ย่านปาบคือหยังนี่ ผีก็ย่านบาปอยากได้บุญ สวดมนต์นั่งสมาธิภาวนาทุกวัน

    พาไปอินเดียอยู่ 4 ครั้ง ไปนั่งสมาธิ พระโมคคัลลา-พระสารีบุตร โอ้ย! พระก็ยังสู้ผีไม่ได้ สว่างมากในภูเขานั่นน่ะ เดินลงมาบนเขาคิชฌกูฏนี้

    โห! ยังกะเท้านี่ไม่ได้เหยียบพื้นเลย จิตเขาพวกผีเขาเนาะ โห่ มันก็น่าไปสวรรค์ได้อยู่นี่ สมกับที่พาเขามาอยู่ เฮากะดีใจที่ได้สอนพวกจิตวิญฐานแบบนี้น่ะ มันบ่มีผู้ได๋เอามาสอนได้ หลวงปู่ก็เลยเอามาสอน

    "ป๊าดโธ่ๆ สายสิญจน์มัดไว้ น้ำมนต์ซัดใส่นอนดิ้นเกลื้อนกลิ้งบนพื้นดิน"

    ผี : ยอมๆ ยอมแล้วจะให้ทำอะไรก็ยอมหมด ขอให้ไม่ฆ่าไม่ตี

    ลป. : เอ่อ! บ่เฮ็ดดอก ให้รับพระไตรสรณคมณ์ ให้รักษาอุโบสถศีล (ย่อมละทีนี่ยอมรับพระไตรสรณคมณ์) เอ้า ! ว่านะโมตัสสะซะก่อน...(ว่านะโมก็ว่าเป็นบ่เป็นเด้) เอ้า! ว่าตามก้น นะโมตัสสะ...

    ผี : นะๆ ๆ ๆ ๆ.....

    ล้มตึงโล้ด ตัวอ่อนล้มลงไปเลย กว่าจะได้นะโม เป็นเดือน ทีนี้กว่าจะได้พุทธัง สะระนัง คัชชามิ ธัมมัง สะระนัง คัชชามิ สังฆัง สัระนัง คัชชามิ และกล่าวศีลอีกเป็นปีหนึ่ง

    เดียวนี้เขาก็สวดมนต์ได้แล้ว มันว่ามันออกไม่ได้ มันออกร้อนออกร้นเด้ ใจสิขาดเด้ทีนี่ ปานไฟเผาเจ้าของ เฮาสวดมนต์อยู่แบบนี้ ปิดหูไว้พุ่นเด้ไฟจะไหม้หู จนกว่าจิตมันจะเข้าธรรมได้นี่...

    "ฮ่วย! 2 ปี 3 ปี" หลวงปู่พาพูดพาสวดแบบนี้ กะสวดไปซือๆเด้ แต่บ่เห็นตัวเฮาเด้ หลวงปู่ไม่รู้เป็นคนแบบไหน พระพุทธรูปตั้งอยู่เต็มศาลาก็ไม่เห็นเด้

    พุ่น! จนเขาภาวนาเป็น สวดมนต์เป็น เขาถึงจะมาเห็น...แรกๆก็เล็บตีน นานๆมาก็เห็นแข้งขา เห็นตัวเห็นตน...

    โอ้ย! ดีใจร้องไห้ที่ระลึกชาติได้ ว่าชาติก่อนเคยเป็นคนทำบาปทำกรรมหยังมา ไล่มาเบิ่ดชาติก่อนๆ !

    แม่ชื่อหยัง...ก็จำได้เบิ่ด!

    บ้านอยู่ไส...ก็จำได้!

    ย่านบาปเด้ทีนี่ เฮาบอกให้เฮ็ดแนวอยู่แนวกินก็ทำละทีนี่ ทำจังหันก็ใช้ผีนั่นละทำ ให้เขาได้ทำบุญบ่แม่นหยังดอก " อยากสงเคราะห์เขา "


    ถอดจากเทปเรื่องเล่าหลวงปู่ไม อินทสิริ
    ที่เมตตาต่อคณะพระภิกษุและญาติโยมทั้งหลาย ที่เดินทางมาคาราวะและร่วมทำบุญกับ ลป.ไม ในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา ที่วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา วันที่ 12 ก.ค. 2563
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • S__5201924.jpg
      S__5201924.jpg
      ขนาดไฟล์:
      50.1 KB
      เปิดดู:
      73
  19. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,236
    ?temp_hash=de1e43de0a692c417906b5d28cac32e8.jpg
    วิบากกรรมตอนตายของผู้ไม่มีศีลมีธรรม

    จริงๆแล้วที่หลวงปู่ได้ไปเที่ยวทั้งสวรรค์ ทั้งนรก ทั้งเมืองบาดาล เมืองพญานาค ลงไปเมืองบาลมันเป็นยังไง เมืองมนุษย์ของเราเป็นยังไง พวกเปรตทั้งหลายที่ได้เสวยกรรมอยู่ ถูกทรมานอยู่ในที่คุมขังอยู่เหมือนคุกนี่เป็นยังไง ลำบากไม่มีของอยู่ของกิน สกปรกโสมมจะกินน้ำจะอาบน้ำก็ไม่มี เสื้อผ้าจะใส่ก็ไม่มี พวกหนึ่งก็เป็นสัมภเวสีล่องลอยเดินอยู่อย่างนั้น ไม่มีอาหารอยู่อาหารกิน ผอมนะ เขาเห็นคนทำบุญนี่ก็ไปแหล่ว ไปขอกินคนที่เขามีบุญ พอพระอนุโมทนาเสร็จ เรากรวดน้ำเสร็จ ของก็กองอยู่พวกอาหาร

    พวกเขามีบุญที่ทำบุญทำทานเหมือนกับพวกเรา ก็ไปกินแบบอิ่มหนำสำราญ มีความสุข แล้วก็อนุโมทนาบุญกับพระสงฆ์องค์เจ้า เวลาที่พระเจริญพทธมนต์ก็นอบน้อมเข้าไปสู่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เวลาพระให้ไตรสรณคมให้ศีลอย่างนี้ เราก็นอบน้อมเข้าไปเอง นี่จิตที่เป็นบุญเป็นกุศล เมื่อเต็มแล้วเขาก็ไปเกิด บางคนก็ไปสวรรค์

    "พวกที่ทุกข์ยากลำบาก ที่ไม่เคยได้ทำบุญสุนทาน ก็ไปขอเขาก็เอาไม่ได้ เสื้อผ้าอย่างนี้ก็จับไม่ได้ ทั้งๆที่ตัวเองก็เปลื่อยกาย"

    ส่วนมากคนเป็น ๑,๐๐๐ คนนี่จะมีเสื้อผ้าใส่นี่ จะมีไม่เกินคนสองคนเด้ นอกนั้นเปลือยกายทั้งหมดนะ คนที่ได้เป็นอย่างนั้น ก็เพราะไม่เคยได้ทำบุญให้ทาน อย่างที่พวกเราอย่างนี้ ถ้าไปเฉลี่ยใส่คน กี่ ๑,๐๐๐,๐๐๐ คนในกรุงเทพนี่ ทำเป็นอย่างเรานี้มีกี่คน ถึง ๑,๐๐๐,๐๐๐ หรือเปล่า?

    นี้แหละ...นอกนั้นพวกนั้นนี่ไม่มีเสื้อผ้าใส่แล้ว แล้วกินแต่เหล้าเมายา ร้องรำทำเพลงเข้าผับเข้าบาร์ ทั้งผู้หญิงผู้ชาย ไม่มีศีลมีธรรม ขโมยของกัน รบลาฆ่าฟันตีกัน ทะเลาะกัน ไม่เหมือนกับพวกเรานะ เขาทำอย่างนั้นเขาว่าเขามีความสุขเด้

    แต่พวกเราเห็น...รับไม่ได้นะมันเป็นอย่างนั้น ที่เดินสวนกันในถนนข้าวสารนี่ ทั้งฝรั่งทั้งคนไทย โอ้ย! จะเหยียบกันตายในเทศกาลนี่ นี้แหละมันเยอะๆอย่างนั้นแหละ

    นี้แหละคนมันไม่รู้จักศีลไม่รู้จักธรรม ไม่ได้ปฏิบัติเวลาตายไปถึงจะรู้ กว่าจะมารู้นี่มันแก้ไม่ได้แล้ว จนกว่าจะสำนึกได้นี่ ต้องถูกเขาบังคับรังแกข่มเหงให้รับโทษอยู่เป็นเวลาร้อยปี พันปี หมื่นปี รับแล้วรับอีกๆ ว่าจะไม่ทำแต่ว่าก็ยังทำเหมือนเดิมอย่างนี้

    ทีนี้เมื่อนานไปหลายครั้งหลายหน ถูกทรมานมากๆจิตมันก็จะย้อนไปถึงอดีต เมื่อคราวที่เกิดเป็นมนุษย์ "กูไม่ได้ทำบุญจริงๆเหมือนอย่างที่ยมบาลเขาว่า เขาถึงได้ตีกู เขาถึงได้ลงโทษกู เขาถึงเอากูไปลงนรก กูไม่ได้ทำบุญจริงๆนี่ ไม่เหมือนพวกนั้นเขาได้ทำบุญ"

    พวกยมบาลพวกนั้นก็เล่าให้ฟัง พอได้ยินอย่างนั้น..

    "กูทำยังไงถึงจะได้บุญ กูทำยังไงถึงจะได้ทำบุญ กูทำยังไงกูถึงจะได้ไปเกิด"

    พอคิดอย่างนี้มามันก็...

    "กูอยากจะไปฟังเทศน์ กูอยากจะไปรักษาศีล
    ถ้ากูได้ไปเกิด...กูก็จะไปทำบุญอย่างนี้"

    เพียงคิดเท่านี้จิตก็เริ่มเป็นกุศลแล้วเด้ พอจิตเริ่มเป็นกุศลนี่ พระสวดมนต์ก็ได้ยินละทีนี้ ได้ยินพระสวดมนต์เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า พระเทศน์ยังไงสั่งสอนยังไงก็ได้ยิน เมื่อได้ยินจิตก็น้อมเอา เมื่อจิตน้อมเอาก็เป็นบุญเป็นกุศล ก็ขยับใกล้เข้าๆ พอใกล้เข้าๆผลสุดท้ายนานไปๆ บาปมันก็หมดไปๆ บางไปหมดไป

    พวกเราทำบุญอุทิศให้พวกนั้นไป ครั้งแรกก็จะได้กินคำหนึ่งเล็กๆ "อร่อยที่สุดในโลก" จะไปกินอีกไม่มีเพราะว่ามันหาย...เพราะว่าบุญยังน้อยอยู่ พอนานไปๆก็อนุโมทนาไปเรื่อยๆก็ได้กินเต็มคำละทีนี่ ได้คำหนึ่งใหญ่ก็อิ่มๆ พออยู่ไปๆกินได้หลายคำ ผลสุดท้ายกินจนอิ่ม พอกินจนอิ่ม...

    " โอ้ย! กูอยากจะไปเกิดเด้ๆ"

    ได้ยินพระสงฆ์สวดมนต์ก็อนุโมทนาบุญ เห็นพวกเรามารักษาศีลภาวนาอย่างนี้..

    "สาธุ ถ้าข้าพเจ้าได้ไปเกิดข้าพเจ้าจะไปบำเพ็ญภาวนาอย่างนี้ จะไปไหว้พระสวดมนต์เหมือนอย่างพวกเจ้าอย่างนี้ ขอให้ข้าพเจ้าได้ไปเกิดด้วยเด้อ อนุโมทนาด้วยเด้อ"

    ผลสุดท้ายก็ได้มาเกิดนะ นี้แหละ...โอ้ย! กว่าจะเป็นอย่างนี้ ใช้กรรมมาเป็นหมื่นๆปีเด้ มันไม่ใช่ธรรมดาเด้ !!

    ตอนนั้นก็จะหูหนวกตาบอดอยู่เหมือนอย่างคนที่เขาเที่ยวถนนข้าวสารนี้แหละ เราไปชวนเขามาทำบุญนี่ เขาไม่มาเด้นี่ เขาไปกินแต่เหล้าเด้นี่ ตังค์เขาไม่เสียดายเด้ เขาไม่ตระหนี่เด้ แต่ว่ามาทำบุญ ๕ บาทนี่ เขาก็ไม่ให้เด้ บาทหนึ่งเขาไม่ให้เด้ นี้แหละเขาว่าคนหูหนวกตาบอด แต่มันบอดนี่...มันบอดที่จิตวิญญานนะ มันไม่เห็นเลยเด้

    อย่างพวกเรานั่งอย่างนี้นี่ ในขณะที่เสวยกรรมอยู่นี้จะไม่เห็นเด้ จะไม่เห็นพวกเราเด้ พวกเรามีศีลนี้นะ ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ นี้เขาจะไม่เห็น ถ้าเป็นหนังสืออย่างอื่นนี้เห็น ถ้าเป็นกระดาษเฉยๆนี้เห็น เจดีย์ก็ไม่เห็นแต่ต้นไม้เห็น นี้มันเป็นอย่างนี้ มันจะถูกปิดบังหมด นี้คือบาปจนถูกทรมานมานานเข้าๆ จนยอมรับสภาพแล้วจิตถึงย้อนไปถึงที่กล่าวมานั้น ถึงจะค่อยบางไปๆ ถึงจะได้ยินเสียงพระถึงจะเริ่มมองเห็นคน...

    "โอ้! คนมันเป็นอย่างนี้ เขามีความสุขอย่างนี้ กูทำไมทุกข์ยากลำบากแท้ ชาติก่อนกูก็มีอยู่เหมือนเขา แต่กูไม่ได้ทำบุญ เกิดชาติตอนมาเป็นผีนี้...ทำไมกูถึงได้มาลำบากแท้ เพราะกูไม่ได้ทำบุญ กูอยากจะมาทำบุญมันเป็นอย่างนี้"

    เรื่องวิบากกรรมเรื่องเหล่านี้นี่ ต้องปฏิบัติให้มากๆแล้วจะเห็นนะ

    โยม : กรรมมันบังตาเขาใช่ไหมครับ?

    ลป. : โอ้! มันบังตาบังจิต บังตามันไม่เท่าไหร่เด้ แต่มาบังจิตนี่ โอ้ย! แก้ยาก ใครจะว่าดีเท่าไหร่ มันก็ไม่ยอมรับ ดีไม่ดีนี่...เราว่าดีนี่ มันด่าเราเด้ มันดีตรงไหนว่ะ เห็นพระบิณฑบาตยังด่าเลย มันถึงได้ไปตกนรก

    ถอดจากเทปพระธรรมเทศนาหลวงปู่ไม อินทสิริ
    วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
    (เป็นช่วงตอบปัญหาธรรมจากญาติโยม หลังจากที่องค์หลวงปู่ได้เมตตาแสดงธรรมเทศนาเสร็จ )

    ถอดเทป/เรียบเรียง : นรินทร์ ศรีสุทธิ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • S__5611526.jpg
      S__5611526.jpg
      ขนาดไฟล์:
      56.8 KB
      เปิดดู:
      68
  20. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,236
    ?temp_hash=8bba3a80c5c5b9ded9b95f9445413c81.jpg
    เกิดมาดีแล้ว...ก็อย่าไปหลงเด้...
    ต้องสร้างบารมีให้มันครบวงจร !!

    นับตั้งแต่การให้ทาน ตั้งแต่เช้ามานี้ก็ตักอาหารมาถวายจนกว่าจะจัดอาหารเสร็จนี่ "โอ้ย! จนสายเว้ย" แล้วก็ได้กินได้ดืมได้อิ่มหนำสำราญกันหมด พระสงฆ์ก็ได้ฉันอิ่มหนำสำราญกัน อันนี้ก็คือว่าให้กำลังทางร่างกายสังขารของเราให้อยู่ได้ ผู้ที่ชอบทำทานและให้โภชนะอาหารอย่างนี้ ก็ถือว่าเกิดมาในภพใดชาติใดนั้นก็จะไม่อดไม่อยาก เกิดมาอยู่ในกองเงินกองทองน่ะ เกิดมาในกองเงินกองทองแล้วก็...

    #อย่าไปหลงเด้กองเงินกองทองน่ะ

    ทำยังไงถึงจะมีปัญญามากขึ้นไปกว่านั้น ?

    ก็ต้องมารักษาศีล ต้องมาภาวนาอีกเด้ #สร้างบารมีให้มันครบวงจร เดียวว่ามาทำบุญอย่างเดียวได้ของเยอะๆแล้วไปนอนกินอย่างเดียว...ไม่มีปัญญาแล้ว

    #โอ้ย_ภพหน้าตกกระป๋องไปเด้

    มันไม่ได้...ต้องเอาให้มันครบวงจรน่ะ เราทำบุญให้ทานแล้ว เราต้องมารักษาศีล แล้วก็มาภาวนา เรารักษาศีลนี่ เราเกิดเป็นคนมาก็ครบอาการ ๓๒ แล้ว สมบูรณ์แล้ว ต้องการอยากจะให้รูปพรรณสัณฐานสวยสดงดงาม ถ้าเป็นผู้ชายก็จะรูปหล่อ ถ้าเป็นผู้หญิงก็จะสวยๆ

    อย่างที่พวกเทพเทวดาก็จะสวยๆอย่างนั้น เพราะจิตใจของเขาถึงจะเป็นมนุษย์ก็เป็น "มนุสสเทโว" ตัวเป็นมนุษย์แต่จิตใจเป็นเทพ ไม่ใช่ว่า "มนุสสเปโต"

    ถ้ามนุสสเปโตนี่ พวกเรามาทำบุญอย่างนี้ เขาไม่ได้ยินหรอก ถ้าไปชวนมาทำบุญนี่ "ฮ่วย มีตังค์แล้วก็ไปซื้อเหล้ามากิน" เที่ยวเตร่เร่ร่อนอยู่นั้นน่ะ ไปเป็นมนุสสเปโตแล้ว จะลงนรกแล้ว

    ไม่มาอย่างเราหรอก ถ้าไปชวนแล้วเขาไม่มา ก็อย่าไปเคี่ยวเข็ญเขาเด้ เขาจะด่าเอาเด้ เดียวจะกลับมาหน้าหงอยเด้ (ลป.หัวเราะ)

    ถอดจากเทปพระธรรมเทศนาหลวงปู่ไม อินทสิริ
    วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

    ถอดเทป/เรียบเรียง : นรินทร์ ศรีสุทธิ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • S__1957902.jpg
      S__1957902.jpg
      ขนาดไฟล์:
      76.2 KB
      เปิดดู:
      61

แชร์หน้านี้

Loading...